“เดี๋ยว นี่มันเกิดอะไรขึ้น” หยวนหมิงที่ตอนแรกนั้นอยู่ในมิติสวรรค์ดีๆ คล้ายกับจะสัมผัสได้จากสายเลือดว่ามีใครบางคนเรียกเขาออกมา จิตวิญญาณแรกเริ่มของเขาเกือบจะปรากฏออกมา เขาต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ถึงจะสามารถยับยั้งสัญชาตญาณปีศาจภายในตัวเอาไว้ได้ เขาไอออกมาอย่างต่อเนื่อง ”แม่นาง ขยับเข้าไปหาพระพุทธรูปที่อยู่ตรงนั้นที”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว ”เจ้าเป็นอะไรไป” นางรู้จักหยวนหมิงมาก็นานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขามาก่อน
“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” หยวนหมิงหรี่ตาลง จนกระทั่งหลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนที่ยืนเสร็จแล้ว ความกระวนกระวายอันบ้าคลั่งนั้นก็หายไป เขาดูสงสัยเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าของเขาหมองคล้ำ นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีโอกาสได้ถามอะไรกับหยวนหมิงเพิ่ม เพราะหลังจากที่นางขยับตัว นางก็บังเอิญขยับมาอยู่ด้านหลังขององค์ชายบางพระองค์เข้าพอดี พอเงยหน้าขึ้นศีรษะของนางก็ชนเข้ากับแผ่นหลังสูงโปร่งติดจะเย็นชา แต่แข็งราวกับก้อนหินนั้น
เดิมที นางกำลังจะพูดคำว่า ’ขอโทษ’ ออกไป แต่เห็นได้ชัดว่าการทำเช่นนั้นคงเป็นหลักฐานที่ทำให้ผู้ที่อยู่โดยรอบคิดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ สายตาเป็นประกายของพวกเขาเริ่มมองมาที่นางด้วยความรังเกียจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงไม่สนใจที่จะพูดคำว่า ’ขอโทษ’ อีกต่อไป นางหันไปสบตากับสายตาเย็นชาของชายคนนั้น ยิ้มให้ แล้วตั้งใจที่จะถอยออกมา
คาดไม่ถึงว่าอีกคนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงของเขาราบเรียบเย็นชา เหมือนต้นอ้อและแผ่นไม้อันเย็นชืด ”อย่าขยับไปๆ มาๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กสาวคนอื่นๆ ที่มองมาก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
องค์ชายกำลังเอือมนางอยู่ หากไม่ใด้เป็นเช่นนั้น จากลักษณะนิสัยขององค์ชายนั้น เขาพูดเช่นนี้ออกมาเพราะเขามองมารยาโง่ๆ ของนางออกจนทะลุปรุโปร่ง และกำลังเตือนนางอยู่ต่างหาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเพียงว่า ’อืม’ นางจะยืนตรงไหนก็คงไม่ต่างกัน ตราบใดที่มันทำให้หยวนเสี่ยวหมิงไม่บ่นออกมาอีก แต่มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไม่รู้ว่าใบหน้าเล็กๆ นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าอยากยกมือขึ้นบีบแก้มนางขึ้นมา บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาอยากรู้ว่าหนังหน้าของนางหนาเพียงใด
แต่คนคนนี้ก็ยังน่ามองที่สุดตอนที่นางยืนอยู่ด้านหลังเขา
ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้น รอยยิ้มแล่นผ่านดวงตาของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะหายไป มันเร็วเสียจนไม่มีใครสังเกตเห็นได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังง่วนอยู่กับการเขย่าตัวเรียกหยวนเสี่ยวหมิงในมิติสวรรค์ด้วยจิตสำนึกของตน ดังนั้นนางจึงไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางขององค์ชายสาม
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกนางสองคนนั้น คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า ส่วนอีกคนยืนอยู่ด้านหลัง แต่กระนั้นมันกลับทำให้ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่าทั้งสองคนนั้นแปลกแยกกันแต่อย่างใด
อาจเป็นเพราะไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอียงใบหน้าของตนไปด้านหนึ่งเล็กน้อย เมื่อแสงอาทิตย์ส่องโดนเขา จึงทำให้โครงหน้าของเขาดูอ่อนโยนลง อีกทั้งยังทำให้ริมฝีปากของเขาเป็นประกายระยิบระยับอีกด้วย
