อินซอบร้องเอ๊ะเพราะรู้สึกว่าสายตาพร่าเลือนพร้อมกับนิ่วหน้า
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
เสียงที่ได้ยินจากตรงหัวเตียงทำให้เขาลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ อีอูยอนกำลังนั่งยิ้มอยู่ตรงเก้าอี้ของคนเฝ้าไข้
“เอ่อ…”
เขาพูดไม่ออก เพราะตกใจมาก
“ผมได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลน่ะครับ ร่างกายคุณโอเคแล้วหรือยังครับ”
น้ำเสียงนั้นนิ่งและสุขุมไม่ต่างจากปกติ อินซอบได้แต่จ้องมองอีอูยอนโดยไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เพราะกำลังตกใจกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
“เป็นแบบนี้ได้ยังไงครับ”
“เอ่อ คือว่า คือ…ผะ ผมล้ม…”
เขาไม่กล้าบอกความจริงว่าเขาโดนคังยองโมอัดจนล้ม
“ล้มแบบนั้นเรื่อยๆ ได้ยังกันครับ”
“ขอโทษครับ”
“ความเจ็บปวดไม่ใช่ความผิดของคุณอินซอบนะครับ”
อีอูยอนห่มผ้าให้อินซอบพลางจัดผ้าห่มที่ยับยู่ยี่ให้เข้าที่และพูดต่อ
“แต่มันทำให้ผมรำคาญนิดหน่อยครับ”
“…”
“เพราะคุณเจ็บป่วยอยู่เรื่อย ผมก็เลยต้องคอยเป็นห่วงอยู่ตลอด”
แม้จะห่มผ้าอยู่ แต่อินซอบกลับรู้สึกหนาว
“ยิ่งไปกว่านั้นคือผมหงุดหงิดที่ไม่สามารถมีอะไรกับคุณได้ตามอำเภอใจด้วย สิ่งที่กวนใจผมมีเยอะเลยล่ะ”
อีอูยอนพูดแบบนั้นก่อนจะปรับท่าทางเพื่อนั่งลง เขาเพ่งมองอินซอบ แม้ตาจะยิ้ม แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนโดนจับผิด
“เรื่องพวกนี้ทำให้ผมเบื่อขึ้นเรื่อยๆ”
ภายในหัวของอินซอบขาวโพลน เขาเคยคิดว่าอีอูยอนจะพูดแบบนี้เมื่อไร ไม่สิ ความจริงแล้วเขาคิดอยู่ตลอดนั่นแหละ อีอูยอนไม่ใช่คนที่เหมาะกับตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาเองไม่ใช่ตัวเอกในเทพนิยาย และนี่ก็เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เทพนิยาย
“ผมว่าเราพอเถอะครับ”
ลักษณะการพูดช่างราบเรียบราวกับถามว่าจะกินข้าวเย็นด้วยกันไหม อินซอบมองอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอยและขยับปากอย่างยากลำบาก
“…ผม…ทำอะไรผิดเหรอครับ”
“ไม่เลยครับ”
“แล้วทำไมจู่ๆ ถึง…”
อีอูยอนหยิบเสื้อคลุมตัวนอกที่ถอดไว้ขึ้นมาก่อนจะลุกจากที่ เขาคว้าชายเสื้อของอีอูยอนไว้
“ถ้าเป็นเพราะสุขภาพของผม ผมจะพยายามให้มากขึ้นครับ ผมจะกินข้าวให้เยอะขึ้น จะออกกำลังกาย และถ้าจำเป็น ผะ ผมจะไปรับการรักษาอย่างอื่นด้วยครับ”
เขารั้งชายหนุ่มด้วยสภาพที่ไม่ดีมากกว่าที่จินตนาการไว้หลายเท่า อีอูยอนยิ้มอย่างละเหี่ยใจพร้อมกับหลุบตามองต่ำ
“คิดว่าเหตุผลที่ผมชอบคุณอินซอบคืออะไรเหรอครับ”
อินซอบกะพริบตา และตอบคำถามที่ถูกโยนมาโดยไม่ทันได้คาดคิดว่า “ผมไม่รู้ครับ” ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
