เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ตอนที่นางหันหน้าไปหาขันทีซุน ดวงตาของนางก็มีประกายแสงวาบขึ้น ”มีอยู่เรื่องหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรขอรับ คุณหนูใหญ่พูดออกมาเถิด” ขันทีซุนเป็นงานยิ่งนัก ความมากประสบการณ์ของเขาทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกผ่อนคลาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนใบไม้ในมือ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า ”พวกขันทีตัวน้อยของขันทีซุนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก อีกทั้งยังสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”
ขันทีซุนไม่คิดว่าคำพูดประโยคนี้เป็นการเอ่ยชมพวกเขา
ขันทีซุนรับใช้อยู่เคียงข้างองค์ชายมานาน เขาย่อมสามารถเข้าใจน้ำเสียงนี้ได้อย่างชัดเจน หัวใจของเขาเต้นโครมคราม ”คุณหนูใหญ่หมายถึงเรื่องอะไรหรือ”
“ตอนที่พวกเรากำลังมาที่วัดหลิงอิ่น รถม้าของข้าทั้งเก่า ทั้งยังถูกใครบางคนยื่นมือเข้ามายุ่งอีกด้วย ด้วยเหตุนั้นข้าถึงขึ้นรถม้าของคุณหนูเสิ่นมา”
หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ นางก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า ”ต้นไม้ที่โค่นขวางทางบนภูเขานั่นก็ถูกบรรจงตัดมาเป็นอย่างดี มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่น่าจะถูกโค่นลงด้วยกำลังภายในมากกว่า”
เมื่อขันทีซุนได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้งนี้อดีตฮ่องเต้มอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแลการเดินทางมายังวัดหลิงอิ่น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่โตหรือเล็กน้อยเพียงใดก็ต้องผ่านเขาก่อนทั้งสิ้น
แล้วรถม้าจะมีปัญหาได้อย่างไร
แน่นอนว่าย่อมต้องมีใครสักคนในหมู่พวกเขาที่ยอมรับเงินสินบนลับหลังเขาถึงได้มีเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้น!
เขาต้องรีบไปสอบสวนให้รู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาคนไหนที่มันมือยาวเสียจนรับสิ่งที่ไม่สมควรรับมา เขาต้องถีบเจ้าหมอนั่นออกจากวังหลวงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้มีหายนะเกิดขึ้นอีกหลังจากนี้!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ขันทีซุนก็เงยหน้าขึ้น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า ”เรื่องพวกนี้ ทำไมเมื่อวานคุณหนูใหญ่ถึงไม่พูดล่ะขอรับ”
“ขันทีซุนเป็นคนขององค์ชายสาม ตลอดการเดินทางที่ผ่านมานี้ ท่านเองก็ไม่ได้เหยียบย่ำอะไรข้า ดังนั้นข้าก็จะไม่พูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูด” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเพียงไม่กี่คำ
แต่คำพูดพวกนั้นกลับทำให้หัวใจของขันทีซุนสั่นสะท้าน
คนฉลาดอย่างเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร คุณหนูใหญ่เฮ่อเหลียนรักษาชื่อเสียงของเขาอยู่
มิฉะนั้นหากนางเปิดเผยทุกสิ่งออกไปในเหตุการณ์เมื่อวาน ต่อให้เขาจะไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องนี้ แต่เขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องได้รับโทษไปด้วยไม่มากก็น้อย ข้อห้ามสูงสุดของอดีตฮ่องเต้คือห้ามสมคบคิดกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
เขายอมรับว่าตัวเองมีความโลภอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยนึกอยากทรยศผู้เป็นนาย และไม่คิดที่จะทำงานให้กับตระกูลใดมาก่อน
ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนขันทีใต้การบังคับบัญชาของตัวเองใหม่ยกชุดแล้วในอนาคตนั้น สถานการณ์ภายในวังหลวงมีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หากยังมีผู้ที่ไร้ซึ่งความจงรักภักดีอย่างแท้จริงเช่นนี้หลงเหลืออยู่ละก็ มันก็จะกลายเป็นข้อเสียเปรียบสำหรับองค์ชายเอาได้