ขันทีซุนมองภาพนี้อยู่ข้างไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พร้อมกับคิดชั่งน้ำหนักสิ่งต่างๆ ไปด้วย เขาหมุนตัวไปด้านซ้าย แล้วเข้าไปยืนคั่นระหว่างคนสองคนเอาไว้ ทำให้ทั้งสองมีพื้นที่ขยับตัว และจงใจแยกเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไปอีกทางหนึ่ง
ตอนนี้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เกลียดชังเฮ่อเหลียนเวยเวยยิ่งนัก ฟันของนางขบเข้าหากัน แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรกับขันทีซุนได้ นางทำได้เพียงยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงนั้น ดูเหมือนจะใกล้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีคนขวางทางนางอยู่หนึ่งคน เรื่องนี้ทำให้แผนการที่นางคิดจะหาโอกาสใกล้ชิดกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นอันต้องเป็นหมัน
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าแม้นางจะเรียกเขาเพียงใด แต่หยวนเสี่ยวหมิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบรับกลับมา นางก็ไม่คิดที่จะเรียกเขาอีกต่อไป เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาพูดทิ้งไว้ก่อนจะเข้าสู่สภาพหลับลึกนั้นกลับเป็นคำว่าแปลก ตอนที่นางหันหน้ากลับมา นางก็เห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังมองมาที่นางอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต้องการอะไร นางเลิกคิ้วขึ้น
“จู่ๆ เจ้าก็เดินเข้ามาชนข้า ไหนบอกข้ามาสิ ว่าข้าควรจะเข้าใจว่าเจ้าต้องการเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของข้าด้วยตัวเองหรือเปล่า” เสียงของเขาเบามากทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะบอกว่าทุกอย่างล้วนแต่เป็นอุบัติเหตุ แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายการเคลื่อนไหวของตัวเอง และสาเหตุที่นางชนเข้ากับเขาได้อย่างไร นางรู้สึกว่าชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิตของตัวเองกำลังจะถูกทำลายลงด้วยฝีมือของหยวนเสี่ยวหมิง
“องค์ชาย ท่านคิดมากไปแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ดวงตาสุกใสกับฟันสีขาวนั้นส่องประกายราวกับแสงอาทิตย์
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว ”จริงหรือ”
“อืม” ด้วยกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสริมว่า ”ข้าไม่อยากตกหลุมรักท่านเข้าจริงๆ”
หลังจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินคำพูดนั้น ริมฝีปากของเขาก็กระตุกขึ้นทันที รอยยิ้มนั้นชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง แม้มันจะสว่างไสวยิ่งนัก แต่มีเพียงเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้นที่มองเห็นว่าภายในดวงตาของเขามีน้ำแข็งเกาะอยู่ พวกมันสว่างสดใสราวกับอัญมณีอันล้ำค่า ยากจะพรรณาออกมาเป็นคำพูดได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าบางทีนางอาจจะพูดอะไรผิดไป
แต่ในระหว่างที่นางกำลังสงสัยอยู่นั้น ในที่สุดเจ้าอาวาสฟางจ้างก็นำไม้ไผ่เซียมซีทั้งสองแท่งออกมา ทุกคนเห็นเพียงไม้แท่งแรกเท่านั้น ”…ปัดเป่าเมฆา ขจัดม่านหมอกแห่งสวรรค์ แสงแดดแผดจ้าทุกวัน”
เข้าใจความหมายได้ง่ายยิ่งนัก มันหมายความว่าเมื่อเมฆหมอกจางหายไป ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากก็จะสิ้นสุดลง ช่วงเวลาดีๆ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และย่อมมีโอกาสได้แสดงฝีมือ ซึ่งตรงกับสถานการณ์ของเฮ่อเหลียนเวยเวยมากทีเดียว
แต่ไม้ไผ่เซียมซีแท่งที่สองนั้นกลับทำให้เจ้าอาวาสฟ้างจ้างถึงกับมองอย่างตกตะลึง เพราะสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นไม่มีประโยคใดนอกจากคำที่เขาเพิ่งจะพูดออกไปว่า ”มัจฉาเวียนว่ายอยู่กลางสระ เจอะเจอฟงอวิ๋นกลายเป็นมังกร!”
ถึงแม้ว่าคนที่มอบคำทำนายนี้ให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยในตอนแรกจะเป็นตัวเขาเอง
แต่โดยทั่วไปแล้วนั้น ในหมู่หญิงสาวที่มาขอคำทำนายดวงชะตา มีอยู่น้อยคนที่จะได้รับคำทำนายเช่นนี้ สิ่งนี้ย่อมเป็นโชคดีเสียยิ่งกว่าดีอย่างแน่นอน!
