ตอนที่ 217 บ้านมีปัญหาอะไร?
ข้างนอกมีฝนตกหนัก โต้วโต้วจึงไม่สามารถออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้ ในขณะที่หลินม่ายกำลังทำข้อสอบ หล่อนก็วาดภาพอยู่ข้างๆ
กว่าจะรู้ตัวก็ปาไปสิบเอ็ดโมง ได้เวลาทำข้าวเที่ยงแล้ว
หลินม่ายวางปากกาแล้วบิดขี้เกียจ มองโต้วโต้วที่กำลังนอนวาดภาพอยู่บนโต๊ะกาแฟ
เมื่อเห็นว่าวาดไปได้ไม่น้อย หลินม่ายจึงหยิบภาพวาดของหล่อนขึ้นมาดู
ทั้งหมดเป็นการวาดภาพตามหนังสือนิทาน มีกระต่ายน้อยแทะแครอท สุนัขจิ้งจอกที่แสร้งทำเป็นเสือ..วาดได้ดีทีเดียว
หลินม่ายคิดว่าโต้วโต้วไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่มีความรักความสนใจในการวาดภาพมากกว่า จึงอยากส่งหล่อนไปเรียนด้านนี้
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือปี 1980 สายวิชานี้ยังไม่เป็นที่สนใจของตลาด
เช่นนั้นก็ให้หล่อนเรียนเองจากหนังสือนิทานแล้วกัน พอขึ้นชั้นประถมหนึ่ง ก็จะมีเรียนศิลปะ จะได้เรียนวาดรูปจากครูสอนศิลปะ
หลังทำอาหารกลางวันเสร็จและเพิ่งจะจัดโต๊ะเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็มาพอดี
ขณะกินข้าวกลางวัน หลินม่ายก็บอกฟางจั๋วหรานว่าครอบครัวของฟางถิงมาหาเธอ
ฟางจั๋วหรานถาม “เงินอีกหนึ่งหมื่นหยวนที่เหลือ พวกเขาให้คุณหรือยัง?”
“ให้แล้ว” หลินม่ายถามอย่างจงใจ “ถ้าไม่ให้จะทำยังไงคะ?”
“ผมจะไปทวงกลับมาให้คุณ”
หลินม่ายฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ
เมื่อถึงบ่ายสองโมง หลินม่ายก็นำชุดข้อสอบที่ทำเสร็จแล้วไปส่งที่โรงเรียนมัธยมสังกัดมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้
อาจารย์เว่ยผู้เป็นครูประจำชั้นขอให้ส่งข้อสอบที่ทำเสร็จแล้วมาส่งที่โรงเรียนทุกสองวันเพื่อตรวจข้อสอบ
หากเธอทำไม่ได้หรือทำผิด จะได้ให้คำปรึกษาเธอได้อย่างทันท่วงที
การได้แก้ไขแต่เนิ่นๆ จะได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัวขณะออกแรงเพียงครึ่งหนึ่ง
ตั้งแต่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หลินม่ายก็ไม่ได้ส่งข้อสอบไปตรวจที่โรงเรียนเลย
เมื่ออาจารย์เว่ยและอาจารย์คนอื่นๆ เห็นเธอ พวกเขาก็ถามเธอด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไรบ้าง
การกระทำที่กล้าหาญของเธอถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ และอาจารย์ทุกคนก็รู้เรื่องนี้
ทางโรงเรียนจัดการประชุมเพื่อยกย่องเธอ แต่เธอไม่ได้มาโรงเรียน เธอจึงไม่รู้
หลินม่ายยิ้มอย่างเขินอายและพูดว่า “ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ขอบคุณอาจารย์ทุกคนนะคะที่เป็นห่วง”
จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรมาก และนำข้อสอบส่งให้อาจารย์ตรวจ
ผลยังคงเป็นเช่นเดิม มีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจารย์เพียงชี้แนะเธอสองสามประโยคก็เสร็จสิ้น
อาจารย์เว่ยใจดีมาก ตอนที่ส่งหลินม่ายออกจากห้องทำงาน เขาบอกเธอว่าวันมะรืนนี้อย่าลืมมาเข้าร่วมการสอบประจำเดือน
หลังออกมาจากโรงเรียน หลินม่ายก็ไปหาเจ้าของบ้าน
ตอนนี้เธอมีเงินแล้ว เธอต้องการซื้อบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้สบายใจ เจ้าของบ้านก็จะสามารถนำเงินไปฮ่องกงเพื่อพบกับลูกๆของเขา
เจ้าของบ้านกำลังถือแก้วชา จ้องมองพายุฝนด้านนอกด้วยความงุนงง
เมื่อเห็นหลินม่ายมาพร้อมกับร่มสีดำคันใหญ่ ก็ถามด้วยความแปลกใจเล็กๆ “ฝนตกหนักขนาดนี้ คุณมาที่นี่ทำไม?”
