“ฝ่าบาท ดึกมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬที่ยืนอยู่ข้างนอกเตือนให้เขารู้เบาๆ พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองไปทางท้องฟ้าทิศตะวันออก ป่านนี้บรรดาภิกษุที่วัดหลิงอิ่นคงตื่นกันทุกรูปแล้ว หากเรื่องที่องค์ชายบุกเข้ามายังปีกฝั่งนี้ตอนกลางดึกถูกพบเข้าละก็ ไม่รู้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาจะเป็นอย่างไร มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ชื่อเสียงของบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนจะพังพินาศจนไม่เหลือชิ้นดี
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมรู้ถึงความจริงข้อนี้ดี แต่เดิมนั้นมันก็ดึกมากอยู่แล้ว เขาไม่ควรจะมาที่นี่ในวันนี้เลยด้วยซ้ำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วยาวของตัวเองเข้าหากัน พร้อมกับส่งเสียงตอบรับอย่างเกียจคร้านว่า ’อืม’ และชักมือของตัวเองกลับมา เขาบอกเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”วันพรุ่งนี้ เจ้าไปหาขันทีซุนเสีย เขาจะเตรียมรถม้าคันใหม่เอาไว้ให้”
“ทำเช่นนั้นคงไม่ค่อยดีนัก” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยทอแสงวาบ ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มออกมา ”หากข้าได้รับการดูแลมากเกินไป ย่อมทำให้คนอื่นอิจฉาได้ง่าย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้ามองนาง น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง ”ขันทีซุนจะหาข้ออ้างดีๆ ให้เจ้าเอง”
“เช่นนั้นก็ตกลง” อย่างไรเสีย เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็อยากจะนั่งสบายๆ อยู่ในรถม้าเหมือนกัน ในเมื่อไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง นางจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความสุขสบายนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หาวออกมาอีกครั้งอย่างเกียจคร้าน แล้วกำชับกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่า ”ตอนท่านออกไป ช่วยปิดประตูให้ข้าดีๆ ด้วย ยุงในป่าไผ่มันเยอะ”
ผู้หญิงคนนี้กำลังออกคำสั่งกับองค์ชายอยู่หรือ
เงาทมิฬได้ยินเสียงจากในห้อง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ และเมื่อเขาได้สติกลับมา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เดินออกมาข้างนอกแล้ว
“ฝ่าบาท” เงาทมิฬลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รายงานข่าวล่าสุดที่ตนสืบมาได้ให้กับผู้เป็นนายฟัง เขาควรจะรอดูท่าทีให้ดีเสียก่อน มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นกับดัก
อย่างไรเสีย แม่นางอวิ๋นก็แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น
แม้แต่เงาทมิฬเองก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมองค์ชายถึงได้เลือกเด็กสาวตระกูลเฮ่อเหลียนผู้นี้
เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขาต้องการที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของสี่ตระกูลใหญ่
หากเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้
เขาเพียงแค่รู้สึกสงสารคุณหนูเฮ่อเหลียนผู้นี้ นางคงจะไม่รู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว…
เงาทมิฬมองด้านหลังของตนอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามฝีเท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไป
วันรุ่งขึ้น แดดกำลังดี มีสายลมสดชื่นบริสุทธิ์พัดแผ่วเบา
มื้อเช้ายังคงเป็นอาหารมังสวิรัติเช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้ ผักพวกนั้นถูกปลูกเอาไว้ที่ด้านหลังของวัด สามารถเด็ดมารับประทานสดๆ ได้ทันที นำไปผัดในกระทะเพียงสองครั้งก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว
ดูเหมือนว่าวันนี้อดีตฮ่องเต้จะอารมณ์ดีมากทีเดียว หลังจากเสวยอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เขาก็ไม่ได้สั่งให้บรรดาลูกศิษย์ติดตามเขาไปอีก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับมุ่งหน้าไปยังสวนที่อยู่ด้านหลังวัดเพื่ออธิษฐานขอพร
