คืนนั้นสองพี่น้องพูดคุยกันจนดึก สืออีเหนียงกลัวว่าฮูหยินห้าจะเป็นห่วง จึงบอกให้หู่พั่วไปรายงานฮูหยินห้า
ฮูหยินห้ากำลังอยู่กับป้าสือ เอนตัวเย็บปักถักร้อยอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง รอสวีลิ่งควนกลับมา ได้ยินว่าสวีลิ่งควนจะกลับมาดึก นางก็เลิกคิ้วพลางยิ้ม “ตั้งแต่ข้าแต่งเข้ามาแล้วสองสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านโหวพูดคุยกับคุณชายห้านานขนาดนี้ หาได้ยากจริงๆ เจ้ากลับไปบอกพี่สะใภ้สี่ว่าข้าไม่รอคุณชายห้าแล้ว รบกวนพี่สะใภ้สี่ดูแลเขาด้วย ให้คุณชายห้าพักผ่อนอยู่ที่ห้องหนังสือของคุณชายสี่ก็ได้ อากาศหนาวเช่นนี้ ไปๆ มาๆ ยามดึกประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้”
หู่พั่วฟังออกว่านางพูดเป็นนัย แต่แสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ยิ้มแล้วย่อเข่าตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นสาวใช้ของฮูหยินห้าก็ออกไปส่งนาง
สีหน้าของฮูหยินห้าพลันเปลี่ยนไป “หมายความว่าอะไร ครอบครัวของตัวเองเกิดเรื่อง แต่เรียกคุณชายห้าไปทำไมกัน” พูดจบก็หัวเราะแห้ง “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านโหวจะพูดความในใจอะไรกับคุณชายห้า”
ป้าสือได้ยินเช่นนี้ก็เปลือกตากระตุก นางรีบยิ้มแล้วพูดว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากท่านโหวไม่พูดกับคุณชายห้าแล้วเขาจะไปพูดกับใครเล่าเจ้าคะ ถึงอย่างไรนั้น พวกเขาก็เป็นพี่น้องมารดาเดียวกัน”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็พึมพำ “ข้าคิดดูแล้วมันผิดปกติ เจ้าไม่เห็นว่าตอนที่ไท่ฮูหยินพูดถึงเด็กคนนั้นคุณชายห้าดูกระวนกระวายมากแค่ไหน ราวกับว่า…” พูดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกตกใจ “ราวกับว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขา…”
ท่านโหวมีภรรยานอกสมรส…คนอื่นนั้นเชื่อ แต่ป้าสือนั้นไม่เชื่อแน่นอน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ตอนนั้นนายท่านโหวผู้เฒ่าให้บุตรสาวของตนแต่งเข้ามาอยู่ในจวนสกุลสวี นอกจากจะถูกชะตากับสวีลิ่งควนที่ยังเด็ก นิสัยอ่อนโยน หน้าตาหล่อเหลา แล้วยังถูกชะตากับพี่น้องสกุลสวี หย่งผิงโหวผู้มากความสามารถ เป็นคนซื่อสัตย์ ต่อไปบุตรสาวของตัวเองก็คงจะมีที่พึ่ง
แต่ไหนแต่ไรมา นายท่านโหวผู้เฒ่านั้นไม่เคยมองผิด!
นึกถึงคำพูดของฮูหยินห้า สีหน้าของป้าสือก็ซีดเซียวลง
นางเคยไปทำงานที่จวนของติ้งหนานโหวเมื่ออายุเจ็ดปี ไม่รู้ว่าเคยเห็นเคยได้ยินมาแล้วเท่าไร นางรู้อยู่แล้วว่า ความจริงคืออะไรไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือผลลัพธ์
ในเมื่อไท่ฮูหยินเป็นคนพูดว่า เด็กคนนั้นคือบุตรของหย่งผิงโหว เช่นนั้น เด็กคนนั้นก็คือบุตรของหย่งผิงโหว!
จะสร้างปัญหาอื่นอีกไม่ได้
ต้องรู้ว่า ตานหยางรักศักดิ์ศรีของตัวเองมากที่สุด
ทุกคนรู้แต่กลับปิดบังนางแค่คนเดียว…คนที่คิดได้ คงจะคิดว่าทุกคนนั้นสงสารตัวเองจึงปิดบังความจริง แต่คนที่คิดไม่ได้ เกรงว่าคงจะไม่พอใจคิดว่า เป็นลูกสะใภ้เหมือนกัน เหตุใดถึงโดนเหยียบไว้ใต้เท้าเพื่อทำให้คนอื่นดูเป็นคนดี!