ขันทีซุนหลุบตาลง แล้วคำนับนางจากใจจริง ”บ่าวขอขอบคุณคุณหนูใหญ่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม นางไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่นางทำลงไปนั้นน่าประทับใจสำหรับใครนัก จริงอยู่ที่วิธีการที่นางใช้รับมือกับเรื่องต่างๆ นั้นล้วนแต่โหดเหี้ยมไร้เมตตา แต่นั่นก็เพราะมีคนมาหาเรื่องนางก่อน แต่กับคนที่ไม่ได้มาหาเรื่องนางนั้น นางจะเหลือทางออกไว้ให้กับพวกเขาเสมอ ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายก็ยังเป็นผู้อาวุโสที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย จึงไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้บริสุทธิ์อย่างเขาต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย
แต่ขันทีซุนคนนี้ก็เป็นคนฉลาด เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าหน้าที่ของตนคืออะไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งจะพูดเรื่องนี้กับเขาไปหยกๆ และสิ่งแรกที่เขาทำคือการนำมันไปกราบทูลให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบ
พระหัตถ์ของอดีตฮ่องเต้ที่ถือบทสวดมนต์เอาไว้ทิ้งตัวลงอย่างแรง พร้อมกันนั้นเขาก็หัวเราะเยาะออกมาอย่างเย็นชา ”ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะเห็นข้าเป็นแค่ตาแก่คนหนึ่ง”
ขันทีซุนหลุบตาลง ”เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยหรือ ลุกขึ้นเถอะ” อดีตฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อ แล้วหัวเราะออกมา ”แต่เด็กสาวคนนี้ช่างให้ความสำคัญกับความรักและความยุติธรรมมากจริงๆ อีกทั้งยังสามารถรับมือกับเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ในอนาคตหากนางได้อยู่ข้างกายอาเจวี๋ย ตอนที่ข้าจากโลกนี้ไป ข้าก็คงสามารถไปได้อย่างสบายใจแล้ว”
ขันทีซุนกำลังจะอ้าปากพูด แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไร เขาเข้าใจนิสัยของผู้เป็นนายดี เจ้านายของเขาคงเลือกที่จะสังหารคนนับพันเพราะความเข้าใจผิด ดีกว่าปล่อยให้คนคนเดียวรอดพ้นจากเงื้อมมือไปได้
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ธรรมชาติของเขาเป็นคนเย็นชายิ่งนัก แม้จะดูสุภาพในเวลาอันสมควร แต่วิธีการของเขาก็โหดเหี้ยมเกินไป
เหมือนดังที่อดีตฮ่องเต้ทรงตรัสไว้ เขาเองก็หวังเอาไว้เหมือนกันว่าจะมีใครสักคนที่สามารถทำให้องค์ชายสามไม่ทำตัวชั่วร้ายจนเกินไปหลังจากขึ้นครองบัลลังก์
“ให้ทุกคนเข้ามาได้” อดีตฮ่องเต้ดื่มยาที่อยู่ในมือ แล้ววางบทสวดมนต์ลง พร้อมกับออกคำสั่งด้วยท่าทางเฉยเมย
เวลานี้เฮยเจ๋อมาถึงแล้ว เขาซ่อนสร้อยลูกประคำสีขาวที่ห้อยอยู่บนมือของตัวเองได้ไม่ดีเท่าใดนัก จึงถูกสหายร่วมสำนักที่มีสายตาเฉียบคมเห็นเข้า
“นั่นมันของปลุกเสกของวัดหลิงอิ่นมิใช่หรือ คุณชายเฮยไปได้มาได้อย่างไร” สายตาละโมบนั้นจ้องมองลูกประคำสีขาวที่อยู่ในมือของเฮยเจ๋อ และคิดที่จะยื่นมือไปสัมผัสมัน
เฮยเจ๋อตวัดสายตาไปมองเขา ความเย็นชาของเขาทำให้การเคลื่อนไหวของคนคนนั้นชะงักไป
คุณชายอีกคนหยิบพัดกระดาษของตนขึ้นมาพัดให้ตัวเองเบาๆ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า ”พี่หลี่ ข้าคิดว่าท่านคงอยากมีเรื่องจริงๆ กระมัง ของชิ้นนั้นย่อมต้องมีคนมอบมันให้เป็นของขวัญกับคุณชายเฮยอยู่แล้ว ตอนที่ท่านมาถึง ท่านไม่เห็นหรือว่าคุณชายเฮยถูกใครบางคนลากตัวไป”
“ถูกใครบางคนลากตัวออกไปหรือ ใครกัน” ชายคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสับสนงุนงง
คุณชายที่ถือพัดอยู่ในมือยิ้มออกมาเล็กน้อย ”จะเป็นใครไปได้เสียอีก ก็คุณหนูจากตระกูลเฮ่อเหลียนอย่างไร ลูกประคำเส้นนี้ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ได้มาง่ายๆ การจะได้รับมาสักเส้นนั้น จำเป็นต้องคำนับเป็นสิบๆ ครั้ง คุณชายเฮยยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เหมือนเคย ทุกคนถึงได้หลงรักท่านถึงเพียงนี้…”
‘แกร๊ก! เพล้ง!’ เสียงของแตกดังขึ้น!