หลินม่ายเม้มปากแล้วยิ้ม “ฉันเก็บเงินซื้อบ้านได้แล้วค่ะ”
เมื่อเจ้าของบ้านได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาก็พลันเบ่งบานราวดอกเบญจมาศทันที รีบกลับไปเอาหนังสือรับรองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มาให้
เขาตั้งหน้าตั้งตารอกับดวงดาวและพระจันทร์ทุกวัน โดยหวังว่าหลินม่ายจะได้รับเงินค่าบ้านโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ซื้อบ้านหลังนี้
และเขาจะได้ไปฮ่องกงเพื่อพบกับลูกชายอีกครั้ง ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
ทั้งสองไปที่สำนักงานจัดการอสังหาริมทรัพย์ด้วยกันเพื่อทำข้อตกลง
เจ้าของบ้านมอบใบรับรองที่ดินและใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ให้กับหลินม่าย ส่วนหลินม่ายก็นำค่าบ้านมอบให้เขา
เจ้าของบ้านนับหลายครั้ง เมื่อพบว่าเงินครบจำนวนก็เงยหน้าถาม “ในมือคุณยังมีเงินอยู่ไหม?”
หลินม่ายถามอย่างสับสน “มีค่ะ แต่ไม่มาก มีอะไรหรือคะ?”
เจ้าของบ้านหัวเราะสองครั้ง “ฉันอยากขายห้องเดี่ยวที่ฉันอยู่ตอนนี้ให้คุณ คุณเอาไหม?”
“อยู่ที่ไหน ใหญ่แค่ไหน ราคาเท่าไหร่คะ?”
หลินม่ายไม่คิดว่าตัวเองจะมีบ้านเยอะเกินไป ในสมัยนี้การซื้อบ้านก็คือการลงทุน
เจ้าของบ้านชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ “อยู่ตรงถนนด้านหน้า ห้องเดี่ยวจะใหญ่ได้แค่ไหนเชียว? พื้นที่รวมยี่สิบห้าตารางเมตรรวมห้องครัว ถ้าอยากได้ผมขายให้คุณสามร้อยห้าสิบหยวน”
ไม่ต้องพูดถึงว่าร้านอาหารของตัวเองมีรายได้มากกว่าสามร้อนหยวนต่อเดือน ราคานี้จึงเป็นราคาถูกราวผักกาดขาวสำหรับหลินม่าย
เพียงเพราะบ้านติดถนนด้านหน้า หลินม่ายก็อยากซื้อ
ถนนด้านหน้าอยู่ใกล้กับถนนเจี่ยฟ่างมาก อยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งสถานีเท่านั้น
หากซื้อให้หลี่หมิงเฉิงอาศัย เขาก็จะได้ไม่ต้องนอนเตียงสองชั้นที่ร้านทุกคืน
หลินม่ายชูสามนิ้ว “สามร้อย”
เจ้าของบ้านเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “สามร้อยก็สามร้อย”
หลินม่ายไปดูห้องเดี่ยวกับเจ้าของบ้าน
ห้องเดี่ยวของเจ้าของบ้านตั้งอยู่ในอาคารหอพักของโรงงานหลอดไฟ เป็นห้องในครัวเรือนรวม
ครัวเรือนที่มีเอกภาพ เป็นที่อยู่อาศัยสวัสดิการประเภทหนึ่งก่อนปี 1980
เข้าประตูไป ด้านในมีสองถึงสามครอบครัวอาศัยอยู่
เพื่อนบ้านสองสามครัวเรือนใช้ห้องน้ำหรือครัวร่วมกัน หรือไม่ก็ใช้ทั้งสองห้องร่วมกัน ทำให้การใช้ชีวิตไม่สะดวกนัก
ห้องเดี่ยวของเจ้าของบ้านนั้นไม่เลว เพียงแต่เป็นห้องน้ำรวม มีห้องครัวแยกแต่ละครัวเรือน แต่มีขนาดเล็กมาก
ว่ากันว่ามีพื้นที่ยี่สิบห้าตารางเมตร นั่นรวมพื้นที่ทางเดินและห้องน้ำรวมไปแล้ว
หลินม่ายลองวัดด้วยไม้บรรทัด พื้นที่จริงของห้องมีเพียงสิบห้าตร.ม. และห้องครัวเพียงหนึ่งตร.ม.