นี่เป็นความจริง เขาไม่รู้เหตุผลที่อีอูยอนชอบตน เขาไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ได้มีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม ไม่ได้มีเงินเยอะ และไม่มีความสามารถที่โดดเด่นอะไรเลยสักอย่างเดียว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจ เพราะตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่อีอูยอนชอบตนเหมือนกัน
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เหตุผลนั้นน่ะ”
อีอูยอนแกะนิ้วที่จับชายเสื้อไว้ออกทีละนิ้ว ดวงตาที่งดงามของเขาโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวที่เกี่ยวอยู่กับกิ่งไม้
“แล้วผมยังจำเป็นต้องรู้เหตุผลที่เกลียดด้วยเหรอ”
“คุณอูยอน…”
อีอูยอนเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป อินซอบดึงเข็มน้ำเกลือที่ติดอยู่กับข้อมือออก และวิ่งเท้าเปล่าออกไปนอกห้องพักผู้ป่วย เขามองเห็นด้านหลังของอีอูยอน น้ำตาของเขาเอ่อขึ้นมาและลมหายใจก็ติดขัด
เขาอยากจะเรียกอีกฝ่ายไว้ แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อ เพราะกลัวว่าใครจะได้ยิน
“เดี๋ยวครับ เดี๋ยวก่อนครับ…”
อีอูยอนค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ความคิดที่ว่าถ้าอีกฝ่ายหายไปแบบนี้ทุกอย่างก็จะจบลงผุดขึ้นมา อีอูยอนหันกลับมาเมื่อเดินไปถึงสุดทางเดิน นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะสามารถคว้าอีกฝ่ายไว้ได้
…
“…!”
อินซอบเด้งตัวขึ้นจากเตียง ทั่วทั้งตัวชื้นไปด้วยเหงื่อ และหัวใจก็เต้นดังตุบๆ
“แฮ่กๆ…”
เขาหอบหายใจพลางมองไปรอบๆ ภายในห้องพักผู้ป่วยที่เงียบสงบเต็มไปด้วยเสียงการทำงานของเครื่องทำความชื้น อินซอบนั่งเหม่ออยู่พักหนึ่งถึงได้รู้ว่าทุกอย่างคือความฝัน แม้จะรับรู้ว่าเป็นความฝัน แต่ตัวของเขากลับไม่หยุดสั่น
“ไม่เป็นไร มันเป็นแค่ฝัน…”
อินซอบนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ตอนเด็กๆ เขาฝันร้ายอยู่บ่อยๆ ในวันที่จะต้องไปโรงพยายบาลในวันรุ่งขึ้น หรือวันที่ช่วงปิดเทอมหมดลง ความกังวลใจเป็นเหตุให้ฝันร้ายออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
อินซอบดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มถึงไหล่และพึมพำว่าไม่เป็นไร แต่ยิ่งทำแบบนั้น ก็ยิ่งนึกถึงสีหน้า แววตา และน้ำเสียงของอีอูยอนที่เห็นในฝันได้อย่างชัดเจน
อินซอบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากตู้เก็บของ ตีสองแล้ว แม้จะรู้ว่าเป็นเวลาที่ดึกเกินไปที่จะโทรศัพท์ไปหา แต่เขาก็ไม่หยุด เพราะอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจด้วยตัวเองว่ามันเป็นแค่ฝันด้วยเสียงของอีอูยอน
เสียงสัญญาณดังอยู่ไม่กี่ครั้งและเปลี่ยนไปเป็นโหมดการคุยโทรศัพท์หลังเสียง แกร๊ก
“ฮัลโหลครับ”
[…]
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา อินซอบเช็กหน้าจอโทรศัพท์มือถือว่าต่อสายอยู่หรือไม่
“ฮัลโหล?”
