หัวข้อสนทนาที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้เช่นนี้ พูดให้น้อยจะดีกว่า
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เป็นครูเพียงหนึ่งวัน ดั่งพ่อลูกกันตลอดชีวิต ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณธรรมของอาจารย์นั้นสำคัญยิ่งกว่า ต้องเลือกอย่างระมัดระวัง”
สืออีเหนียงพยักหน้า
นางนึกถึงอาจารย์จ้าวที่เคยเป็นอาจารย์อยู่ที่จวนจงซานโหวสกุลถัง…น่าเสียดายที่ไม่มีวาสนาเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นถ้ามีคนที่สนิทกับสกุลหลัวคอยดูแลจุนเกอ ตนก็จะวางใจได้
สืออีเหนียงไปหาไท่ฮูหยินพร้อมกับสวีลิ่งอี๋ด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ทุกคนมากันครบแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามาก็ทยอยกันลุกขึ้น ฮูหยินห้าพูดหยอกล้อว่า “เหตุใดท่านโหวกับพี่สะใภ้สี่ไปนานเช่นนี้ พวกเรานั่งอยู่ที่นี่จนดื่มชาไปได้หนึ่งถ้วย หิวจนไส้กิ่วหมดแล้ว” จากนั้นก็พูดหยอกล้อสวีซื่อเจี้ย “เด็กคนนี้หน้าตางดงามเสียจริง”
สวีซื่อเจี้ยเบิกตากว้างมองฮูหยินห้าอย่างฉงน
ฮูหยินห้าเป็นสตรีมีครรรภ์ ไท่ฮูหยินกลัวว่านางจะหิว จึงตั้งใจเตรียมขนมให้นางโดยเฉพาะ ระหว่างทางกลับมาที่เหอฮวาหลี่นางก็กินขนมตลอดทาง สืออีเหนียงไม่ได้กังวลว่านางจะหิว แต่เมื่อเห็นว่านางหยอกล้อสวีซื่อเจี้ยในใจก็รู้สึกแปลกๆ ยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “ทำไมไม่เห็นจุนเกอเล่า”
“กำลังเล่นหมากห้าตัวอยู่ในห้องกับฉินเกอ” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วถามสวีซื่อเจี้ย “ทานอะไรมาแล้วหรือยัง”
“ทานมาแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มตอบรับแล้วเข้าไปคารวะไท่ฮูหยิน
“ให้เขาไปเล่นกับจุนเกอเถิด” ไท่ฮูหยินกำชับสาวใช้ จากนั้นป้าตู้ก็พยุงไท่ฮูหยินไปห้องปีกทิศตะวันออก
ปินจวี๋ตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนึกถึงคำพูดของตัวเอง นางถอยหลังไปสองสามก้าว ลูบหัวสวีซื่อเจี้ย “เจี้ยเกอ เจ้ากับปินจวี๋ไปเล่นกันที่ห้องของจุนเกอก่อน ข้ากับท่านโหวมีเรื่องต้องไปทำ รอให้ฟ้ามืดแล้วค่อยมารับเจ้ากลับไปดีหรือไม่”
แววตาของสวีซื่อเจี้ยมีความอาลัยอาวรณ์ แต่เขากลับพยักหน้าแล้วตอบเสียงเบาว่า “ขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวเขา ให้ปินจวี๋อุ้มเขาไปหาจุนเกอ ส่วนตัวเองไปห้องปีกทิศตะวันออก
หลังจากทานข้าวเสร็จทุกคนก็นั่งลงดื่มชาที่ห้องปีกทิศตะวันตก สวีลิ่งอี๋ถามสวีลิ่งควนว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินมาว่าเมื่อวานเจ้าเล่นจนดึกดื่น เจ้าอยากจะรีบกลับไปพักผ่อนหรือไม่”
สวีลิ่งควนรีบพูดทันที “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากไม่ใช่เพราะข้าเห็นว่าเด็กๆ พากันหาวแล้ว ข้ายังกะว่าจะเล่นจนฟ้าสาง” ขณะที่พูดก็พลันนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายไม่ชอบให้เขาเล่นจนดึกดื่น เสียงจึงเริ่มเบาลง