เจ้าอาวาสฟางจ้างอดมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้งไม่ได้ ความสงสัยบางอย่างบังเกิดขึ้นในใจ หากจะว่าไปแล้วก็มีข่าวลือว่าเด็กสาวที่เป็นพระชายาก็อยู่ที่นี่ด้วย การที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้รับคำทำนายดีกว่าคนที่เป็นพระชายากลับชาติมาเกิดจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นไปได้… มันมีอะไรผิดพลาดตรงไหนกัน
“ดูท่านเจ้าอาวาสฟางจ้างสิ เขาเป็นอะไรไป”
คนที่มีสายตาเฉียบคมจำนวนหนึ่งย่อมสังเกตเห็นสีหน้าลังเลของเจ้าอาวาสฟางจ้างได้
คุณชายที่กำลังพัดให้ตัวเองอยู่เดาขึ้น ”เป็นไปได้หรือเปล่าว่าไม้ไผ่เซียมซีแท่งที่สองเป็นโชคไม่ดี”
บางครั้งต่อให้ไม้แท่งนั้นมีคำว่ามหาโชค แต่เราก็ยังต้องนำคำอธิบายโดยละเอียดของมันมาพิจารณาร่วมด้วย ในการอ่านดวงชะตานั้นใช่ว่าจะไม่เคยมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน บางครั้งคำที่อยู่บนไม้ไผ่เซียมซีแท่งแรกนั้นก็ดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม้แท่งที่สองกลับบอกในสิ่งที่ขัดแย้งกับแท่งแรกอย่างชัดเจน บางครั้งต่อให้ไม้ทั้งสองแท่งเป็นมหาโชค ก็ใช่ว่าผลการทำนายจะเป็นไปตามที่คาดเอาไว้เสมอไป เรื่องพวกนี้ล้วนแต่เป็นความลึกลับ และมหัศจรรย์ในกระบวนการอ่านดวงชะตาทั้งสิ้น
ดังนั้น ข้อความที่อยู่บนไม้แท่งที่สองนั้นจึงมีความสำคัญต่อผลการทำนายโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนสังเกตสีหน้าของเจ้าอาวาสฟางจ้าง แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ดูเหมือนว่าใครบางคนคงได้ดีใจเก้อแล้วกระมัง”
“รอให้การทำนายจบลงเสียก่อนแล้วค่อยพูดอะไรออกมา” เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้ยินว่าดวงชะตาอาจมีการเปลี่ยนแปลงบางประการ รอยยิ้มก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง นางบอกแล้วว่านังคนอัปลักษณ์ที่มีแต่นำโชคร้ายมาให้กับตระกูลของตัวเองเช่นนี้ จะมีดวงชะตาเหนือกว่านางได้อย่างไร
แต่เมื่อเจ้าอาวาสฟางจ้างอ่านข้อความที่อยู่บนไม้ไผ่แท่งนั้นออกมาช้าๆ ชัดๆ สีหน้าของนางก็ถึงกับดำคล้ำทันที
ประโยคนั้นไม่จำเป็นต้องให้เจ้าอาวาสฟางจ้างตีความให้เลยด้วยซ้ำ ทุกคนสามารถเข้าใจพวกมันได้ และเพราะพวกเขาเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนนี่เอง พวกเขาถึงได้หันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่เชื่อสายตา
ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าอาวาสฟางจ้างพูดเรื่องนี้ขึ้น พวกเขาก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
อย่างไรเสีย เด็กสาวที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลเช่นนาง มีหรือที่จะสามารถพลิกแผ่นฟ้าได้
แต่เมื่อพวกเขาเห็นไม้ไผ่เซียมซีนี้ พวกเขาก็เริ่มมองเฮ่อเหลียนเวยเวยใหม่เป็นครั้งแรก
แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันสายเกินไปเสียแล้วที่จะมองนางใหม่
เพราะพวกเขาไม่คิดว่าขยะที่พวกตนเคยคิดว่าเพิ่งจะปีนออกมาจากโคลนตมได้นั้น กลับเป็นถึงเจ้าของร้านเวยเจ๋อ ยิ่งกว่านั้น พลังปราณของนางก็อยู่ในระดับที่แปด นับว่าแข็งแกร่งกว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อยู่หลายระดับเลยทีเดียว มิหนำซ้ำขอทานลึกลับที่ทำให้สี่ตระกูลใหญ่ไม่สามารถเอาชนะหรือหาเบาะแสได้คนนั้นก็คือนาง!