หลังจากทุกคนได้รับคำทำนายดวงชะตาเป็นที่เรียบร้อย จึงได้เวลาทำพิธีตามที่กำหนดเอาไว้
พิธีถวายธูปเทียนของราชวงศ์นั้นไม่จำเป็นต้องจัดให้ยิ่งใหญ่เหมือนคนทั่วไป อดีตฮ่องเต้ถือธูปเพียงแค่สามดอกเอาไว้ในมือ พร้อมกับหันหน้าไปทางพระประธาน แล้วก้มตัวลง เขาไม่ได้คุกเข่า ยิ่งการคำนับยิ่งไม่ต้องพูดถึง
จากนั้น เจ้าอาวาสฟางจ้างจึงเดินมาส่งทุกคนลงจากเขา พวกเขาแค่เดินทะลุเส้นทางกลางป่ามาเท่านั้น
อาจเพราะเขายังคิดไม่ตกจากเรื่องไม้เซียมซีเมื่อครู่นี้ เจ้าอาวาสฟางจ้างจึงดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด
อดีตฮ่องเต้สั่งให้เขาอยู่ต่อ แล้วบอกให้คุณหนูจากตระกูลขุนนางทุกคนขึ้นรถม้าไปก่อน
“ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้” อดีตฮ่องเต้เดินเลียบไปตามแนวป่าพร้อมกับเจ้าอาวาสฟางจ้าง พลางทอดสายตามองร่างที่ขยับอยู่ไกลๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความลังเล
เจ้าอาวาสฟางจ้างก้มหน้าลงด้วยความเคารพ แต่เขาก็ยังดูค่อนข้างเป็นกังวล ”อาตมารู้สึกว่านางคล้ายกับสาวใช้ที่เคยอยู่ข้างกายองค์ชายอยู่เล็กน้อย แต่อาจเป็นเพราะว่าเวลามันก็ล่วงเลยมานานแล้ว อาตมาจึงรู้สึกไม่มั่นใจเท่าใดนัก”
ดวงตาของอดีตฮ่องเต้หรี่ลง ”ท่านหมายความว่าเขาเลือกเฮ่อเหลียนเวยเวยเพราะสาวใช้คนนั้นหรือ”
“อาตมาไม่อาจตอบคำถามของอดีตฮ่องเต้ได้ เพราะอาตมาไม่ใช่องค์ชาย ดังนั้นอาตมาจึงไม่อาจมั่นใจได้ว่าองค์ชายคิดอะไรอยู่”
ทันใดนั้นเจ้าอาวาสฟางจ้างก็ค่อยๆ ลดเสียงลง ”หรือไม่ก็คงเป็นเพราะ เขาแค่สนใจนางเข้าจริงๆ”
อดีตฮ่องเต้กำมือแน่น ”ถ้า ถ้าอาเจวี๋ยไม่ได้ตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยมา เขาจะเป็นเช่นไร หรือหากวันหนึ่งสาวใช้คนนั้นกลับมา แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเฮ่อเหลียนเวยเวย”
“เขาคงจะ… อาตมาคิดว่าฝ่าบาทเองก็คงรู้ อดีตฮ่องเต้ เป็นไปไม่ได้ที่องค์ชายจะไม่รู้เรื่องของสาวใช้นางนั้น ถึงแม้ตอนนี้เขาไม่รู้ ก็จะต้องมีคนที่หาทางบอกให้เขารู้อยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นใด ย่อมเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคาดเดาอีกเช่นกัน”
เจ้าอาวาสฟางจ้างนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า ”เมื่อครู่นี้ฝ่าบาทมิได้บอกเองหรอกหรือว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่องค์ชายสามน่าจะได้พลังปราณกลับคืนมาแล้ว อาตมาว่าหากเป็นเช่นนั้น เมื่อดูจากนิสัยของเขา หากมีตัวจริงเขาก็คงไม่ต้องการตัวแทนอีก ยิ่งกว่านั้น ในเวลานี้ ทั้งฝ่าบาทและอาตมาก็ยังไม่รู้ว่าท่าทางที่เขามีให้กับตัวแทนคนนี้คืออะไรกันแน่ บางทีก็อาจจะเป็นอย่างที่ฝ่าบาทว่าไว้ในตอนแรก เขาอาจจะแค่หลอกใช้เฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อดีตฮ่องเต้ก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงทอดสายตามองออกไปอีกครั้ง แล้วตอบว่า ”ไม่ว่าทางไหนก็ดูมีความเป็นไปได้เหมือนกันทั้งสิ้น แต่มีเพียงแค่สาวใช้คนนั้นเท่านั้นที่ข้าจะไม่ยอมให้นางได้เข้าใกล้อาเจวี๋ยอีกเป็นครั้งที่สอง นางเป็นภัยต่อราชวงศ์ ตอนนั้นข้าน่าจะสั่งให้ทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารนางเสีย หากข้าทำ ตอนนี้ก็คงไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น”
“อมิตาพุทธ” เจ้าอาวาสฟางจ้างพนมมือเข้าหากัน เขาไม่ชอบพูดถึงการเข่นฆ่าเลยแม้แต่น้อย