ป้าสือตกใจ นางยิ้มอย่างแผ่วเบา “ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ เมื่อก่อนท่านไม่เคยคิดมากเช่นนี้”
“ไม่ใช่ข้าคิดมาก” ฮูหยินห้าขมวดคิ้ว ทำท่าทีครุ่นคิด “เรื่องนี้แปลกๆ…คนที่คุณชายห้าเคารพมากที่สุดก็คือไท่ฮูหยิน คนที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือท่านโหว” นางพูดแล้วมองไปที่ป้าสือ “เหตุใดจู่ๆ เขาถึงกล้าทำเช่นนั้น กล้าพูดแทรกตอนที่ไท่ฮูหยินกำลังพูดอยู่ แล้วยังมีสืออีเหนียง ความสามารถในการพลิกแพลงตามสถานการณ์ของนางนั้นเป็นอันดับหนึ่ง ปกติเจอกับไท่ฮูหยินก็ต้องมองสีหน้าของไท่ฮูหยิน แต่วันนี้นางกลับทำตัวแปลกๆ นางก็พูดตัดหน้าท่านโหวเช่นกัน!”
ป้าสือยิ่งฟังยิ่งตกใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ “บ่าวคิดว่า ท่านพูดไม่ถูกต้องเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้ว ทำสีหน้าบอกเป็นนัยให้นางพูดต่อ
“บ่าวคิดว่าคนที่คุณชายห้ากตัญญูมากที่สุดก็คือไท่ฮูหยิน แต่คนที่เคารพมากที่สุดคือท่านโหว” ป้าสือยิ้ม “ท่านยังจำได้หรือไม่เจ้าคะ ตอนที่ท่านพึ่งแต่งเข้ามา มีวันหนึ่งที่ท่านพูดจาหยอกล้อท่านโหว คุณชายห้าก็ไม่พอใจทันที…ท่านต้องรู้ว่า คุณชายห้านั้นเป็นคนใจกว้าง…”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ นางจำได้แล้ว
มีเรื่องนี้จริงๆ
ตอนนั้นพวกเขายังแต่งงานกันใหม่ๆ เป็นช่วงที่กำลังหวานกันอยู่…และก็เพราะว่าเรื่องนี้ นางถึงได้รู้ว่าคุณชายห้าให้ความสำคัญกับผู้ใดมากที่สุด จากนั้นก็ให้ทุกคนเรียกนางว่าฮูหยินห้า
ป้าสือเห็นเช่นนี้นางก็พูดต่อ “จะว่าไปแล้ว ท่านโหวเป็นคนสูงส่ง แอบมีภรรยานอกสมรส มีบุตรชายสักคนหนึ่งจะเป็นอะไรไป แต่มันกลับถูกลือไปทั่วเช่นนี้ หนึ่งคือท่านโหวมีตำแหน่งสูงส่ง สองคือก็เพราะว่าปกติท่านโหวเป็นคนทำอะไรรอบคอบ ทุกคนจึงไม่ค่อยได้เห็นเรื่องฉาวโฉ่ของเขา นายท่านคนก่อนก็เสียชีวิตไปเร็ว ในสายตาของคุณชายห้า ท่านโหวนอกจากเป็นพี่ชายแล้วก็ยังราวกับเป็นท่านพ่อ คนอื่นอาจจะเห็นว่าเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับท่านโหว เกรงว่าคุณชายห้าคงจะไม่สบายใจ อดใจไว้ไม่ได้ อยากจะแก้ต่างให้ท่านโหว มันก็เป็นเรื่องธรรมดาเจ้าค่ะ บ่าวไม่เห็นว่ามันจะผิดปกติตรงไหน”
“ไม่ใช่” คำพูดของป้าสือทำให้ฮูหยินห้าส่ายหน้า “เขาเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเขาอยากจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง…”
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” ไม่รอให้ฮูหยินห้าพูดจบ ป้าสือก็รีบพูดแทรกว่า “ท่านโหวคือใคร คือราชครูของรัชทายาท หัวหน้าแม่ทัพทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาค ทำให้ประเทศชาติสงบสุข เป็นแม่ทัพของกองทัพซีเป่ย คุณชายห้าจึงอยากรับผิดชอบเรื่องนี้แทนท่านโหว ไม่ยอมให้ท่านโหวถูกหัวเราะเยาะ!”