สวีลิ่งอี๋กลับนึกถึงคำพูดของสืออีเหนียงว่าให้มองสวีลิ่งควนเป็นเหมือนกับสหายร่วมงาน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรไปตำหนิเรื่องส่วนตัวของเขา
เขาจึงหันไปพูดกับคุณชายสามที่อยู่ข้างๆ “ดูท่าปีนี้พวกเราจะได้พักผ่อนกันอย่างสบายใจแล้ว” จากนั้นก็กำชับสวีลิ่งควนว่า “ในเมื่อเจ้าไม่เหน็ดเหนื่อย เช่นนั้นก็ดี ข้าจะไปที่จวนสกุลเจียงกับพี่สะใภ้สี่ของเจ้า หากมีแขกมาที่บ้านเจ้าก็ช่วยไปต้อนรับด้วย”
สวีลิ่งควนได้ฟังก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก แต่กลับทำสีหน้าเป็นกังวล “ข้า…ข้าจะทำได้หรือ”
“พี่สามก็อยู่เรือนไม่ใช่หรือ” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “หากเจ้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจ ด้านนอกก็ยังมีพ่อบ้านไป๋ ผู้ดูแลจ้าว ในเรือนก็มีคุณชายสาม เจ้าก็แค่แบกหน้าไปถามก็พอแล้ว”
สวีลิ่งควนอดหันไปมองสวีลิ่งหนิงไม่ได้
สวีลิ่งหนิงยิ้มพลางพยักหน้าให้เขา สวีลิ่งควนอายุยังน้อย มีนิสัยโลดโผน เมื่อก่อนเวลาสกุลสวีมีเรื่องอะไรก็จะเป็นตัวเองกับน้องสี่ที่คอยรับผิดชอบมาโดยตลอด ตอนนี้เขาจะแยกตัวออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว เรื่องในมือของเขาก็จะต้องมอบให้แก่คนที่พอจะพึ่งพาได้ เมื่อคืนแม้ว่าเขาจะพาเด็กๆ ไปเล่นบ้าๆ แต่ก็ยังมีการยับยั้งให้เด็กๆ ไปพักผ่อนก่อนจะถึงยามโฉ่ว ในเมื่อน้องสี่มีเจตนาที่จะทดสอบความสามารถของเขา แน่นอนว่าตนก็จะต้องช่วยส่งเสริมเขาเป็นอย่างดี
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นดังนันก็พยักหน้าเล็กน้อย ความสุขได้ล้นเอ่อออกมาบนใบหน้า
แม้ว่านางจะคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เรื่อง แต่ก็หวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จ
สวีลิ่งควนนั้นรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าพี่สามกับพี่สี่จะยอมให้เขาออกหน้าเป็นตัวแทนสกุลสวีเพื่อต้อนรับแขก…
เขากระโดดขึ้นมาแล้วพูดว่า “พี่สาม พี่สี่ พวกท่านวางใจได้ ข้าจะทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอนขอรับ”
ฮูหยินห้ามองสามีด้วยรอยยิ้ม
นางไม่ได้คาดหวังว่าสามีคนนี้จะได้เป็นขุนนาง ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะได้เลื่อนตำแหน่งและมีฐานะร่ำรวย แต่หากเขาสามารถรับผิดชอบเรื่องในตระกูลได้ เพียงเท่านี้ฮูหยินห้าก็ดีใจเป็นอย่างมาก
แต่ฮูหยินสามรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
