หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 790 ขอปฏิเสธ!

บทที่ 790 ขอปฏิเสธ!

บทที่ 790 ขอปฏิเสธ!
“ชื่อเห่ยเป็นบ้า!” หลังจากที่ประทับนามลงไปเพื่อสร้างกองทหารเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็จากกองทหารวิหคน้ำแข็งมาในที่สุด แต่หวังเป่าเล่อที่กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังฐานที่มั่นซึ่งสำนักมอบให้เขา ก็อดไม่ได้ที่จะนั่งถอนใจยาวอยู่ในเรือบินรบของตน

เจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยนั่งอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก เจ้าลานอนแอ้งแม้งอยู่ตรงนั้น คอยส่งเสียงแสดงความสบายกาย ในขณะที่เจ้าอู๋น้อยคอยนวดเฟ้นให้มันด้วยมือหนึ่ง ดวงตาก็มองหวังเป่าเล่อเป็นครั้งคราว เขาแอบกลัวและรู้สึกเสียใจที่ตนเองสอดเข้าไปตั้งชื่อกองทหารให้หวังเป่าเล่อ เขากลัวเหลือเกินว่าคนบ้าผู้นี้จะซ้อมเขาปางตายอีก

ขณะที่เจ้าอู๋น้อยกำลังนั่งจินตนาการอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็มองออกไปยังห้วงอวกาศภายนอกเรือบินรบหลังจากถอนใจเสร็จเรียบร้อย ตำแหน่งที่สำนักจัดหาให้เขานั้นอยู่ไกลออกจากดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ไปมากโข

นั่นเพราะมีแต่กองทหารสิบอันดับแรกเท่านั้นที่จะได้รับดวงจันทร์ซึ่งโคจรรอบดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ไปครอบครอง ระยะทางจากฐานทัพกองทหารวิหคน้ำแข็งมายังที่มั่นของเขานั้น ใช้เวลาในการเดินทางถึงห้าวันเลยทีเดียว

ดาวเคราะห์ที่เขาได้รับนั้นเล็กกว่าดวงจันทร์… แต่เมื่อหยิบบันทึกแผ่นหยกออกมาดูพิกัดให้แน่ใจแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ถึงกับไม่พอใจเสียทีเดียว ในใจของเขาคิดว่าที่แห่งนี้ไม่เลวเลย ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าจะสร้างกองทหารของตนอย่างไรดี

หากจะเกณฑ์ทหารก็คงไม่เข้าทีนัก แถมข้ายังไม่มีพลังงานมากพอจะทำเช่นนั้นด้วย… ทางเลือกที่ดีที่สุดคือวิธีที่ข้าเคยเอาชนะกองทหารมังกรหยดหมึกมาได้ นั่นคือการตั้งตนเป็นกองทหารหนึ่งบุรุษ!

หลังจากคิดอยู่สักพักหวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ เขาหลับตาลงและเริ่มทำสมาธิท่ามกลางความเงียบ หลายวันผ่านไปในพริบตา หวังเป่าเล่อเข้าใกล้ฐานที่มั่นของตนเองขึ้นทุกที ดาวเคราะห์ดวงเล็กที่เขาได้รับปรากฏขึ้นในจิตสัมผัส ชายหนุ่มลืมตาขึ้นและเห็นดาวสีม่วงในห้วงอวกาศนอกเรือบินรบของเขา!

ดาวเคราะห์ดวงนี้เปรียบเสมือนอัญมณีที่แต่งแต้มอวกาศให้มีสีสัน ประกายอ่อนโยนและกระแส

ปราณที่ไหลออกมาจากมัน ทำให้บรรดาดาวน้อยที่อยู่รายรอบดูพร่าเลือนไป

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกาย เขาควบคุมเรือบินรบให้เข้าไปใกล้ดาวของตนในทันที เมื่อจับกระแสปราณของดาวสีม่วงดวงเล็กนี้ได้ ชายหนุ่มก็เริ่มมุ่นคิ้ว เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตนเองจึงได้รับดาวดวงนี้ไว้เป็นฐานที่มั่น

แม้พลังปราณบนผิวดาวจะดูพรั่งพร้อม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มั่นคงแม้แต่น้อย นอกจากนี้เขายังจับสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าต้นกำเนิดดาราถูกขุดออกไปแล้ว ทำให้แก่นในของดาวดูกลวงว่าง

