หากต้องการให้คนหนึ่งหายไป คงต้องฆ่าเขาทิ้งกระมัง
ถึงแม้จะเกลียดชายหนุ่มตระกูลจางที่ปรากฏตัวอย่างไร้สาเหตุคนนี้อย่างมาก เกลียดจนไม่อยากให้มีเขาอยู่ แต่ในเมื่อเขามีอยู่จริง การลงมือทำลายชีวิตของเขาแตกต่างจากการสาปแช่งให้เขาตาย
หลิวเวยตกตะลึง “แค่เขายอมถอนหมั้นก็พอ หายตัวไปหมายความว่าอย่างไร”
โทษของเขาไม่ถึงตาย
อาอวิ้นยิ้ม “ไม่ใช่การฆ่าเขา เจ้าคิดอันใด วันนั้นข้าแอบฟังท่านยายคุยกับท่านแม่ของเจ้า ถึงแม้เขาจะยอมถอนหมั้น ก็ไม่อาจให้เขาอยู่ในเมืองหลวงได้ บุตรหลานตระกูลต่ำต้อยเช่นนี้ เมื่อมีความเกี่ยวข้องกันก็ไม่อาจหลุดพ้น หากเขามองดูพวกเจ้าใช้ชีวิตที่ดี ถึงเวลาเสียใจ เกิดความแค้น จากนั้นก่อเรื่องขึ้นมาอีก พวกเจ้าคงต้องเสียชื่อเสียง”
สีหน้าของหลิวเวยลังเล มือถือเบ็ดตกปลา “ต้องทำอย่างไร ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า นอกจากเขาเดินทางมาเพื่อพบพวกข้า ยังต้องการศึกษา ไม่มีทางจากไปแน่”
“ทำอย่างไร ข้าก็ไม่รู้” อาอวิ้นพูด “ภายในใจของท่านยายมีแผนการแล้ว หลังจากพบคนก่อนค่อยว่ากันเถิด ท่านจัดการได้ เจ้าอย่าเอาแต่ทำหน้าเศร้าทั้งวัน ใช้ชีวิตของเจ้าอย่างสบายใจเถิด เวลานี้เจ้าดีแค่ไหน ทั้งรู้จักเฉินตันจู เฉินตันจูและองค์หญิง…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงพูดคุย
หลิวเวยและอาอวิ้นหันกลับมา พบว่าเป็นคุณหนูในตระกูลหลายคนนำเหล่าสาวรับใช้เดินมา แต่พวกนางหยุดลงในบริเวณไม่ไกลนัก มองมาทางนี้
“น้องเจ็ด” อาอวิ้นโบกมือตะโกน บอกว่าพวกนางอยู่ทางนี้
แต่คุณหนูเหล่านั้นไม่ได้เดินเข้ามา มองไปรอบด้านอยู่ที่เดิมอย่างระวัง
“พวกเจ้าทำอันใด” อาอวิ้นถามอย่างสงสัย “หาอะไร”
คุณหนูคนหนึ่งเอามือป้องปาก “คุณหนูตันจูเล่า?”