นอกจากวัดหลิงอิ่นจะขึ้นชื่อเรื่องการไหว้พระขอพรแล้ว สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่ก็คือการทำนายเนื้อคู่
ตอนนี้พวกนางก็อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ในบรรดาคุณหนูจากตระกูลขุนนางเหล่านั้น ย่อมมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้สึกหวั่นไหวกับเรื่องนี้ พวกนางเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมอีกครั้งว่า ตราบใดที่มีสาวใช้นำทางให้ พวกนางก็จะขอตัวไปจุดธูปเสียหน่อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นางใช้โอกาสตอนที่มีคนอยู่รอบตัวเพียงน้อยนิดนั้นคว้าแขนเสื้อของเฮยเจ๋อเอาไว้
เฮยเจ๋อรู้สึกว่ามันแปลกๆ ”เฮ้ เจ้าเป็นคนรุกเข้าหาข้าก่อนนะ”
“เลิกใช้น้ำเสียงชวนให้เข้าใจผิดเช่นนั้นได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยแบมือออก ในมือของนางมีสร้อยลูกประคำสีขาวไข่มุกอยู่ หากหญิงใดได้สวมสิ่งนี้ นางจะต้องงดงามเป็นอย่างยิ่ง ”เจ้าฝากให้ข้าไปขอสิ่งนี้มาเองนี่”
ดวงตาของเฮยเจ๋อเป็นประกาย ”สุดท้ายเจ้าก็สามารถเอามันมาได้จริงๆ”
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมคุกเข่าคำนับขนาดนั้นโดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทนมาเลยหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางมองดูสีหน้าของเขา ”อะไรกัน เจ้าคิดที่จะเอามันไปให้หวานใจสมัยเด็กของตัวเองเพื่อคุ้มครองให้นางปลอดภัยหรือ”
สีหน้าของเฮยเจ๋อเปลี่ยนเป็นเย็นชา ”ใครจะอยากเอามันไปให้ของเล่นที่ไม่รู้จักบุญคุณพรรค์นั้นกัน ข้าเพียงแค่อยากเก็บไว้เล่นเองต่างหาก”
“เล่นกับสร้อยลูกประคำสำหรับผู้หญิงนี่น่ะหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”รสนิยมของคุณชายเฮยช่างประหลาดแท้”
เฮยเจ๋อไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เขาเก็บสร้อยข้อมือนั้นเข้าที่ ”ก็ยังดีกว่าใครบางคนที่เสียมารยาทต่อองค์ชายสามอย่างไม่สมควรละนะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยบิดขี้เกียจราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด
เฮยเจ๋อเอ่ยเสียงเบา ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยคำเตือน ”อย่าปล่อยให้ตัวเองหลงกลเขาได้ องค์ชายสามกำลังพยายามเข้าหาเจ้าอยู่ เรื่องมันคงไม่ได้ธรรมดาถึงเพียงนั้นแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วยาวได้รูปของตน ยิ่งนางได้ฟัง นางก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของเฮยเจ๋อนั้นตรงประเด็นทีเดียว
“คุณชายเฮย ทำไมท่านถึงยังมัวมาอยู่ที่นี่เล่าขอรับ!” ขันทีซุนกัดฟันพลางยกแส้หางม้าในมือขึ้น ”อดีตฮ่องเต้กำลังตามหาตัวท่านให้ทั่ว”
เฮยเจ๋อหันหน้ากลับไป แล้วปรายตามองขันทีซุนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ เจ้าเองก็รักษาตัวด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงตอบรับอย่างไร้อารมณ์ว่า ’อืม’
จากนั้นขันทีซุนก็มองมาทางนาง ครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสาวเท้าเดินเข้ามา เขาแค่นหัวเราะ ’หึๆ’ แล้วเอ่ยว่า ”ข้าได้ยินมาว่าเข่าของคุณหนูมีแผล ดังนั้นจึงควรได้นั่งรถม้าสบายๆ ข้าเตรียมการเอาไว้ให้แล้ว ตอนที่อดีตฮ่องเต้เสด็จออกมา จะมีขันทีมาช่วยนำทางคุณหนูใหญ่ไปที่นั่น ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องที่เหลือนะขอรับ”
“ขอบคุณขันทีซุนที่อุตส่าห์ช่วยเหลือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยจากใจจริง นางปฏิบัติเช่นนี้กับคนอื่นอยู่เสมอ อีกทั้งยังไม่เคยปฏิบัติกับใครแตกต่างกันเพียงเพราะฐานะ
“เรื่องนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้วขอรับ” ขันทีซุนยิ้ม ในอดีตนั้น เขาไม่ได้นำเด็กสาวจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์คนนี้มาใส่ใจมากนัก เขาเป็นขันทีในราชสำนัก และได้รู้เห็นเรื่องภายในครอบครัวของตระกูลเก่าแก่มามากมาย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่าเหตุใดชื่อเสียงของนางจึงตกต่ำลงจนมาอยู่ในสถานะปัจจุบันได้ แม้แต่จวนอ๋องมู่หรงก็ยังไม่ประสงค์ที่จะแต่งงานกับนาง