เพราะเหตุนี้ชีวิตบนพื้นผิวดาวจึงดูปกติเพียงเปลือกนอกเท่านั้น แม้ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูเขียวขจี แต่สภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อคาดการณ์ว่าหากไม่มีใครเข้ามาแทรกแซง ดาวเคราะห์ดวงนี้คงจะกลายเป็นดาวเคราะห์ร้างไร้ซึ่งชีวิตภายในเวลาสองร้อยปีอย่างแน่นอน

ข้าไม่ต้องการเวลานานขนาดนั้นหรอก! หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เขาขยับตัวเพียงเล็กน้อยแล้วพาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยออกจากเรือบินรบมา ทั้งสามลงมายืนอยู่บนดาวเคราะห์สีม่วงที่เป็นฐานที่มั่นของหวังเป่าเล่อ ดาวดวงนี้ก็ได้รับนามว่าผ่าวิญญาณตามชื่อกองทหารของหวังเป่าเล่อ… มันจึงมีชื่อว่าดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ!

พอมาถึงหวังเป่าเล่อก็รีบตรวจสอบดาวดวงเล็กนี้ในทันที เขาทำแม้กระทั่งเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดเพื่อสำรวจพื้นที่ เมื่อยืนยันกับตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าทุกอย่างปกติดี ชายหนุ่มก็ตั้งฐานที่มั่นของตนเองในส่วนที่ลึกที่สุดของดาว เขาหยิบหุ่นเชิดก่อสร้างที่เหลืออยู่ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ

หลังจากที่ออกคำสั่งให้ก่อสร้างสิ่งต่างๆ บนดาวรวมถึงสร้างเรือบินรบทำลายตนเองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยที่กำลังวิ่งเล่นสนุกสนานอยู่บนดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ เขาขึ้นไปนั่งบนยอดเขา ดวงตามองไปที่ท้องฟ้าในห้วงอวกาศ ชายหนุ่มกำลังคิดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับกองทหารของเขา ซึ่งก็คือ… อันดับของมันนั่นเอง!

ตลอดระยะเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับกองทหารวิหคน้ำแข็ง หวังเป่าเล่อก็ได้ทำความเข้าใจธรรมชาติของอันดับกองทหารภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างทะลุปรุโปร่ง เขารู้ว่าในอารยธรรมนี้กองทหารทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 19 ชั้นด้วยกัน!

มีเพียงกองทหารจากสามสำนักใหญ่เท่านั้นที่จะก้าวขึ้นมาอยู่ใน 12 ชั้นแรกได้ ส่วนกองทหารจากสำนักยิบย่อยที่เหลือจะได้อยู่ในเจ็ดชั้นสุดท้าย

ยกตัวอย่างเช่นหลังจากที่กองทหารวิหคน้ำแข็งก้าวขึ้นมาอยู่อันดับที่ห้า ก็ถือว่าได้ขึ้นมาเป็นกองทหารชั้นสอง ส่วนกองทหารชั้นแรกมีเพียงสามกองเท่านั้นทั้งอารยธรรม ซึ่งก็คือกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดจากสามสำนักใหญ่นั่นเอง

สำหรับกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ด้วยความที่เพิ่งตั้งใหม่จึงอยู่ในชั้น 12 กระนั้นกองทหารของเขาก็ยังถือว่าสูงส่งกว่ากองทหารของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้เสียอีก กองทหารของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อยู่เพียงชั้น 17 เท่านั้น

ชั้น 12 รึ… เท่านี้พอให้ข้ารับวิชาสืบทอดจากดวงเนตรหมื่นปีศาจหรือเปล่านะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาอยากมีกองทหารเป็นของตนเอง เป็นเพราะต้องการวิชาสืบทอดจากดวงเนตรหมื่นปีศาจนั่นเอง

ตอนนี้เขาก็ได้ตั้งกองทหารของตนเองสำเร็จแล้ว ทั้งยังไม่ต้องยุ่งกับการก่อสร้างฐานที่มั่นด้วย หวังเป่าเล่อจึงมีเวลานั่งคิดว่าตนเองจะไปที่ดวงเนตรหมื่นปีศาจอีกครั้งเพื่อรับการถ่ายทอดวิชา

ด้วยโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับ 28 และพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย ชายหนุ่มก็ไม่กลัวผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกอีกต่อไป