ได้ยินป้าสือพูดเช่นนี้ ฮูหยินห้าที่เดิมทีมั่นใจมากก็อดไม่ได้ที่จะลังเลใจขึ้นมา
สามีคนนี้มีข้อเสียตั้งมากมาย แต่เขาเป็นคนจิตใจดี ไม่เช่นนั้น นางไม่มีทางอยู่กับเขาได้
ป้าสือเห็นเช่นนี้ นางก็ตัดสินใจที่จะพูดต่อไป
“ปกติท่านโหวเห็นคุณชายห้าเป็นเด็ก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ท่านเห็นแล้วก็ไม่สบายใจไม่ใช่หรือเจ้าคะ ครั้งนี้คุณชายห้าทำท่าทีอยากจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง ท่านโหวเห็นเช่นนี้ก็คงจะดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ จึงเรียกคุณชายห้าไปพูดคุยด้วย ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ” พูดจบก็รู้สึกว่ามันยังไม่พอ จึงพูดอีกว่า “เช่นนั้น รอให้ถึงวันที่สองที่เรากลับไปตรอกหงเติง ค่อยไปถามท่านโหวผู้เฒ่าดีหรือไม่เจ้าคะ เขามีประสบการณ์มากกว่าเรา เราไม่เข้าใจ แต่เขาคงจะเข้าใจ”
“ใช่!” ในที่สุดฮูหยินห้าก็พยักหน้า “ท่านพ่อเป็นคนรอบรู้ หากถามเขาต้องได้คำตอบแน่นอน!”
ป้าสือถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ในเมื่อคืนนี้คุณชายห้านอนที่เรือนของท่านโหว ท่านก็รีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ งานเย็บปักถักร้อยพวกนี้ให้สาวใช้ทำก็ได้ ประเดี๋ยวจะทำร้ายดวงตาเอาได้”
“ก็แค่เย็บถุงเท้าเล็กๆ คู่หนึ่ง” ฮูหยินห้ายิ้มแล้ววางเข็มกับด้ายลง ป้าสือรีบรับใช้นางไปที่เตียง
*****
สืออีเหนียงเหน็ดเหนื่อยจนหลับไป ตื่นขึ้นมาในเช้าวันต่อมา เห็นว่าผ้าปูที่นอนไม่มีรอยยับเลยแม้แต่น้อย นางก็แปลกใจ
หู่พั่วที่บอกให้สาวใช้ไปตักน้ำมาล้างหน้าก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อคืนท่านโหว นอนกับคุณชายห้าที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ!”
พูดคุยกันนานขนาดนั้น?
ดูแล้วพวกเขาสองคนคงจะทำความเข้าใจกันแล้วกระมัง!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วให้หู่พั่วรับใช้ตัวเองตื่นนอน
“ท่านโหวกับคุณชายห้ายังไม่ตื่นอีกหรือ”
“ยังเลยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ลี่ว์อวิ๋น หงซิ่ว ชุนมั่วและซย่าอีคอยเฝ้าอยู่ที่ห้องหนังสือ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า กำลังจะไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ป้าเถาก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างรีบร้อน
“นางคงจะได้ยินเรื่องของคุณชายน้อยห้า” สืออีเหนียงบอกให้รออยู่ที่ห้องโถง “ปล่อยให้นางรอก่อน”
หู่พั่วยิ้มแล้วตอบรับ สืออีเหนียงล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็เดินออกมา ไปนั่งบนเตาเตียงข้างหน้าต่าง ยกชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ให้สาวใช้ไปเรียกนางเข้ามา
“ฮูหยิน เมื่อวานบ่าวได้ยินข่าว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ จึงมาถามฮูหยินด้วยตัวเองเจ้าค่ะ กลัวว่าพวกสาวใช้จะไม่รู้เรื่อง แพร่ข่าวออกไปทั่ว” นางพูดอย่างอ้อมค้อม
“พูดอะไรออกไปบ้าง” สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้มาให้ป้าเถา
นางนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็ถามเรื่องของสวีซื่อเจี้ยอย่างระมัดระวัง “…ว่ากันว่า วันนี้ในพิธีบูชาบรรพบุรุษจะเขียนชื่อเข้าในสมุดสกุลหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า เล่าเรื่องที่ไท่ฮูหยินบอกกับคนนอกให้นางฟัง จากนั้นก็พูดว่า “…เลี้ยงในนามของถงอี๋เหนียง ตอนนี้อยู่กับข้าชั่วคราว ปรึกษากับจวนที่ตรอกกงเสียนเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าสกุลหลัวรู้เรื่อง ป้าเถาก็พยักหน้าแล้วพูดเบาๆ “เช่นนั้นมารดาแท้ๆ ของเด็กคนนั้นคือ?”