คงต้องบอกว่าเป็นเพราะนางไม่มีอำนาจบารมี คนไร้ค่าอย่างไรก็ยังคงเป็นคนไร้ค่าอยู่วันยังค่ำ แต่เพราะนางเป็นคนไร้เดียงสาจนเกินไป นางจึงไม่รู้จักประเมินสถานการณ์ให้ดี และตกหลุมพรางของคนอื่นอยู่เสมอ
ตอนแรกเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้านายของตัวเองถึงได้เลือกนาง
แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ขันทีซุนก็รู้สึกเอ็นดูเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ในใจเล็กน้อย
นางไม่ได้เป็นคนสิ้นคิด หรือเย่อหยิ่ง ไม่ได้เป็นคนที่ชอบข่มคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวพวกเขา
หากฝ่าบาทไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็คงจะยังไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเติบโตมาถึงขั้นนี้แล้ว
หากนางเป็นคนอื่น อาศัยแค่เพียงความโปรดปรานที่องค์ชายมีให้ ป่านนี้ก็คงกลายเป็นคนนิสัยเสียไปแล้ว แต่ตลอดการเดินทางในครั้งนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ได้มีเจตนาที่จะพึ่งพาแสงขององค์ชายสามเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม นางกลับเป็นคนที่รับใช้ได้ง่ายที่สุด
คุณหนูจากตระกูลขุนนางพวกนั้นก็อายุยังน้อยเหมือนนาง แต่ตอนที่อยู่บ้าน พวกนางต่างก็เคยชินกับการถูกบิดามารดาประคบประหงม พอพวกนางออกจากบ้าน พวกนางก็ยังเอาแต่อยากได้โน่นนี่ไม่มีที่สิ้นสุด
แน่นอนว่าคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในวัดหลิงอิ่นนั้นมีไม่มากนัก คุณหนูและคุณชายของแต่ละตระกูลสามารถนำข้ารับใช้ติดตามมาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น มีหลายอย่างที่พวกเขาไม่ควรแสดงออกเวลาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์อดีตฮ่องเต้
แต่เป็นคนละเรื่องกับตอนที่พวกเขาอยู่คนเดียว ขันทีภายใต้การบังคับบัญชาของเขาถูกคนพวกนั้นสั่งให้ทำโน่นทำนี่จนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพูดเลยด้วยซ้ำ
หากไม่ใช่ว่าอาหารไม่อร่อย เช่นนั้นก็จะมาจากการที่พวกเขาปฏิเสธที่จะอยู่ในห้องแคบๆ หน้าตาธรรมดาเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ยืนกรานจะให้พ่อครัวในวัดทำขนมให้พวกเขาเพิ่ม แค่เพราะพวกเขาอยากกินอีกด้วย
ขันทีซุนรู้สึกเอือมระอากับคนพวกนี้ยิ่งนัก รอจนพวกเขาลงจากเขาก่อนเถอะ เขาจะหาโอกาสจัดการพ่อแม่ของคนพวกนั้นเสียให้เข็ด
อาจเป็นเพราะปัญหาพวกนี้ที่เขาต้องเจอ จึงทำให้ขันทีซุนรู้สึกว่าในสายตาของเขานั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยดูน่าเอ็นดูทีเดียว เขาไม่ได้บอกว่าจิตใจของคุณหนูจากตระกูลขุนนางเหล่านั้นเลวร้ายไปเสียหมด เพียงแต่ว่าคนพวกนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกเหนื่อยมากเกินไปก็เท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยออกจะแตกต่างจากนั้นอยู่สักหน่อย นางพูดน้อยคำ และปกตินั้นแทบจะไม่พูดจากับผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียว ดูเหมือนว่าถ้าหากนางไม่ได้กำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อยู่ เช่นนั้นนางก็จะหลับ
แต่ทันทีที่นางเปิดปากพูด ไม่ว่านางจะพูดกับใคร นางก็จะสุภาพเป็นอย่างยิ่ง
ความสุภาพเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่ขันทีซุนเคยพบเห็นมาก่อน
ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสนาบดีที่คิดจะประจบเอาใจเขา แต่เพียงเพราะว่าขันทีซุนรู้จักคนเหล่านั้นดี หึ ทันทีที่เขาหันหน้าไปอีกทาง คนพวกนั้นก็จะเรียกเขาว่าสุนัขรับใช้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำให้เขารู้สึกแตกต่างออกไป จะอธิบายอย่างไรดี... มันเหมือนกับว่าเขากับนางเสมอกัน เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นแค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่ง
ความเป็นกันเองเช่นนี้ย่อมเป็นที่ต้องการภายในวังหลวง
ขันทีซุนแอบคิดในใจว่าองค์ชายตัดสินใจได้ถูกต้องที่เลือกจะส่งตัวคนเช่นนี้เข้าวัง…