อดีตฮ่องเต้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เมื่อเขาอ้าปากขึ้นอีกครั้ง คำพูดของเขาก็กลับมาหนักแน่น และเปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์อย่างที่เป็นเสมอมา ”ถ้าอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะรู้ว่าสาวใช้นางนั้นกลับมาแล้ว ข้าจะช่วยให้เขาได้สมหวังกับเฮ่อเหลียนเวยเวย”
เจ้าอาวาสฟางจ้างขมวดคิ้ว ”ทำเช่นนี้จะไม่ยุติธรรมกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเกินไปหน่อยหรือเปล่า” เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงแค่ตัวแทนเท่านั้น ไม่สิ บางทีคงจะเหมาะกว่าถ้าบอกว่ามันเป็นการตีวัวกระทบคราด แต่อดีตฮ่องเต้กลับกำลังผลักนางเข้าสู่กองไฟ
อดีตฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เจ้าอาวาสฟางจ้างรู้ว่าเขาตัดสินใจแล้ว
พวกเชื้อพระวงศ์มักจะทำตัวโหดเหี้ยมเช่นนี้อยู่เสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เคยขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงมาก่อน
อดีตฮ่องเต้สบตากับเขา และเอ่ยขึ้นเหมือนให้สัญญาว่า ”เมื่อเวลานั้นมาถึง หากนางเปลี่ยนอาเจวี๋ยไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะปล่อยให้นางถอนตัวออกไปอย่างปลอดภัย”
เจ้าอาวาสฟางจ้างตกตะลึง ”อดีตฮ่องเต้เชื่อหรือว่าเด็กสาวจากตระกูลเฮ่อเหลียนคนนั้นจะสามารถเปลี่ยนองค์ชายได้”
“มาลองเดิมพันกันดู” อดีตฮ่องเต้มองร่างที่อยู่ไม่ไกลนั้น ”อาเจวี๋ยไม่ใช่คนประเภทที่จะขาดสติเพราะใครได้ง่ายๆ แผนการที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นคิดขึ้นอาจจะไม่ได้ผลกับเขาเสมอไป แต่อย่างไรก็ตาม ข้าจะทิ้งอะไรไว้ให้เขาคิดดูก็แล้วกัน”
เจ้าอาวาสฟางจ้างมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างของตัวเองรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา
แม้คำพูดที่บอกว่าจะทิ้งอะไรไว้ให้เขาคิดดูของอดีตฮ่องเต้นั้นจะดูเป็นความคิดที่ดี แต่ในความเป็นจริง ถ้าหากองค์ชายยังคงมีเงาของสาวใช้นางนั้นอยู่ในใจเสมอมาล่ะ
สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย แม้นางจะได้มีชีวิตที่ดีสักแค่ไหน แต่นางก็ยังเป็นได้แค่ตัวแทนเท่านั้น
แม้ว่าวันหนึ่งองค์ชายสามจะเป็นคนลงมือสังหารสาวใช้คนนั้นด้วยมือตัวเอง ผลลัพธ์ก็คงเป็นเช่นเดิม
น่าเสียดายยิ่งนัก ทั้งที่โชคดีถึงเพียงนั้นแท้ๆ
หากว่ากันตามหลักแล้ว คนที่สามารถเสี่ยงเซียมซีได้โชคดีมาถึงเพียงนั้น ย่อมไม่ได้มีเส้นทางอนาคตเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน
เจ้าอาวาสฟางจ้างเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แล้วหันหน้าไปมองยังสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก เขาหวังเพียงว่าในเกมนี้ เด็กสาวคนนั้นจะมีวิธีรับมือกับปัญหานี้แตกต่างไปจากคนอื่น และไม่ถลำลึกจนเกินไป
อมิตาพุทธ…
เมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นสีหน้ากับการพนมมืออธิษฐานของเจ้าอาวาสฟางจ้าง เขาก็ยื่นมือออกไปให้ขันทีช่วยพยุงเขาออกไป
ในตอนนั้นนั่นเองที่เขารู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วจริงๆ
ถ้าเขายังหนุ่มยังแน่นอยู่ เขาก็คงไม่มีทางใช้เด็กสาวอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยแบบนี้แน่
ยิ่งเขาได้เห็นนาง เขาก็ยิ่งรู้สึกจริงๆ ว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคนนิสัยดีและมีเหตุผล
แต่มันก็ช่วยไม่ได้ หลานชายของเขาจำเป็นต้องมีคนประเภทนี้อยู่เคียงข้าง
ต่อให้มันเป็นไฟนรก เขาก็ทำได้เพียงผลักนางลงไป…
….
