ในขณะที่หลิวจั่งกุ้ยและจางเหยาเดินตามออกมาจากภายในจวน เฉินตันจูได้นั่งรถจากไปแล้ว มีเพียงหลิวเวยยืนซับน้ำตาอยู่หน้าประตู
“ควรรั้งคุณหนูตันจูทานข้าวด้วยกัน” หลิวจั่งกุ้ยพูดด้วยความละอาย “ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณ”
หลิวเวยเช็ดน้ำตา ยิ้มให้หลิวจั่งกุ้ย “ไม่ต้องเกรงใจ คุณหนูตันจูไม่ใช่คนอื่น”
หลิวจั่งกุ้ยเหลือบมองบุตรสาว หลังจากที่รู้ตัวตนของเฉินตันจู ภายนอกบุตรสาวดูเหมือนไปมาหาสู่กับเฉินตันจูอย่างเรียบเฉย แต่ในความเป็นจริงกังวลเป็นอย่างมาก เวลานี้บุตรสาวถึงได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง เป็นเพราะว่าเฉินตันจูช่วยนางจัดการเรื่องของจางเหยาหรือ
เขาเหลือบมองจางเหยา เห็นสีหน้าของชายหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เขาเดินทางกลับมาอย่างรีบร้อนหลังจากได้รับข่าวอันน่าตื่นตระหนก เวลานี้จึงได้ตระหนักถึงปัญหาบางอย่าง จางเหยากลับมากับเฉินตันจูและหลิวเวยได้อย่างไร หลิวเวยกลับมาได้อย่างไร ภรรยาของตนอยู่ที่ใด
“เสี่ยว…” เขาเรียกขาน
จางเหยาพูดขัดเขาอย่างเขินอายเล็กน้อย “ท่านลุง ข้าโตเพียงนี้แล้ว อย่าได้เรียกชื่อเล่นอีกเลย”
หลิวจั่งกุ้ยหัวเราะ จับมือของเขาเอาไว้ ทั้งดีใจทั้งโศกเศร้า “จางเหยา ชื่อนี้ ข้ากับบิดาของเจ้าหารือกันตั้งขึ้น เพียงชั่วพริบตาเจ้าก็เติบใหญ่เพียงนี้แล้ว”
หลิวเวยเรียกขานเสียงเบาอยู่ด้านข้าง “ท่านพ่อ เข้าไปคุยกับคุณชายจางด้านในเถิด”
หลิวจั่งกุ้ยตอบรับ ก่อนจะเหลือบมองหลิวเวยอีกครั้ง หลิวเวยไม่มีทีท่ากังวล ต่อต้าน หรือขุ่นเคืองแม้แต่น้อย หากแต่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าสบายใจ
“ไป เข้าไปเถิด” เขาข่มความสงสัยเอาไว้ จับมือของจางเหยาเดินเข้าประตูไป “เวยเวย เจ้าไปเตรียมการให้โรงเตี๊ยมจัดอาหารส่งมา”
หลิวเวยตอบรับ ก่อนจะสั่งให้บ่าวรับใช้ไปจัดเตรียมอาหารที่โรงเตี๊ยมบริเวณใกล้เคียง ก่อนจะเรียกขานสาวรับใช้ให้เตรียมห้องพักให้จางเหยา พร้อมทั้งน้ำชาและขนม ให้หลิวจั่งกุ้ยและจางเหยานั่งสนทนากันได้อย่างสบาย
เมื่ออาหารนำส่งมาจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย มารดาของหลิวเวยและฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางก็เดินทางกลับมาอย่างรีบร้อน
มารดาของหลิวเวยถูกสาวรับใช้พยุงลงจากรถ ทันทีที่เห็นหลิวเวย นางยกมือขึ้นทำท่าจะตีลงไป “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าทำให้พวกข้าตกใจ…”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางรีบรั้งไว้
หลิวเวยไม่ทันได้อธิบาย เพียงแค่พูดขึ้นหนึ่งประโยค “ท่านแม่ ท่านป้าใหญ่ จางเหยาเดินทางมาถึงแล้ว”
มารดาของหลิวเวยและฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางผงะไป นึกไม่ออกว่าจางเหยาคือผู้ใดขึ้นมาชั่วขณะ
หลิวจั่งกุ้ยพาจางเหยาเดินออกมาจากภายในห้อง
“จางเหยาอย่างไรเล่า” หลิวจั่งกุ้ยแนะนำต่อภรรยาและฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางด้วยสีหน้าดีใจ “บุตรชายของจางชิ่งจือ จางเหยา เขาเดินทางมาถึงในที่สุด”
มารดาของหลิวเวยและฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางตั้งสติได้ สีหน้าตกตะลึง
หลิวเวยอาศัยจังหวะที่พยุงพวกนางกระซิบข้างหูเสียงเบา “คุณหนูตันจูเป็นคนตามหาจางเหยาพบ เมื่อวานพวกข้าเกิดปากเสียงกันเพราะเรื่องนี้ นางส่งข้ากลับมาพร้อมจางเหยา พวกท่านไม่ต้องกังวล”