[…ฟังอยู่ครับ]
น้ำเสียงทุ้มต่ำของอีอูยอนย้อนกลับมาหา
“ขอโทษครับ ดึกแล้วแท้ๆ…”
[ดึกสินะครับ]
อีอูยอนพูดซ้ำราวกับจะใคร่ครวญถึงคำพูดของอินซอบ อินซอบมึนงงเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปทันที
“ถ้าคุณนอนอยู่ ผมจะโทรกลับไปทีหลังครับ”
[ยังไม่นอนครับ]
นี่ไม่ใช่คำพูดที่พูดไปอย่างนั้น เขาแน่ใจว่ามันไม่ใช่น้ำเสียงที่เพิ่งตื่นนอน และเป็นเสียงพูดที่ชัดเจนมาก
ว่ากันว่าโดยทั่วไปแล้วมีเงื่อนไขสามอย่างที่จำเป็นสำหรับนักแสดงที่มีพรสวรรค์ นั่นคือหน้ากาก ทักษะทางการแสดง และน้ำเสียง
โดยเฉพาะน้ำเสียงของอีอูยอนนั้นอยู่ในขั้นที่สามารถบอกได้ว่าได้รับพรจากพระเจ้า มีพลังอยู่ในน้ำเสียงของเขา ถึงขนาดที่พอจะสั่นไหวความรู้สึกของคู่สนทนาได้เลยทีเดียว
[ผมฟังอยู่ครับ พูดมาเลย]
อีอูยอนบอกให้รู้อีกครั้งว่าตนยังอยู่ในสาย อินซอบกำโทรศัพท์แน่นและสูดลมหายใจเข้าช้าๆ แม้จะตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำตัวอ่อนแอ แต่เสียงของอีอูยอนก็ทำให้ความตั้งใจนั้นพังลงอย่างไม่เป็นท่า
“…ผมโทรมาเพราะอยากได้ยินเสียงของคุณอูยอนครับ”
อินซอบค่อยๆ สารภาพถึงความรู้สึกภายในจิตใจของตนเองออกมาอย่างซื่อตรง คราวนี้เขาได้ยินเสียงหายใจอย่างช้าๆ จากฝั่งนั้น “จะบ้าตาย” และได้ยินเสียงของอีอูยอนที่ฟังดูเหมือนพูดคนเดียวตามมา น้ำเสียงที่แฝงด้วยความโกรธรางๆ ทำให้อินซอบมึนงงไปชั่วขณะ
[บางครั้งผมก็คิดนะครับ ว่าคุณยังแก้แค้นไม่เสร็จหรือเปล่า]
อินซอบรู้ตัวช้าเกินไปว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องเจนนี่ และตอบกลับไปว่าไม่ใช่แบบนั้น ตนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
[ถ้ากำลังแก้แค้นอยู่ ก็พอได้แล้วครับ เพราะผมได้รับโทษที่ควรจะได้รับแล้ว]
“ไม่ใช่จริงๆ นะครับ ทำไมผมต้องทำแบบนั้นกับคุณอีอูยอนด้วยล่ะ”
[นั่นสินะครับ ถ้าคุณอินซอบว่าอย่างนั้น ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละครับ]
ลักษณะการพูดที่ฟังดูเหมือนตำหนิทำให้อินซอบเกร็งมือที่กำโทรศัพท์มือถือไว้
“…ผมโทรศัพท์มาเพราะแค่อยากได้ยินเสียงครับ จริงๆ นะครับ”
นี่ก็ดึกมากแล้ว และอินซอบก็เพิ่งจะเคยเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปก่อนในเวลาแบบนี้เป็นครั้งแรก เขากลัวว่าตัวเองกำลังทำเรื่องที่เสียมารยาทอย่างมากลงไปหรือเปล่า
[ถ้าอยากได้ยินเสียงก็ฟัง CD ที่ผมให้ไปที่บ้านก็ได้นี่ครับ]
น้ำเสียงเย็นชา เขาไม่รู้เลยว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงเป็นแบบนี้ แม้จะพยายามที่จะไม่เป็นแบบนั้น แต่เขากลับนึกถึงภาพของอีอูยอนในความฝันอยู่ตลอด อินซอบกัดริมฝีปากล่าง และกลั้นน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาไว้
วันนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ เขายังแก้ปัญหาเรื่องคังยองโมไม่ได้ และด้วยนิสัยของคนคนนั้น อีกฝ่ายจะต้องโผล่มาทำเรื่องชั่วร้ายหลังจากนี้แน่ๆ ส่วนเรื่องที่ยุนอารึมเล่าให้ฟังก็ทำให้เขากังวลใจ ตนเองที่คบกับดาราเป็นชนชั้นสาม และเป็นคนที่อยู่ต่ำที่สุดในบรรดาชนชั้นสามทั้งหลายด้วย เพราะเขาไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะได้เป็นตัวเอกถ้าหากอีอูยอนประกาศแต่งงาน