และในเวลานี้ หลังจากที่พวกนางออกมาจากวัด ในที่สุดหยวนหมิงก็สามารถกลับมาพูดได้ แต่น้ำเสียงของเขากลับยังฟังดูไร้เรี่ยวแรงกว่าในยามปกติ เขาซ่อนตัวอยู่ภายในมิติสวรรค์อย่างเกียจคร้าน ดูเหมือนไม่คิดที่จะออกมาสักระยะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น ”เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ข้าเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน” หยวนหมิงคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ”ข้าเพียงรู้สึกว่าในเวลานั้น จู่ๆ ก็มีกลิ่นอายอันคุ้นเคยปรากฏขึ้น แต่พอเจ้าเปลี่ยนที่ แล้วก็ชนเข้ากับองค์ชายสาม กลิ่นอายนั้นก็หายไป แต่อาการสั่นนั้นรุนแรงมากเกินไป อย่างไรก็ตาม เจ้าควรให้เวลาข้าได้ฟื้นฟูร่างกายตัวเองเสียก่อน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง ”กลิ่นอายอะไรหรือ”
“ข้าก็ยังไม่แน่ใจ รอจนกว่าข้าจะแน่ใจก็แล้วกัน แล้วข้าจะบอกเจ้าอีกที” หยวนหมิงสะบัดมือ แล้วปิดกั้นการสื่อสารทางจิตไป เขายังมีเรื่องบางอย่างที่ปิดบังนางเอาไว้
เขาไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า
ในเสี้ยววินาทีนั้น คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชายคนนั้น
หึ มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ชายคนนั้นถูกอาวุธเทวะอันเก่าแก่ทำลายไปแล้ว เขาจะยังอยู่บนโลกมนุษย์นี้ได้อย่างไร
เขาต้องคิดมากไปเองแน่
หยวนหมิงหาว แล้วถูใบหน้าเข้ากับปกหนังสือใหม่เอี่ยมที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนให้กับเขา แล้วเริ่มซึบซับพลังวิญญาณเพื่อบำเพ็ญพลังชีวิตของตนอีกครั้ง
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขา ก็ไม่คิดที่จะถามต่ออีก นางไม่คิดอยู่แล้วว่าปีศาจจะพูดความจริงกับนางทุกอย่าง
การพูดโกหกเป็นธรรมชาติของปีศาจ
ในเมื่อหยวนหมิงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องขุดมันขึ้นมา
เพียงแค่หายากนักที่จะเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา มันทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อาจทำความเข้าใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ เห็นได้ชัดว่าในโถงของวัดก็ดูสงบสุขดี ถ้าจะให้นางบอกว่ามีปัญหาอะไรละก็ คงจะเป็นเรื่องที่องค์ชายสามดูค่อนข้างไม่มีความสุขกระมัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงภาพตอนที่อยู่ในโถงวัดขึ้นมา แล้วขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“คุณหนูเฮ่อเหลียนขอรับ”
ระหว่างที่นางกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อตัวเอง พอนางหันหลังกลับไป ก็เห็นขันทีซุนยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าของเขามีสีหน้าลังเล ”ข้ามีเรื่องที่อยากจะรบกวนให้คุณหนูใหญ่ช่วยขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยผละมือที่กำลังเลิกม่านหน้าต่างขึ้น แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ”มีเรื่องอะไรหรือ”
“เมื่อครู่นี้ ในระหว่างที่อดีตฮ่องเต้กำลังจุดธูปไหว้พระอยู่ในวัด มือขององค์ชายได้รับบาดเจ็บเข้าน่ะขอรับ แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้ทายาเลยขอรับ” ขันทีซุนเอ่ยอย่างร้อนใจ เมื่อเขาเห็นสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ”องค์ชายอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ แต่ทันทีที่เขาเห็นรถม้า เขาก็ออกคำสั่งไม่ให้ใครเข้าใกล้แม้แต่คนเดียว อากาศก็ร้อนถึงเพียงนี้ ข้ากังวลว่ามือขององค์ชายจะเกิดหนองได้ขอรับ”