เหล่าคุณชายเริ่มต้นบทสนทนาต่อจากก่อนหน้านี้อีกครั้ง มีใครบางคนถามขึ้นมาว่า ”พี่เฮย ท่านรู้จักกับคุณหนูเฮ่อเหลียนได้อย่างไรหรือ เมื่อก่อนเราก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านางสนใจเพียงแค่มู่หรงซื่อจื่อ แต่ทำไมตอนนี้ แม้กระทั่งของที่ท่านชอบกิน หรือของที่ท่านอยากได้ นางก็ล้วนรู้ชัดเจนทุกเรื่องเลยเล่า”
เฮยเจ๋อยิ้ม ”แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วยหรือ พวกเจ้าจะไปทำอะไรก็ไปเสีย แต่ห้ามมาแตะต้องลูกประคำของข้าก็พอ เข้าใจไหม”
“รู้แล้วๆ พวกข้ารู้แล้ว” คุณชายทั้งสองมองตากันด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้ขันทีซุนได้นำถ้วยชาถ้วยใหม่มาเปลี่ยนแล้ว และกำลังจะส่งมันให้กับผู้เป็นนาย แต่แล้วเขาก็พบว่าฝ่ามือของอีกฝ่ายกำลังกำเศษถ้วยชาที่เหลืออยู่เอาไว้แน่น มีเลือดไหลออกมาไม่น้อย
ขันทีซุนถึงกับร้องลั่นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูเบื่อหน่ายอย่างที่สุดขณะชักมือของตนกลับเข้าไปใต้แขนเสื้อ และเช็ดคราบเลือดนั้นด้วยท่าทางใจเย็น จากนั้นเขาก็โยนผ้าเช็ดหน้าสีขาวทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ และไม่ได้รับถ้วยชามาจากขันทีซุน ใบหน้าของเขาดูไม่ยินดียินร้ายจนเหมือนกับว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บนั้นไม่ใช่ตัวเขาแต่อย่างใด
ขันทีซุนไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาวางถ้วยชาเอาไว้ข้างๆ
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยของบรรดาคุณชาย เขาก็รู้สึกอึดอัดเหมือนจะไม่สบายไปทั้งตัว
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด นอกไปเสียจากการที่เขารู้สึกว่า รอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนมุมปากขององค์ชายมาตั้งแต่แรกนั้น มันยังไม่จางหายไปเลยแม้แต่นิดเดียว!
“ไปกันเถอะ พวกเราไปชมโถงหน้าวัดกัน” รอยยิ้มอันฉลาดหลักแหลมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอดีตฮ่องเต้ พร้อมกันนั้นเขาก็หันหน้ามาเอ่ยว่า ”พวกเจ้าเองก็คงอยากรู้เหมือนกันล่ะสิ ว่าเด็กสาวพวกนั้นกำลังอธิษฐานอะไรอยู่”
ใบหน้าของคุณชายจำนวนไม่น้อยถึงกับขึ้นสี ต่อให้พวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่เพียงใด แต่อย่างไรทุกคนก็ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะไม่มีผู้หญิงสักคนอยู่ในใจ
ป่าไผ่ไหวน้อยๆ สายลมสดชื่นเย็นสบายพัดโชยตลอดทาง พวกมันไม่ได้ทำให้นางรู้สึกร้อนอบอ้าวแต่อย่างใด กลับทำให้รู้สึกสบายตัวมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ไปอธิษฐานขอพรเหมือนกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และคนอื่นๆ แต่นางก็ไม่สามารถเลื่อนกำหนดการได้ ดังนั้นนางจึงทำเพียงแค่นั่งอยู่ใต้ต้นฮว๋ายบริเวณหน้าประตูทางเข้าห้องโถงเท่านั้น นางเอนหลังลงเล็กน้อย ทุกครั้งที่ต้นไม้บริเวณชายป่าสั่นไหว กลีบดอกไม้อันบางเบาก็โปรยปรายลงมาราวกับหิมะ กลีบดอกไม้สองกลีบหล่นลงบนหลังมือของนางด้วยความบังเอิญ ภาพนั้นดูงดงามอย่างมาก
เมื่อบรรดาคุณชายมาถึงที่นี่และเห็นภาพนี้เข้า พวกเขาก็ถึงกับต้องชะงักฝีเท้า ทุกคนจ้องมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง
เมื่อเฮยเจ๋อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็กลัวว่าอดีตฮ่องเต้จะตำหนิเอาได้ จึงปลุกนางเสียงดังว่า ”ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
จากนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ลืมตาขึ้น และส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างเกียจคร้าน เมื่อนางเห็นกลุ่มคนที่ค่อยๆ เดินเข้ามาจากทางด้านหลังของเฮยเจ๋อ นางก็ยืนขึ้นอย่างสุภาพ แต่ก็ไม่ได้แสดงความสนิทสนมกับพวกเขาแต่อย่างใด