เห็นได้ชัดว่านางไม่เชื่อว่ารับเด็กคนนั้นมาจากวัด
สืออีเหนียงอยากจะหัวเราะ
นี่คือต้นฉบับของการปิดหูขโมยระฆัง แต่ทุกคนต้องทำเป็นว่าไม่ได้ยินเสียงระฆัง
“ในเมื่อรับเขามาจากวัด แน่นอนว่าเขาไม่มีพ่อไม่มีแม่!” สืออีเหนียงก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ได้ยินเสียงระฆัง
เห็นได้ชัดว่าป้าเถาพอใจกับคำตอบนี้เป็นอย่างมาก ไม่มีพ่อไม่มีแม่ มารดาแท้ๆ ของเด็กคนนั้นก็ไม่มีวันปรากฏตัว!
นางหันหน้ามาถามสืออีเหนียงเบาๆ “ไม่เช่นนั้น ให้บ่าวเป็นคนช่วยเลี้ยงเด็กคนนี้ให้ท่าน? เพราะว่าตอนนี้บ่าวก็ไม่มีสิ่งใดทำเจ้าค่ะ!”
ทันใดนั้น สืออีเหนียงพลันนึกถึงหลัวเจิ้นเซิงขึ้นมา…จึงตอบปฏิเสธอย่างทันควัน “ต้องให้ท่านโหวเป็นคนตัดสินใจ!”
ป้าเถายังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สะใภ้หนานหย่งนั้นเข้ามาเพื่อทำผมให้สืออีเหนียงแล้ว ป้าเถาจึงขอตัวออกไป
สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เอ่ยถามสะใภ้หนานหย่ง “เจ้าอยากเป็นท่านป้าผู้ดูแลหรือไม่”
สะใภ้หนานหย่งตกใจ
ท่านป้าผู้ดูแลจวนสกุลสวี เงินเดือนเดือนละสองตำลึง
“บ่าว…” นางลังเล กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี
“เจ้าเลี้ยงเด็กเป็นใช่หรือไม่” สืออีเหนียงเห็นนางทำท่าทีกังวลใจ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงในนามของถงอี๋เหนียง ตอนนี้เรือนของเขาขาดท่านป้าผู้ดูแลหนึ่งคน เจ้าลองกลับไปปรึกษากับครอบครัวของเจ้า ได้หรือไม่ได้ ก่อนวันที่สิบมาบอกหู่พั่วก็พอ”
สะใภ้หนานหย่งตอบรับ ระหว่างที่มวยผมนั้นนางใจลอยไปตั้งหลายครั้ง
เมื่อนางออกไปแล้ว หู่พั่วก็พูดว่า “สะใภ้หนานหย่งซื่อสัตย์เกินไปเจ้าค่ะ!”
“ซื่อสัตย์ดีแล้ว!” นึกถึงเสียงที่ราวกับเสียงนกขมิ้นสีเหลืองของสวีซื่อเจี้ย สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว “คนของคุณชายน้อยห้า ต้องเป็นคนซื่อสัตย์”
หู่พั่วยิ้มแล้วรับใช้สืออีเหนียงสวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียวมรกต อี๋เหนียงทั้งสามคนมาคารวะนาง
คนที่มาด้วยยังมีปินจวี๋ที่อุ้มสวีซื่อเจี้ยมาด้วย
สวีซื่อเจี้ยสวมเสื้อคลุมสีชมพู หวีผมเรียบร้อย คางเรียวมน ดวงตาราวกับหยาดน้ำในฤดูใบไม้ร่วง มองดูแล้วราวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ
เขาคำนับสืออีเหนียงเหมือนปินจวี๋ ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง!
หรือว่า กำลังมองหาสวีลิ่งอี๋?
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกว่าเขาน่าสนใจ
ปินจวี๋อธิบายอยู่ข้างๆ “…กำลังสวมเสื้อผ้าให้คุณชายน้อยห้า ฉินอี๋เหนียงก็มาเชิญพวกเราให้มาด้วยกันเจ้าค่ะ”
ฉินอี๋เหนียงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าคุณชายน้อยห้ากำลังเข้ามา กฎเกณฑ์บางอย่างยังไม่เข้าใจ จึงให้ปินจวี๋อุ้มคุณชายน้อยห้ามาคารวะท่านด้วยกัน”
รอยยิ้มของนางดูระแวดระวัง ใต้ตาของนางมีสีเขียวอ่อนๆ
เพราะนางอายุมากแล้ว พักผ่อนไม่เพียงพอก็จะมีรอยคล้ำที่ใต้ตา
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วมองไปที่เหวินอี๋เหนียง
นางหน้าแดง ท่าทีสดชื่นและมีชีวิตชีวา ดูแล้วมีชีวิตชีวามากกว่าตนเสียอีก
ดูเหมือนว่า เรื่องของเด็กคงจะไม่มีผลกระทบอะไรกับนาง
จากนั้น สืออีเหนียงก็ทอดสายตามองไปที่เฉียวเหลียนฝัง