สิ่งที่เขากลัวมากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือสภาพร่างกายของตัวเอง
แม้ผลตรวจจะยังไม่ออก แต่เขาอาจจะต้องผ่าตัดอีกครั้งก็ได้
จะต้องกลับไปที่อเมริกาอีกรอบเหรอ แล้วเมื่อไรจะได้กลับมาที่เกาหลีอีกครั้งล่ะ การผ่าตัดจะสำเร็จหรือเปล่า ถึงจะผ่าตัดสำเร็จ แต่เราก็อาจจะไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ก็ได้ อีอูยอนจะยินดีกับตัวเราที่เป็นแบบนั้นหรือเปล่า แล้วมันจะถือว่าเป็นการทำให้วุ่นวายและรำคาญไหม
ความกังวลใจเกิดขึ้นเป็นทอดๆ เหมือนไฟที่ติดใบไม้แห้ง เพราะฉะนั้นเขาถึงอยากได้ยินเสียงของอีอูยอน แม้ไม่ได้คาดหวังถึงการปลอบโยนที่อ่อนโยนและอบอุ่นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ แต่เขาก็ภาวนาให้เจ้าตัวหยุดการเย้าแหย่อันเป็นลักษณ์เฉพาะโดยการบอกว่าล้อเล่นเสียที
[ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหรอครับ]
อีอูยอนเอ่ยถาม
“…ขอโทษครับที่ผมรบกวนคุณโดยไม่จำเป็นในเวลาแบบนี้ ฝันดีครับ”
อินซอบไม่อยากโดนจับได้ว่าร้องไห้ เขาจึงรีบวางโทรศัพท์ไป และน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ระเบิดออกมา
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอีอูยอนยังกอดอินซอบที่ตื่นตกใจอย่างอ่อนโยน และช่วยปลอบตรงชั้นใต้ดินของตึกบริษัทอยู่เลย ท่าทีของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และไม่สามารถเข้าใจได้ทำให้ความเศร้าของอินซอบเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
“อย่าร้อง ไม่มีอะไรหรอก…”
ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงมากกว่านี้มาแล้ว
เพื่อที่จะรู้เกี่ยวกับอีอูยอน เขาเคยตามติดอีกฝ่ายอยู่หลายวัน เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสตอลกเกอร์และโดนแจ้งความด้วย เคยโดนมีดบาดนิ้ว เพราะถูกแฟนคลับดันจนล้ม และเคยทรุด เพราะอาหารเป็นพิษ เนื่องจากกินขนมปังที่คุณภาพไม่ดีเข้าไปเพื่อที่จะประหยัดค่าอาหารด้วย
ตอนนี้ดีกว่าจนไม่สามารถเทียบกับตอนนั้นได้ด้วยซ้ำ หากมองตามรูปธรรม สมองของเขารู้ถึงความจริงนั้น แต่ความเศร้าเสียใจก็พุ่งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แขนเสื้อของชุดผู้ป่วยเปียกไปด้วยน้ำตาทันที
ในตอนที่เขากำลังจะลุกออกจากเตียง เพราะคิดว่าจะต้องไปล้างหน้า เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น อินซอบรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะรับโทรศัพท์
“…พูดมาได้เลยครับ”
[ร้องไห้เหรอครับ]
“เปล่าครับ ไม่ได้ร้อง”
แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็น แต่อินซอบก็เช็ดตาอีกครั้งหนึ่ง
[อย่าร้องไห้ในที่ที่ไม่มีผมสิครับ ถ้าไม่อยากเห็นผมบ้าคลั่ง]
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
นี่เป็นเรื่องที่เขาสัญญากับอีอูยอนเอาไว้
[อยู่ที่ไหนครับ]
อินซอบตื่นตระหนก ในเวลาที่ดึกแบบนี้ แต่อีกฝ่ายกลับถามว่าอยู่ที่ไหน แทนที่จะถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ อินซอบสั่นกลัวอยู่พักหนึ่งก่อนจะอ้าปากพูดอย่างยากลำบาก