แม้จะไม่บอก แต่คุณชายที่ถือพัดเอาไว้ในมือก็ถึงกับตกใจจนตัวสั่น
ขันทีตัวน้อยแทบจะลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คาดไม่ถึงเลยว่าชาถ้วยแรกขององค์ชายสามจะร่วงลงไปบนพื้นเช่นนี้!
อย่าบอกนะว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ถือมันไว้ให้ดี เพราะมันเป็นไปไม่ได้ เขาถึงกับใช้สองมือประคองมันไว้ด้วยซ้ำ
ขันทีตัวน้อยไม่เพียงเอาแต่คิดเช่นนี้อยู่ในหัว ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ลนลาน และพยายามจะใช้แขนเสื้อของตนเช็ดน้ำชาบนมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่แล้วก็ถูกสายตาเย็นชาเป็นน้ำแข็งนั่นทำให้กลัวจนตัวแข็งค้างอยู่กับที่เสียก่อน
แต่ในระหว่างที่เขากำลังงุนงงอยู่นั้น นึกไม่ถึงเลยว่าองค์ชายสามผู้รักความสะอาดกลับไม่ได้รีบร้อนหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนขึ้นมา แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับยังมองตรงไปเช่นเดิม ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่สีหน้าของเขาดูคล้ายจะเหม่อลอยเล็กน้อย
ตอนที่ขันทีซุนมาถึง สิ่งที่เขาเห็นก็คือภาพนี้ เขาแผดเสียงขึ้นด้วยหัวใจอันเจ็บปวดว่า ”องค์ชายถูกลวกตรงไหนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ทำไมพวกเจ้ายังไม่รีบไปเอาน้ำแข็งมาอีก!”
“ขอรับ! ขอรับ!” ในที่สุดขันทีตัวน้อยก็กลับมาตั้งสติได้ เขารีบร้อนวิ่งออกไป
เขาทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียว
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไร้ชีวิตชีวาอยู่ตลอดระยะเวลานั้น แต่ตอนที่มันไปหยุดอยู่ที่ข้อมือของเฮยเจ๋อ มันก็เปลี่ยนเป็นสายตาทิ่มแทงอันยากยิ่งที่จะเข้าใจได้
“ไม่จำเป็น” เขาค่อยๆ ปัดหยดน้ำบนนิ้วของตัวเองออกอย่างไม่ใส่ใจ ทิ้งไว้เพียงรอยแดงเป็นปื้นอย่างชัดเจน
เฮยเจ๋อหันมาทางเขา แล้วเลิกคิ้วขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาเลยด้วยซ้ำ ตอนที่เขาเดินผ่านอีกฝ่าย บรรยากาศรอบตัวของเขานั้นเย็นเยียบอย่างที่สุด อีกทั้งยังเฉยชาอย่างมาก มีแต่เพียงความเย็นชาเข้ากระดูกเท่านั้นที่ปรากฏออกมา
ขันทีซุนรีบร้อนเดินตามหลังผู้เป็นนายไป พร้อมกับถือขี้ผึ้งที่เอาไว้ทาแผลไฟลวกอยู่ในมือ
เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่องค์ชายมีแผลนั้นคือเมื่อใด ดูเหมือนจะเป็นตั้งแต่เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในวังหลวงคราวนั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่เคยเห็นรอยแผลอื่นบนร่างขององค์ชายอีกเลย
แล้ววันนี้เขาถูกชาร้อนลวกได้อย่างไร หัวใจของขันทีซุนเต็มไปด้วยความเสียใจที่ตนไม่อาจรับใช้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยตัวเองได้
ไม่มีบุตรชายขุนนางคนใดที่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญ เพราะจากสีหน้าขององค์ชายสามแล้ว เขาก็ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนใจเลยแม้แต่น้อย เส้นโค้งที่อยู่บนริมฝีปากของเขากลับยิ่งเด่นชัดกว่าในยามปกติเสียอีก ขันทีซุนตื่นตูมกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น
แต่อย่างไรอดีตฮ่องเต้ก็ยังเป็นอดีตฮ่องเต้ คนคนนี้เป็นหลานชายของเขา แม้เจ้าหนูนี่จะเป็นคนที่มองออกยากมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็เข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายดี
เจ้าหนูนี่เพียงแค่ไม่มีความสุขก็เท่านั้น…