อดีตฮ่องเต้ยังไม่เห็นเหตุการณ์ฝั่งนี้ เพราะเวลานั้นเขากำลังเงยหน้าขึ้นมองดูควันธูปอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง
เฮยเจ๋อหรี่ตาลง ”เข้าไปกับพวกข้าเดี๋ยวนี้ หากมีคนเจตนาไม่ดีมาเห็นว่าเจ้าอยู่ข้างนอก พวกเขาอาจจะไปป่าวประกาศได้ว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของพวกเรา”
“ก็ได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยหาว มุมหนึ่งในดวงตาของนางยังคงดูอ่อนล้าอยู่ นางเงยหน้าขึ้น และบังเอิญสบกับสายตาเย็นชาปานน้ำแข็งของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ไม่ไกลเข้า
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ เขาจ้องนางตาไม่กะพริบ แสงในดวงตาของเขาซุกซ่อนอยู่ในความมืด เหมือนกับบ่อน้ำโบราณที่ถูกน้ำแข็งปกคลุม
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่ครู่ใหญ่ แม้แต่บรรดาคุณชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังนิ่งเงียบ พร้อมกับมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และหันกลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
หนังศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับชาวาบจากสายตาของชายหนุ่ม นางอยากหาโอกาสดีๆ หันหน้าไปทางอื่นเสีย
แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะของอดีตฮ่องเต้ดังขึ้น ”นี่คุณหนูจากตระกูลเฮ่อเหลียนมิใช่หรือ อะไรกัน เจ้าไม่เข้าไปข้างในเพื่อไหว้พระและอธิษฐานขอพรกับคนอื่นๆ หรือ”
“หม่อมฉันกำลังจะไปเพคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบ พร้อมกับคำนับอีกฝ่ายด้วยความเคารพ จากนั้นจึงทำท่าจะเดินออกไป
อดีตฮ่องเต้เป็นคนใจกว้างนัก ”ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องไปคนเดียวหรอก ไปกับพวกเราก็แล้วกัน”
“เพคะ” ใช่ว่าเรื่องนี้จะสำคัญกับเฮ่อเหลียนเวยเวย อย่างไรเสียตอนที่เข้าไปในนั้น นางก็แค่เขย่าเซียมซีสักสองครั้ง จากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอธิษฐานขอพรอะไรอีก
หลังจากพูดจบ อดีตฮ่องเต้ก็ทำเพียงหันหลังกลับ แล้วเดินนำกลุ่มคุณชายทั้งหมดเข้าไปในห้องโถง
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะซ่อนตัวอยู่เงียบๆ และเดินตามหลังพวกเขาไป
แต่นางไม่คิดเลยว่าฝีเท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะช้าถึงเพียงนี้ ตรงนี้จึงมีนางอยู่กับเขาสองคน คนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้า อีกคนเดินอยู่ข้างหลัง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็ไม่ได้พูดอะไร สีหน้าเฉยเมยของเขานั้นดูราวกับว่าเขาจำนางไม่ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังเล่นกับวัสดุที่ใช้สร้างอาวุธในมือ และไม่ได้สนใจกับท่าทางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเช่นกัน
แต่ในขณะที่นางกำลังจะขึ้นบันได คนที่อยู่ข้างหน้านางก็ดูเหมือนจะหยุดเดิน จู่ๆ นางก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มลึกนั้นเอ่ยขึ้นมาว่า ”ดูเหมือนเจ้าจะดีกับเฮยเจ๋อมากทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ องค์ชายสามถึงได้พูดประโยคนี้ขึ้นมา เมื่อสายตาของนางสบเข้ากับดวงตาของชายหนุ่ม นางก็เห็นแต่ดวงตาอันแสนเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่นเท่านั้น
บรรยากาศโดยรอบคล้ายจะลดลงไปหลายองศา เขาสะบัตแขนเสื้อยาวๆ บนชุดสีขาวของตน เฮ่อเหลียนเวยเวยมองแขนเสื้อที่ขยับขึ้นลง และภาพแผ่นหลังสูงสง่าอันเย็นชาของเขา นางรู้สึกงุนงงมากทีเดียว…