“…กำลังจะนอนครับ”
เขาไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปตรงๆ ได้เช่นกัน
เขาเห็นแววตาของอีอูยอนที่โดนกาแฟราดเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อตอนกลางวัน ถ้าอีอูยอนรู้เรื่องคราวนี้ เจ้าตัวคงจะไม่ใช้แค่ก้อนอิฐ แต่จะใช้ค้อนใหญ่ๆ ฟาดคังยองโมอย่างแน่นอน
หลังจากได้ยินคำตอบของอินซอบ อีอูยอนก็เงียบไปครู่หนึ่ง
หรือว่าเขาจะรู้อะไรบางอย่างนะ
อินซอบรู้สึกกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้น ความเงียบที่น่าอึดอัดทำให้อินซอบกดดันราวกับเป็นนักโทษประหารชีวิตที่กำลังรอคำตัดสิน
[ผมจะอ่านหนังสือให้ฟังครับ]
ปลายสายตอบกลับมาด้วยคำพูดที่คาดไม่ถึง
“ตอนนี้เหรอครับ ไม่ต้องหรอกครับ ไม่เป็นไร”
[คุณบอกว่าโทรศัพท์มาหาเพราะอยากได้ยินเสียงนี่ครับ นอนฟังนะครับ แล้วก็เปิดลำโพงทิ้งไว้]
อีอูยอนไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นได้ยินคำปฏิเสธของอินซอบ และออกคำสั่ง เนื่องจากเป็นบรรยากาศที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ อินซอบจึงเปิดลำโพงตามที่อีอูยอนสั่งโดยไม่สามารถพูดอะไรได้ และวางลงข้างเตียง
[เพิ่มเสียงด้วย]
อินซอบรีบเพิ่มเสียงให้ดังที่สุด เขาคิดว่าโชคดีแล้วที่ได้เข้าพักในห้องพักสำหรับหนึ่งคน ไม่ใช่สำหรับหกคน
เขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะกำลังเลือกหนังสือ เขานึกภาพของอีอูยอนที่ยืนอยู่หน้าชั้นวางหนังสือขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และได้ยินเสียงอีกฝ่ายพลิกกระดาษหลังจากเลือกหนังสือได้แล้ว
[ในตอนที่รถบัสเลี้ยวเข้าโค้งของภูเขา ฉัน…]
อินซอบรู้ว่าอีกฝ่ายเลือกหนังสือเล่นไหนมาก่อนที่จะอ่านจบประโยคเสียอีก ‘การท่องเที่ยวไม่มีสิ้นสุด’ เป็นนิยายที่เขาท่องจำคำนำของนิยายเล่มนี้ได้ทั้งหมด เพราะอ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
[ฉันได้ยินพวกเขาทำตัวมีมารยาทและพูดคุยกันด้วยเสียงเบาๆ ไม่เหมือนเป็นคนต่างจังหวัดในสภาพที่งัวเงีย]
น้ำเสียงที่ไพเราะและนุ่มนวลของอีอูยอนไหลเอื่อยๆ อยู่ระหว่างประโยคในหนังสือ ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลก นิยายที่เขาชอบจนจำประโยคได้ทั้งประโยคเข้ามาใกล้อย่างไม่คุ้นเคย
อีอูยอนไม่หยิบยื่นการปลอบโยนที่อ่อนโยนให้ และไม่พูดจาหวานๆ อีกฝ่ายแค่เลือกหนังสือที่ตนชอบที่สุด และอ่านให้ฟังด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเท่านั้น
เสียงพลิกหน้าหนังสือและเสียงลมหายใจหยุดเป็นระยะๆ คำพูดต่างๆ ที่ถูกทำให้แยกจากกันและนำมาต่อกันสลับกันไปเรื่อยๆ ผ่านน้ำเสียงของชายหนุ่มเข้ามาในหูของเขาเอง ความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาทำให้อินซอบทำตัวไม่ถูก และกำผ้าห่มไว้แน่น
[ฟังอยู่หรือเปล่าครับ]
อินซอบตอบคำถามที่ถูกโยนมาระหว่างทางว่าครับ และอีอูยอนก็เริ่มอ่านหนังสืออีกครั้ง
อินซอบคิดว่าเขาพอใจจนไม่อาจจะมีอะไรดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
และค่อยๆ หลับตาลง