คุณหนูตันจู? อาอวิ้นตะลึง หลิวเวยวางเบ็ดตกปลาลงลุกขึ้น “คุณหนูตันจูเป็นอันใด”
“คุณหนูตันจูมาแล้ว มาหาเจ้า” คุณหนูนั้นพูด
หลิวเวยและอาอวิ้นตกตะลึง
“คุณหนูตันจูมา?” หลิวเวยพูด ยกชายกระโปรงวิ่งมาทางนี้ “อยู่กับท่านยายหรือ”
คุณหนูทั้งหลายถลึงตาใส่นาง พูดอย่างพร้อมเพรียง “มาหาเจ้าแล้ว”
“มาหาเจ้าทางนี้แล้ว”
หลิวเวยฟังเข้าใจ นางหยุดลง ก่อนจะมองซ้ายขวาด้วยความสงสัย อาอวิ้นก็รีบมองไปรอบด้าน
“ไม่มี” นางพูด “พวกข้านั่งอยู่ทางนี้ตลอด ไม่เห็น…”
เสียงของอาอวิ้นชะงักลงไป ส่งเสียงตกใจออกมา ก่อนจะจับแขนของหลิวเวยมองไปยังทิศทางหนึ่ง
หลิวเวยมองตามสายตาของนาง เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนภูเขาจำลองริมสระน้ำ กระโปรงรัดอกสีแดง เสื้อแขนสั้นสีขาว พริ้วไหวไปตามลม งดงามสดใสในสวนดอกไม้ยามฤดูใบไม้ร่วงช่วงปลายฤดูหนาว
คุณหนูคนอื่นต่างก็เห็นเช่นเดียวกัน พวกนางส่งเสียงตกใจออกมาตามกัน
“คุณหนูตันจู” หลิวเวยเรียก วิ่งไปใต้ภูเขาจำลอง “เจ้าปีนขึ้นไปได้อย่างไร”
สายตาของเฉินตันจูจ้องมองพวกนาง เพียงแต่ไม่พูด เวลานี้ยิ้มขึ้น ขาเล็กใต้กระโปรงเตะไปมา “ข้ากำลังชมทิวทัศน์” สายตาของนางมองผ่านเหล่าคุณหนูไปยังสวนดอกไม้ “สวนดอกไม้ในจวนของพวกท่าน สวยงามยิ่งนัก”
ความชอบของเฉินตันจูช่างพิเศษ ต้องการชมทิวทัศน์ยังต้องปีนขึ้นบนภูเขาจำลอง เหล่าคุณหนูต่างมองหน้ากัน
หลิวเวยกวักมือ “สูงเกินไป อันตราย หินภูเขาเหล่านี้ก่อขึ้นภายหลัง ไม่มั่นคง เจ้าลงมาข้าพาเจ้าไปชมรอบด้าน”
เฉินตันจูตอบรับ “ข้าลงมาแล้ว” พูดพลางสองมือเกาะเกี่ยวหินก้อนหนึ่ง กระโดดลงมาทั้งสองขา…
เหล่าคุณหนูส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
เสียงดังตึง เฉินตันจูไม่ได้กระโดดลงพื้น หากแต่กระโดดลงมายังตำแหน่งที่ยื่นออกมาบนภูเขาจำลองนางยกกระโปรงหมุนตัวสองสามรอบ ก่อนจะเดินตามทางเล็กลงมา
สมกับเป็นบุตรหลานในตระกูลแม่ทัพ ปีนขึ้นปีนลงได้อย่างคล่องแคล่ว เหล่าคุณหนูครุ่นคิด ก่อนจะเตือนตัวเองว่าอย่าทำให้นางขุ่นเคือง
หลิวเวยเดินขึ้นหน้าจับมือของนาง “เจ้ามาได้อย่างไร”
เฉินตันจูยิ้มให้นาง “คิดถึงท่าน จึงเดินทางมาดู”
หลิวเวยหน้าแดง ถึงแม้เฉินตันจูยิ้มให้นาง แต่ว่านางรู้สึกถึงสีหน้าผิดปกติของเฉินตันจู
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” นางอดถามไม่ได้ “ฮองเฮาลงโทษเจ้าอีกแล้วหรือ”
เฉินตันจูส่ายหัว “ไม่”
อาอวิ้นยืนอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง นางยังไม่ลืมว่านางเคยปฏิบัติไม่ดีต่อคุณหนูท่านนี้ในหุยชุนถังครั้งนั้น
“คุณหนูตันจูอยากชมสวนไม่ใช่หรือ” นางเตือนด้วยความใจกล้า “เวยเวยเจ้าพาคุณหนูตันจูไปเถิด”
เฉินตันจูตอบรับ หันหลังเดินไปยังทิศทางหนึ่ง หลิวเวยยังไม่ทันตั้งสติได้ อาอวิ้นรีบโบกมือให้นาง หลิวเวยจึงรีบเดินตามไป