เพียงแค่ประโยคสั้นๆ มารดาของหลิวเวยและฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางกระจ่างขึ้นอย่างมาก อีกทั้งราวกับเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
มารดาของหลิวเวยยืดตัวตรงในทันใด ยื่นมือไปหาจางเหยาอย่างดีใจ “เจ้ามาเสียที เติบใหญ่เพียงนี้แล้วหรือ”
หลิวจั่งกุ้ยแนะนำต่อจางเหยา “เจ้ายังจำได้หรือไม่ ท่านนี้คือท่านป้าของเจ้า ส่วนท่านนี้คือพี่สะใภ้ของท่านป้าของเจ้า”
จางเหยาคารวะต่อมารดาของหลิวเวย “ข้ายังจำท่านป้าได้ ท่านป้าเคยทำขนมน้ำตาลให้ข้า เลิศรสอย่างมาก”
มารดาของหลิวเวยหลั่งน้ำตาลงมาทันที “ตอนนั้นท่านแม่ของเจ้าก็ชอบใจยิ่งนัก”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางยืนอธิบายด้วยรอยยิ้มอยู่ด้านข้าง “น้องสาวพาเวยเวยมาพักอยู่ในจวนของพวกข้า แต่นางเดินทางจากไปแต่เช้าอย่างเร่งรีบ พวกข้าคิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ที่แท้ก็เป็นเรื่องที่เจ้าเดินทางมา”
ทุกสิ่งกลายเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
หลิวจั่งกุ้ยยิ้ม “มาๆ รีบนั่งลง”
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างรีบร้อน จบสิ้นลงอย่างรีบร้อน มารดาของหลิวเวยและฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางอาศัยจังหวะช่วงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดึงตัวของหลิวเวยจากมา หลิวจั่งกุ้ยมีเรื่องต้องการพูดคุยกับจางเหยาเป็นการส่วนตัวเช่นเดียวกัน จึงนำเขาไปที่ห้องตำรา
“เรื่องเป็นอย่างไรกัน” ภายในห้องของหลิวเวย มารดาของหลิวเวยและฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางซักถามอย่างรีบร้อน
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่หลิวเวยหายตัวไปเมื่อเช้านี้ เวลานี้ยังคงรู้สึกวิงเวียนเป็นอย่างมาก มารดาของหลิวเวยยกมือขึ้นตีหลิวเวยอย่างแรงหนึ่งที “ไม่ว่าเรื่องเป็นอย่างไร เจ้าควรจะบอกพวกข้าก่อน คนทั้งตระกูลตกใจกันแทบแย่”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางห้ามปรามด้วยคำพูดเกรงใจ “รอนางพูดก่อน ให้นางพูดก่อน”
หลิวเวยก้มหน้าขอโทษ เรื่องเป็นมาอย่างไร อันที่จริงนางก็ไม่กระจ่างนัก อีกทั้งเรื่องที่นางรู้ก็ไม่อาจพูดกับคนในตระกูลได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงกึ่งเดากึ่งปลอบประโลม
นางเดาว่าคุณหนูตันจูรู้เรื่องที่นางหมั้นหมาย จึงจดจำไว้ในใจ ใช้ทุกวิถีทาง…ส่วนวิธีการอย่างละเอียดในการตามหานางไม่อาจรู้ได้ แต่อย่างไรก็ตามคุณหนูตันจูมีความกว้างขวาง…ตามหาจางเหยาจนพบ จับเขา มิใช่ เชิญเขามายังภูเขาดอกท้อ
“เมื่อวานนางมาเพื่อบอกข้าเรื่องนี้ เกี่ยวกับการจัดการจางเหยา” หลิวเวยอ้างต่อ “พวกข้าทั้งสองเกิดความขัดแย้งขึ้นมา ข้าพูดจาไม่น่าฟังนัก ทำให้คุณหนูตันจูทั้งเสียใจทั้งโกรธ ดังนั้นจึงจากไป ข้าไม่กล้าบอกกับพวกท่าน นอนไม่หลับอยู่คนเดียว จึงแอบลุกขึ้นในยามฟ้ามืดมาขอโทษคุณหนูตันจู…”
สำหรับคำพูดเหล่านี้ มารดาของหลิวเวยและฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางไม่สงสัยแม้แต่น้อย อืม อีกทั้งยังดีใจเล็กน้อยด้วย