แต่ก็เพียงพอสำหรับหลี่หมิงเฉิงที่อยู่คนเดียว
เจ้าของบ้านชี้ไปที่เครื่องเรือนในบ้าน และพูดว่า “ของพวกนี้ผมไม่เอาแล้ว ทิ้งไว้ให้คุณแล้วกัน”
หลินม่ายตรวจสอบเตียงและตู้เสื้อผ้า แม้จะเก่าแต่ก็แข็งแรงมากและใช้งานได้ทั้งหมด
หลังจากที่ซื้อบ้านหลังนี้ หลี่หมิงเฉิงก็สามารถย้ายเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าของเขา ซึ่งสะดวกมาก
หลินม่ายขอให้เจ้าของบ้านนำใบรับรองที่ดินและใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ติดตัว แล้วไปที่งานแลกเปลี่ยนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าทันที
เจ้าของที่ดินพูดตะกุกตะกัก “คุณไปที่สำนักจัดการอสังหาริมทรัพย์และรอผมก่อน ผมจะตามไปทีหลัง”
หลินม่ายระมัดระวังอยู่เสมอ เมื่อเห็นเขาเช่นนี้จึงถามอย่างตรงไปตรงมา “บ้านของคุณมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ”
เจ้าของที่บ้านปฏิเสธด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ไม่มีปัญหาหรอก!”
“แล้วทำไมคุณไม่ไปสำนักงานจัดการอสังหาริมทรัพย์กับฉันล่ะคะ?”
เจ้าของบ้านอ้ำอึ้ง ดูเหมือนจะไม่สามารถพูดได้
ในที่สุดก็พูดด้วยหัวใจที่แตกสลาย “พูดตามตรง ห้องเดี่ยวที่ผมอาศัยอยู่ในโรงงาน ผมยังไม่ได้ซื้อ”
หลินม่ายพูดด้วยความโกรธเล็กน้อย “แล้วคุณมาบอกว่าคุณจะขายให้ฉัน แบบนี้มันหลอกลวงกันหรือเปล่าคะ!”
“อย่าเพิ่งโกรธสิ ค่อยๆฟังผมก่อน”
แล้วเจ้าของบ้านก็อธิบายเพิ่มเติม “ถึงผมจะยังไม่ได้ซื้อ แต่ผมก็มีสิทธิ์ซื้อได้ เหตุที่ก่อนหน้านี้ไม่ซื้อเพราะรู้สึกว่าถ้าซื้อมาจะขายได้เงินไม่มาก ต้องเสียเวลาคุยกับคน ซึ่งเหนื่อยและลำบากมาก แต่เห็นว่าคุณยอมจ่าย ผมเลยอยากขายให้คุณ ผมจะไปที่โรงงานตอนนี้เพื่อนซื้อบ้าน ถ้าคุณไม่วางใจจะไปกับผมก็ได้
หลินม่ายไปที่โรงงานกับเขา
คิดไม่ถึงว่าการซื้อบ้านในสมัย 1980 จะง่ายขนาดนี้
หลังจากที่จ่ายเงินแล้ว ทางโรงงานก็ดึงใบรับรองที่ดินและใบรับรองอสังหาริมทรัพย์กรอกข้อมูลของคนที่ซื้อบ้าน ประทับตราอย่างเป็นทางการ และบ้านนั้นก็ตกเป็นของคนงานที่ซื้อบ้าน
สิ่งที่หลินม่ายไม่คาดคิดก็คือบ้านพักสวัสดิการแต่ละหลังนั้นถูกมาก สำหรับห้องขนาดใหญ่และห้องครัวแยกราคาเพียงแปดสิบห้าหยวน
หลินม่ายได้เห็นจำนวนเงินที่เขาซื้อบ้านพักสวัสดิการ เจ้าของบ้านรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขากลัวหลินม่ายคิดว่าเขาเป็นคนใจดำ ขายบ้านหลังละแปดสิบห้าหยวนให้เธอในราคาสามร้อยหยวน
แต่หลินม่ายสงบมาก
ทั้งสองไปที่สำนักงานจัดการอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง และหลินม่ายก็ซื้อห้องเดี่ยวนั้นไป
ตอนนี้มีใบรับรองอสังหาริมทรัพย์และใบรับรองที่ดินชุดใหม่ล่าสุดสองชุดที่มีชื่อของเธอเขียนอยู่ หลินม่ายจึงรู้สึกสบายใจมาก
มีบ้านสองหลังนี้กับบ้านในหมู่บ้านซานหยาง แม้ว่าในอนาคตจะไม่ได้ทำอะไรเลย ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องกังวล
เมื่อมีเวลา จะปรับปรุงบ้านชั้นเดียวในหมู่บ้านซานหยาง และขยายเป็นห้าชั้นเพื่อให้เช่า เธอก็จะกลายเป็นเสือนอนกิน
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หู้ววว ซื้อบ้านกี่หลังแล้วเนี่ยม่ายจื่อ ต่อไปสบายเลย
ไหหม่า(海馬)