เมื่อเห็นทั้งสองคนจากไป คุณหนูท่านอื่นต่างโล่งใจ ถึงแม้พวกนางไม่ได้ล้อมเข้าไปด้วยความระมัดระวัง แต่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ตื่นเต้นอย่างมาก
เฉินตันจูนี้ดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าที่เคยพบในงานเลี้ยงเสียอีก
อาอวิ้นยืนอยู่ใกล้จึงสัมผัสได้อย่างชัดเจน เวลานี้นางลูบอก บอกว่าเวยเวยช่างเหน็ดเหนื่อย
เฉินตันจูในวันนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้
ไม่ว่าจะเป็นเฉินตันจูตอนที่ยังไม่รู้จัก หรือว่าเป็นเฉินตันจูที่รู้จักแล้ว หลิวเวยไม่เคยรู้สึกแตกต่าง แต่เฉินตันจูที่ยืนต่อหน้านางในวันนี้ สามารถใช้คำว่าอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่เหมือนอยู่ไกลลับฟ้า ท่าทางดุจดั่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แต่อารมณ์ดุจดั่งหิมะในฤดูหนาวมาบรรยาย
เฉินตันจูไม่พูดเหมือนแต่ก่อน พวกนางเดินไปตามทางช้าๆ หลิวเวยบอกว่าดูดอกไม้นี้ นางก็หันไปดู หลิวเวยบอกดูต้นไม้นี้ นางก็หันไปดู ไม่มีการตอบรับ ทำให้หลิวเวยพูดต่อไปไม่ได้
“ตันจู” หลิวเวยหยุดลง
เฉินตันจูหันกลับมามองนาง ตอบรับ
หลิวเวยมองดวงตาที่พร่ามัวดุจภูเขาจับไหล่ของนาง ถาม “เจ้าเป็นอันใด เจ้า ดูผิดปกติ”
เฉินตันจูมองนาง “สิ่งที่พวกท่านพูด ข้าได้ยินหมดแล้ว”
หลิวเวยผงะ ก่อนสีหน้าจะซีดลง…ก่อนหน้านี้นางเพียงแค่สงสัย แต่เวลานี้มั่นใจแล้ว
“คุณหนูตันจู สิ่งที่พวกข้าพูด” นางตะกุกตะกักต้องการพูดบางสิ่ง แต่ไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร
เฉินตันจูพูดขัดนาง “พี่เวยเวย ถึงแม้ข้าจะเป็นคนชั่วร้าย แต่ข้าไม่ชอบให้สหายของข้าเป็นคนชั่วร้ายเหมือนกัน” พูดจบนางก็หันหลังเดินจากไป
หลิวเวยยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อยากจะวิ่งตามไป แต่แขนขาอ่อนระทวยล้มนั่งลงบนพื้น
…
คุณหนูคนอื่นรวมถึงอาอวิ้นรอคอยอยู่ทางเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง ไม่กล้ารีบร้อนหรือรำคาญใจ
“เวยเวยและคุณหนูตันจูสนิทกันอย่างมาก” นายหญิงใหญ่ตระกูลฉางพูดกับท่านแม่ของหลิวเวย
“เวยเวยเป็นเด็กที่น่าชื่นชมแต่เด็ก พี่น้องในตระกูลล้วนชอบเล่นกับนาง เวลานี้คุณหนูตันจูก็เช่นกัน”
ท่านแม่ของหลิวเวยยิ้ม ส่วนบุตรสาวสนิทกับ พี่น้องในตระกูลแต่เล็กหรือไม่ เรื่องที่ผ่านไปแล้วย่อมไม่ต้องพูดถึง
ทางนี้กำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน ทางด้านนอก พ่อบ้านเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตะโกน “คุณหนูตันจูไปแล้วขอรับ”
ทุกคนในห้องต่างผงะ เหล่าฮูหยินตระกูลฉางลุกขึ้นยืน “เหตุใดจึงจากไปแล้ว ยังไม่เข้ามาแม้แต่ครั้งเดียว”