อย่างไรก็เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้มักจะมีขุนนางมากมายที่อาศัยโอกาสนี้มาอวยพรตรุษจีนที่จวน เรื่องมีหน้ามีตาเช่นนี้ท่านโหวกลับมอบหมายให้สวีลิ่งควนที่ดูไม่น่าเชื่อถือ แต่จู่ๆ ก็คิดได้ว่าตัวเองกับสามีกำลังจะออกจากเมืองหลวงแล้วจะสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม ไม่แน่ว่าขณะที่พวกเขายังไม่ได้ออกไปสวีลิ่งควนก็ก่อเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วต้องให้คุณชายสามมาช่วยจัดการอีก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็เผยยิ้ม
ส่วนสืออีเหนียงกลับรู้สึกทอดถอนใจ
เห็นสวีลิ่งควนเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากดูแลเรื่องในเรือน แต่เป็นเพราะคนในเรือนไม่เคยมองว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถ ไม่แม้แต่จะให้โอกาสกับเขา
เมื่อเห็นว่าเรื่องในจวนได้แจกแจงไว้ชัดเจนแล้ว สวีลิ่งอี๋ก็พาสืออีเหนียงไปหาสกุลเจียง
ได้ยินว่าหย่งผิงโหวพาฮูหยินมาอวยพรตรุษจีน เจียงไป่ที่กำลังร่ำสุราและชมดอกกล้วยไม้อยู่กับกลุ่มเพื่อนและบรรดาหลานชายก็ประหลาดใจเล็กน้อย
หย่งผิงโหวต้องไปเข้าเฝ้าในวัง เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว ดูเหมือนว่าพอกลับออกจากวังก็มาอวยพรตรุษจีนให้ตนเลย…
สายตาของคนที่นั่งอยู่เผยให้เห็นถึงความอิจฉา
เจียงไป่รีบกำชับให้เด็กรับใช้ไปรายงานฮูหยินของเขา พูดคุยกับสหายของเขาสองสามประโยคก่อนที่จะไปยังห้องโถงบุปผา
รถม้าของสกุลสวีมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวาของจวนสกุลเจียง สวีลิ่งอี๋กับเจียงไป่ไปที่ห้องโถงบุปผา ส่วนสืออีเหนียงมีเจียงฮูหยินมาต้อนรับไปที่เรือนหลัก
เจียงฮูหยินเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย การกระทำของสามีภรรยาสกุลสวีนี้เป็นเพียงการแสดงความมุ่งมั่นที่อยากจะหมั้นหมายกับสกุลเจียงอย่างอ้อมค้อม แน่นอนว่านางไม่อาจละเลยได้ จึงต้อนรับสืออีเหนียงด้วยมารยาทอันดีงาม ไม่เพียงแต่เรียกให้บุตรของตัวเองมาคารวะสืออีเหนียงเท่านั้น แต่ยังแนะนำหลานสาวและหลานชายสองคนที่มาเป็นแขกที่จวนให้สืออีเหนียงอีกด้วย
เมื่อสืออีเหนียงได้ยินว่าเด็กสองคนนี้เป็นบุตรชายและบุตรสาวของเจียงกุ้ย นางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ฮูหยินของเจียงกุ้ยไม่ได้อยู่ฉลองตรุษจีนกับสามีที่จวนไท่หยวน แต่เหตุใดจึงพาบุตรทั้งสองคนกลับมาเยี่ยนจิง
เจียงฮูหยินอธิบายว่า “…หวังฮูหยินผู้เฒ่าสุขภาพไม่ค่อยดี ด้วยความเป็นห่วงจึงได้กลับมาเยี่ยมเยียน”
สืออีเหนียงยิ่งรู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม
เมื่อเช้านางยังเห็นหวังฮูหยินผู้เฒ่าอยู่เลย ดูไม่ออกว่ามีที่ใดผิดปกติไป นอกจากนี้ในเมื่อกลับมาเยี่ยมท่านแม่เหตุใดถึงไม่พาลูกๆ ไปด้วยแต่กลับให้อยู่ที่จวนสกุลเจียง
นางเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่อาจถามลึกไปกว่านี้ได้ พึ่งจะให้ของขวัญการพบกันแก่เด็กทั้งสองก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานเจียงฮูหยิน “ฮูหยินของเฉินเก๋อเหล่ามาอวยพรตรุษจีนให้ท่านเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