“คุณหนูตันจูและเวยเวยสนิทกันเสียจริง” ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวยเวยบอกว่านางทำให้คุณหนูตันจูโกรธอย่างไม่ตั้งใจ แต่แม่หญิงอาเถียนมาบอกว่าคุณหนูตันจูทำให้เวยเวยโกรธ เป็นความผิดของคุณหนูตันจู ทั้งสองคนต่างปกป้องกันและกัน”
ก้อนหินภายในใจมารดาของหลิวเวยถูกโยนทิ้งไป นางมองหน้าบุตรสาวด้วยความดีใจ “เวยเวยยังคงรู้สิ่งที่เหมาะสมอย่างมาก”
เมื่อนึกถึงบุตรสาวที่เชื่อฟังนี้ ก่อนจะนึกถึงจางเหยาผู้นั้น จิตใจของนางก็หนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง ก่อนหน้านี้พบกับจางเหยา ถึงแม้อีกฝ่ายจะหน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่งตัวไม่เลว แต่ชาติกำเนิดยังคง…เฮ้อ
“ท่านแม่” สีหน้าของหลิวเวยเขินอาย แต่ดวงตาเป็นประกาย “ไม่ต้องกังวล จางเหยาเขาตกลงยอมถอนหมั้นแล้ว เขาพูดกับข้าต่อหน้าของคุณหนูตันจู เวลานี้คงกำลังพูดกับท่านพ่อเช่นกัน”
มารดาของหลิวเวยทำหน้าตกใจ “เรื่องนี้ เขายอมหรือ เขาหลอกเจ้าหรือไม่ เหตุใดถึงง่ายดายเพียงนี้…”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางปรบมือขึ้นมา “มีเรื่องใดยากกัน น้องสาว เจ้าไม่ได้ยินที่เวยเวยบอกหรือ พูดต่อหน้าคุณหนูตันจู คุณหนูตันจูให้จางเหยายินยอม เขากล้าหลอกพวกเรา แต่เขากล้าหลอกคุณหนูตันจูหรือ หากหลอกคุณหนูตันจู ผลสุดท้าย…”
นางคงไม่ต้องพูด
มีคุณหนูตันจูจัดการกับจางเหยาแล้ว พวกเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอีก อีกทั้งยังไม่ต้องถูกมองว่าทรยศหักหลังต่อคำมั่นสัญญา
มารดาของหลิวเวยตั้งสติได้ มองใบหน้ายิ้มบางของบุตรสาว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นางอดยกมือขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วฟ้าไม่ได้ น้ำตาของนางหลั่งไหลลงมาด้วยความดีใจ “ดีเสียจริง ช่างเป็นการกำจัดปัญหาของทั้งตระกูลพวกเรา ท่านยายของเจ้าย่อมไม่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจเพื่อการนี้อีก”
หลิวเวยเอนพิงมารดา “ท่านแม่และท่านยายพักผ่อนได้แล้ว เพื่อเวยเวย พวกท่านอกสั่นขวัญแขวนมาหลายปีแล้ว”
มารดาของหลิวเวยลุกขึ้น “ข้าจะไปบอกท่านป้า”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางกดนางนั่งลง “เจ้ารีบร้อนอันใด ข้ากลับไปบอกก็พอแล้ว ส่วนเจ้า สิ่งสำคัญในเวลานี้คือการดูแลจางเหยา” พูดถึงตรงนี้ นางก็หันไปสั่งให้หลิวเวยไปยกน้ำชามา
หลิวเวยตอบรับพร้อมถอยออกไป มารดาของหลิวเวยเรียกขานพี่สะใภ้
“ไม่เพียงเจ้าที่ต้องดูแลจางเหยาอย่างดี พวกข้าเองก็เช่นกัน” ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางพูดเสียงเบา
“จางเหยายอมถอนหมั้นแล้ว จึงไม่มีภัยคุกคามต่อพวกเราแล้ว ส่วนคนเลวให้เฉินตันจูมารับ พวกเราทำหน้าที่เป็นคนดี ยิ่งเป็นคนดียิ่งปลอดภัย”
มารดาของหลิวเวยพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทางหลิวเวยยกน้ำชาเข้ามา ทั้งสองคนหยุดการสนทนาลง รับน้ำชามาดื่ม
ส่วนหลิวจั่งกุ้ยและจางเหยาภายในห้องตำราหลังจากดื่มชาเสร็จสิ้น จางเหยาจึงบอกจุดประสงค์ในการมาของตนเอง
“ข้ามาเพื่อถอนหมั้น” เขาพูด “เนื่องจากขาดการติดต่อ ทำให้ท่านลุงและน้องสาวต้องรอนานเพียงนี้”
หลิวจั่งกุ้ยได้ยินดังนั้น ไม่มีความตกใจ ไม่มีความดีใจ สีหน้าของเขาซับซ้อน
“อาเหยา” เขาวางถ้วยชาลง “เจ้าบอกข้า เจ้าถูกคุณหนูตันจูข่มขู่หรือไม่”
ข่มขู่หรือ จางเหยานึกถึงชื่อของคุณหนูตันจู ยิ้มบาง “นาง ไม่ได้ข่มขู่ข้า”