ขันทีซุนวิ่งเข้ามา แล้วกระซิบข้างหูนางว่า ”คุณหนูใหญ่ ดูแลตัวเองด้วย ช่วงนี้องค์ชายอารมณ์ไม่ดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะบอกว่านางก็เห็นอยู่เหมือนกัน แต่นางเพียงแค่ไม่รู้ว่าทำไม
ขันทีซุนไม่มีเวลาพูดอะไรมากนัก เขารีบก้าวยาวๆ สองสามก้าวขึ้นบันไดตามไป
ภายในห้องโถงใหญ่ของวัด มีเสียงเขย่าเซียมซีดังขึ้นเบาๆ เสียงนั้นดังติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน
บรรดาสาวใช้ต่างก็พากันยืนกลั้นหายใจ ไม่กล้าขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า ด้วยเกรงว่าแม้แต่เสียงเพียงแค่นิดเดียวก็อาจจะทำให้ความเงียบสงบนี้พังทลายลง และส่งผลกระทบต่อดวงชะตาของผู้เป็นนายได้
ตอนที่พวกเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปถึง บรรดาคุณหนูต่างก็พากันยืนอออยู่ด้านข้าง พวกนางต่างมีแท่งไม้ไผ่อยู่ในมือ พวกนางอยากให้พระสงฆ์ที่วัดอ่านดวงชะตาของตนให้ แต่ก็ยังลังเลอยู่ พอพวกนางเงยหน้าขึ้น แล้วเห็นว่าอดีตฮ่องเต้กำลังเดินนำบรรดาคุณชายจากทุกตระกูลเข้ามาภายในโถง ตอนแรกนั้นพวกนางทำได้เพียงแค่มองอย่างตกตะลึง แต่จากนั้นก็กำไม้ไผ่ในมือแน่น ใบหน้าของพวกนางขึ้นสีกันทีละคนสองคน จากนั้นพวกนางก็ทำความเคารพอีกฝ่าย
อดีตฮ่องเต้โบกแขนเสื้อบอกให้พวกนางลุกขึ้น แล้วพาตัวเจ้าอาวาสฟางจ้างมาเพื่อให้เขาช่วยอ่านดวงชะตาให้กับพวกนาง
ต้องรู้ว่าการที่ใครสักคนจะได้รับคำทำนายดวงชะตาจากวัดหลิงอิ่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงในการรับทำนายดวงชะตาเพียงแค่สามครั้งต่อวันเท่านั้น หากมากกว่านั้น ไม่ว่าคนที่มาขอรับให้ทำนายดวงชะตานั้นจะทรงอิทธิพลเพียงใดก็ไร้ผล
แต่พวกเขาไม่มีตัวเลือกนอกจากต้องยอมรับว่าดวงชะตาที่วัดหลิงอิ่นทำนายออกมานั้นแม่นยำอย่างที่สุด มีเสนาบดีและขุนนางจำนวนไม่น้อยจากในเมืองหลวงที่ยอมลำบากเสียเวลาเดินทางหลายวันมาที่นี่ เพียงเพื่อรอรับโอกาสสามครั้งในการทำนายดวงชะตาตั้งแต่เช้าตรู่
ดังนั้นทันทีที่พวกนางได้ยินว่าเจ้าอาวาสฟางจ้างจะเป็นผู้มาอ่านดวงชะตาให้ด้วยตัวเอง คุณหนูที่มีไม้ไผ่เซียมซีอยู่ในมือจึงเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
อย่างไรเจ้าอาวาสฟางจ้างก็แทบจะไม่เคยอ่านดวงชะตาให้กับผู้ใด การขอให้เขาให้คำแนะนำสักสองสามคำก็ยังยากยิ่งกว่า
จึงสามารถกล่าวได้ว่าครั้งนี้ เขายอมทำเช่นนี้ก็เพื่อความสะดวกสบายของพวกนางทั้งสิ้น
หญิงสาวทุกคนนำไม้ไผ่เซียมซีที่ตนอธิษฐานออกมา แม้พวกนางจะไม่ได้บอกว่าพวกนางอธิษฐานอะไร แต่ทุกคนก็รู้ว่าจากความเป็นไปได้สิบส่วน มีแปดถึงเก้าส่วนทีเดียวที่พวกนางจะอธิษฐานถามเรื่องคู่ครองสำหรับแต่งงาน
เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยื่นไม้ไผ่เซียมซีของตนออกไป นางก็หันหน้าไปเหลือบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ด้านข้าง ดวงตาของนางสั่นไหวอย่างประหม่า แต่กระนั้นนางก็ยังดูน่ารักอย่างมาก นางยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
สาวใช้ของนางรู้สึกพอใจยิ่งนักที่เห็นว่านางเริ่มลงมือ ในอดีตนั้นคุณหนูของนางเป็นคนขี้อายเกินไป แต่ตอนนี้ในที่สุดนางก็รู้จักเป็นคนเริ่มกับเขาเสียที ดี ดียิ่งนัก
คุณชายบางคนก็เห็นภาพนี้เหมือนกัน ความโศกเศร้าฉายชัดขึ้นในดวงตาของพวกเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังยืนอยู่ที่เดิม และยังคงคิดไม่ออกว่านางไปทำอะไรให้องค์ชายสามโมโหเอาได้ แต่แล้วนางก็ได้ยินเฮยเจ๋อพูดขึ้นมาว่า ”แม่นาง ทำไมเจ้าไม่ไปเสี่ยงเซียมซีดูสักครั้งล่ะ”