นางไม่คิดว่าเฉินเก๋อเหล่ากับเจียงไป่จะมีความสัมพันธ์เช่นนี้
เมื่อมองเจียงฮูหยินอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความสับสน เห็นได้ชัดว่านางไม่เข้าใจการมาเยี่ยมเยียนของเฉินฮูหยิน
ดูเหมือนว่าเฉินฮูหยินจะเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเงียบๆ…
******
สามีภรรยาสกุลสวีมาเยี่ยมไม่นานก็กล่าวลา
เจียงไป่และฮูหยินมาส่งพวกเขาขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง
สืออีเหนียงบอกสวีลิ่งอี๋ถึงการมาเยี่ยมเยียนของเฉินฮูหยิน “…ไม่ทราบว่าท่านพบกับเฉินเก๋อเหล่าหรือไม่”
“ได้เจอแล้ว!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเฉินเก๋อเหล่าจะเห็นด้วยกับการปิดอ่าวทะเล”
สืออีเหนียงฟังไม่เข้าใจ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสกุลเจียงหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋มองนางด้วยรอยยิ้ม “สกุลของหวังจิ่วเป่ามีอำนาจทางทะเลมาหลายปี หรือว่าเขาจะเอาแต่อาศัยความป่าเถื่อนพวกนี้”
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าพึ่งจะนิรโทษกรรมได้ไม่นานสวีลิ่งอี๋ก็ได้รับจดหมายจากหวังจิ่วเป่า…
“ท่านหมายความว่า…”
“ตั้งแต่ฮ่องเต้เซี่ยวตี้เป็นต้นมา ราชวงศ์ของเราก็ทำการปิดประเทศ แต่การค้าขายทางทะเลนั้นมีกำไรมหาศาล ทำให้คนรู้สึกโลภ ย่อมมีคนที่เลือกเดินทางที่เสี่ยงอันตราย” สวีลิ่งอี๋หุบยิ้ม “เมื่อเวลาผ่านไปนานก็มีการแข่งขันเลียนแบบพฤติกรรมผิดๆ กลุ่มพ่อค้าที่ร่ำรวยในฝูเจี้ยนแปดเก้าส่วนสมรู้ร่วมคิดกับโจรสลัด” คำพูดของเขามีบางอย่างแอบแฝง “ตอนนี้หวังจิ่วเป่าได้รับการอภัยโทษแล้ว เขาอยากจะให้ฮ่องเต้ปิดอ่าวทะเล เขาหาตัวข้าเจอได้ ย่อมหาตัวคนอื่นเจอได้เหมือนกัน”
สืออีเหนียงยังไม่เข้าใจถึงความเกี่ยวข้องระหว่างกัน
สวีลิ่งอี๋สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “คิดจะปิดอ่าวทะเล หากไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลขุนนางก็ไม่สามารถทำได้ หากไม่มีเหล่าทหารคอยสนับสนุนก็ทำไม่ได้เช่นกัน!”
สืออีเหนียงเริ่มจับต้นชนปลายได้เล็กน้อย
เมื่อก่อนที่นางเรียนประวัติศาสตร์ เมื่อพูดถึงการปิดอ่าวทะเลก็จะพูดถึงการจำกัดการพัฒนาประเทศ เมื่อพูดถึงการปฏิรูปก็จะพูดถึงจุดจบที่น่าเศร้าของนักปฏิรูป นางอดพูดไม่ได้ “ท่านโหวก็เห็นด้วยกับการปิดอ่าวทะเลอย่างนั้นหรือ” เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วงของนาง ก็ยิ้มพลางลูบศีรษะนาง “ข้าเป็นเพียงแค่คนที่ลาออกจากราชการมาพักรักษาตัวอยู่ที่จวน เรื่องใหญ่ในราชสำนักเหล่านี้ย่อมมีผู้อาวุโสทั้งหลายตัดสินใจแล้ว ไหนเลยจะมาถึงข้า”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดยังต้องไปหาแผนที่มาดูอีก!
สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความประหลาดใจ เห็นสายตาของเขาฉายแววเจ้าเล่ห์
******
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงจวน ยังไม่ทันทรงตัวดีเด็กรับใช้ก็วิ่งมาหา “คุณชายห้าให้บ่าวมารออยู่ที่นี่ เมื่อเห็นท่านโหวให้รีบรายงานว่าเหลียงเก๋อเหล่ากำลังรอท่านอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนนอกขอรับ”
เฉินเก๋อเหล่าอยู่ที่จวนสกุลเจียง ส่วนเหลียงเก๋อเหล่ามารอสวีลิ่งอี๋…ในหนึ่งวันเขาได้พบเก๋อเหล่าทั้งสองท่าน เหมือนได้กลิ่นอายของความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
สืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋มองตากันโดยไม่ได้นัดหมาย อีกคนก็ไปที่เรือนนอก อีกคนก็ไปหาไท่ฮูหยิน
ที่เรือนไท่ฮูหยินก็มีแขกมาจนเต็มไปหมด
เหลียงฮูหยิน ฮูหยินของผู้บัญชาการหลี่ ฮูหยินของรองเสนาบดีกรมพิธีการ…
ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน พากันเล่นไพ่นกกระจอกบ้าง ดื่มสุราบ้าง พอฟ้ามืดจึงได้พากันกล่าวลา
สืออีเหนียงพาสวีซื่อเจี้ยกลับไป
ระหว่างทางถามเขาว่า “พวกเจ้าพากันเล่นอะไรกัน”
เขาไม่ได้ตอบในสิ่งที่ถาม “ขนมแป้งแผ่นทอดของพี่สี่อร่อยมาก!”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
เมื่อกลับมาถึงเรือน สวีลิ่งอี๋ก็ยังไม่กลับมา จึงเรียกหู่พั่วมาหา “พรุ่งนี้เจ้ากลับสกุลเดิมไปกับข้า ไปนั่งเล่นกับซานหู ถามไถ่สถานการณ์ของอี๋เหนียงมาให้ละเอียด”
หู่พั่วตอบรับอย่างนอบน้อม
สวีลิ่งอี๋กลับมาพร้อมกับกลิ่นสุราคลุ้งไปทั่ว
สืออีเหนียงรีบเรียกสาวใช้ให้เอาน้ำแกงสร่างเมามา ปรนนิบัติเขาล้างหน้าล้างตาแล้วพักผ่อน จากนั้นก็หันไปกำชับสาวใช้ให้นำโถชามาวางไว้ที่เก้าอี้ข้างเตียง เผื่อเขาจะลุกขึ้นมาดื่มกลางดึก
แต่เขากลับดึงนางเข้าไปในผ้าห่ม “เรื่องเหล่านี้ให้สาวใช้น้อยเป็นคนทำเถิด เจ้าเองก็พักผ่อนได้แล้ว”
สาวใช้ในห้องรีบพากันถอยออกไป
ไอร้อนในผ้าห่มปะทะกับใบหน้า หัวใจของสืออีเหนียงเต้นระรัว
ตั้งแต่นั้นมาสวีลิ่งอี๋ก็ไม่เคย…นึกไม่ถึงว่า…หรือว่าจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่า สุราเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์…
นางฝืนพูดอย่างใจเย็นว่า “ข้ากลัวว่าท่านจะตื่นมากลางดึกแล้วหิวน้ำเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทำเอาสาวใช้ตกใจจนออกไปหมดแล้ว ข้าก็ต้องเป็นคนทำเอง”
“ข้าไม่หิว”
แสงระยิบระยับจากม่านเก๋อปู้สะท้อนกับแสงสลัวของตะเกียงส่องผ่านเข้ามาในม่านมุ้งบางๆ เขามองเห็นใบหน้าขาวราวกับหยกของนางค่อยๆ แดงระเรื่อประหนึ่งดอกบัวแดงบานสะพรั่งในเดือนหก
ควรจะเปลี่ยนมุ้งเสียตั้งนานแล้ว
สวีลิ่งอี๋ยกยิ้มมุมปาก กอดนางไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น…