สีหน้าของพ่อบ้านหวาดกลัว นายท่านใหญ่ให้มาถามเหล่าฮูหยิน ตอนที่เขาได้ข่าว คนทั้งขบวนวิ่งมาหน้าประตูอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงแต่รถม้าที่เคลื่อนตัวจากไป ก่อให้เกิดฝุ่นควันตลบอบอวล ท่ามกลางฝุ่นควันนั้นยังมีรถอีกสองคันที่เตรียมตัวออกเดินทาง ชายชราหนึ่งคนและชายหนุ่มหนึ่งคนกำลังถือขนมน้ำตาล กำลังยกหม้อชามกะละมัง ส่วนชายหนุ่มปากแหลมคนหนึ่งกำลังลากลิงน้อยตัวหนึ่ง…
นายท่านใหญ่ตระกูลฉางมองคนทั้งสองที่ตนเองพาไปพักนี้ คุณหนูตันจูหมายความว่าอย่างไร ให้เขาดูนางซื้อขนมน้ำตาลและเล่นกายกรรมหรือ
หลิวเวยที่อยู่จวนทางด้านหลังถูกพยุงเข้ามา ทุกคนต่างถามด้วยความร้อนใจ
“เกิดเรื่องใดขึ้น”
“เจ้าอย่าร้องไห้”
“พวกเจ้าทะเลาะกันหรือ”
“เวยเวย เจ้าทำอันใดให้คุณหนูตันจูโกรธ”
เสียงบ่นเสียงห่วงใยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าทุกคนถามอย่างไร หลิวเวยเพียงแค่เอาสองมือปิดหน้า หลั่งน้ำตาไม่พูดสิ่งใด
ทั้งจวนตระกูลฉางราวกับถูกเมฆดำปกคลุมในทันที
เฉินตันจูที่กลับไปยังภูเขาดอกท้อก็มีสีหน้าไม่ดีนัก เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อส่งสายตาเป็นเชิงถามอาเถียนที่เดินเข้ามา อาเถียนส่ายหัวต่อพวกนาง นางก็ไม่รู้ นางพาคนขายน้ำตาลและคนเล่นกายกรรมไปพัก ทันใดนั้นก็พบคุณหนูเดินออกมา บอกว่าจะกลับ จากนั้นจึงเดินทางกลับ…
นางถามว่าเกิดอะไรขึ้นบนรถ แต่เฉินตันจูปิดปากเงียบไม่พูด
“มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ทะเลาะกับคุณหนูเวยเวย” นางพูดกับเยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อเสียงเบา
ในขณะที่ทั้งสามคนรวมตัวกัน ก็พบเฉินตันจูนั่งลงบริเวณหน้าประตูห้อง เรียกขานอาเถียน
“เรียกคนขายน้ำตาลกับคนเล่นกายกรรมขึ้นมา” เฉินตันจูพูด “ให้ทุกคนดีใจ”
ยังมีคนขายน้ำตาลกับคนเล่นกายกรรม? ชุ่ยเอ๋อและเยี่ยนเอ๋อถามอาเถียน อาเถียนแบมือให้พวกนาง บอกว่าอีกเดี๋ยวทำท่าทางดีใจเสียหน่อย จากนั้นจึงไปเรียกคนขายน้ำตาลกับคนเล่นกายกรรมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเข้ามา
ในลานสวนของอารามเล็กคึกคักขึ้นมา หม้อเล็กต้มน้ำตาล หอมอบอวลไปทั่ว อาจารย์ชราหนวดขาวสะบัดช้อนไปมา แปลงรูปต่างๆ ออกมา ลิงน้อยตีลังกาอยู่ในลานสวนอย่างต่อเนื่อง…
ชุ่ยเอ๋อและเยี่ยนเอ๋อดูจนอดปรบมือขึ้นมาไม่ได้ อาเถียนยิ้มพลางชี้ให้เฉินตันจูดูอันนี้ดูอันนั้น
เฉินตันจูดูไปดูมา น้ำตาของนางหลั่งไหลลงมาช้าๆ
ในที่สุดนางก็รู้ เหตุใดจดหมายของจางเหยาเมื่อชาติก่อนถึงได้หายไป ไม่ใช่เพราะความประมาทของจางเหยาแต่อย่างใด หากเป็นเพราะความชั่วร้ายของผู้อื่น
จางเหยาเดาได้แล้วใช่หรือไม่ ดังนั้นเขาถึงสิ้นหวังเช่นนั้น แต่เขาไม่เคยพูดให้ร้ายตระกูลของพ่อตาแม้แต่น้อย เขาจากไปอย่างโศกเศร้าเช่นนั้น
ภายในใจของเขาต้องเศร้าเพียงใด
เขาตายอย่างน่าเศร้า ตายอย่างน่าเศร้า น่าเศร้าเสียเหลือเกิน