ต่อให้มีใครหวังตามล่าเขาเพื่อรับเงินรางวัล หวังเป่าเล่อก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าคู่ต่อสู้จะไม่สามารถกักขังตัวเขาไว้ได้ นอกเสียจากว่าจะเป็นการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ

แต่หลังจากตรึกตรองดูสักพักหวังเป่าเล่อก็ตัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป หากเขาไปที่ดวงเนตรหมื่นปีศาจอีกครั้งก็อาจพอนำวิชากลับมาได้บ้าง แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำกลับมาได้ทั้งหมด และหากไปบ่อยครั้งเกิน ก็จะเป็นการสร้างนิสัยที่คาดเดาได้จนอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในอนาคต

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้าตอนนี้ คือการพากองทหารของข้าไต่อันดับขึ้นไปให้ได้!

และการจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องท้ากองทหารอื่นๆ ประลอง… หากชนะข้าก็สามารถแย่งอันดับของพวกนั้นได้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายวาบ การท้าประลองความสามารถเป็นกฎของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ และสามารถกระทำได้โดยชอบ ตราบใดที่จำนวนผู้เสียชีวิตไม่เกินที่กำหนดไว้

แต่การจะท้าคู่ต่อสู้ประลองความสามารถในแต่ละครั้งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก นอกจากนี้หากเขาแพ้ ก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายคืนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากตนเป็นผู้ขอท้าประลองเอง

ยกตัวอย่างเช่นการประลองระหว่างกองทหารวิหคน้ำแข็งและกองทหารมังกรแดงก่อนหน้านี้ หลังการประลองจบลง กองทหารวิหคน้ำแข็งก็ได้รับทรัพยากรจำนวนมากจนน่าตกใจ โดยส่วนมากมาจากกองทหารอันดับที่ 11 การชดใช้นี้แทบทำให้กองทหารลำดับที่ 11 หมดสิ้นทรัพยากรที่ตนเองมี และทำให้พวกเขาแทบจะไปต่อไม่ได้

ข้าอยากให้สำนักเล็กมาท้าข้าประลองเสียจริง หวังเป่าเล่อรู้สึกอิจฉากองทหารวิหคน้ำแข็งเป็นอย่างมากที่ส้มหล่น แต่หลังจากที่คิดอยู่สักพักเขาก็นึกได้ว่า กองทหารของเขาเป็นกองทหารชั้นล่างของสำนักใหญ่ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากที่สำนักเล็กจะมาท้าเขาประลองเพื่อชิงตำแหน่ง

ปัญหาใหญ่ก็คือสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเรียกค่าธรรมเนียมจำนวนมากจากการท้าประลองเหล่านี้ กองทหารในสำนักใหญ่ถ้าประลองกันเองก็ว่าถูกเรียกเยอะแล้ว แต่กองทหารจากสำนักเล็กนั้นกลับต้องจ่ายราคาแพงยิ่งกว่าหากต้องการท้ากองทหารในอาณัติของสำนักใหญ่สู้

ภายในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ กองทหารจากสำนักเล็กสามารถท้ากองทหารสำนักใหญ่ประลองได้ หากชนะก็จะได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาแทน และกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ในทันที แน่นอนว่าตำแหน่งนี้ย่อมมีสิทธิ์พิเศษหลายอย่างตามมาเช่นกัน

แต่การสมัครท้าแข่งขันย่อมนำมาซึ่งการสูญเสียทรัพยากรชนิดมโหฬารจนน่าตกใจ กองทหารของสำนักเล็กต้องให้หนึ่งในกองทหารห้าอันดับแรกจากสำนักใหญ่ยืนยันสิทธิ์ให้ ทั้งยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพงกว่าถึงร้อยเท่าเพียงเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการขอท้าประลอง

ราคาแสนแพงเช่นนั้นทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่กองทหารสำนักเล็กจะเข้าร่วมการประลอง ต่อให้มีปัญญาจ่าย…แต่หากแพ้ก็ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมากจนทำให้ล้มละลายได้ ทั้งยังต้องกลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกองทหารที่ได้รับชัยชนะอีกด้วย!

เงื่อนไขที่ยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้ทำให้การประลองระหว่างสำนักเล็กและสำนักใหญ่เป็นหมากการเมืองเสียมากกว่า แม้จะเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนมากก็จะคุยกันก่อนว่าตนเองจะเข้าท้าชิงกับสำนักนั้นๆ และท้ายที่สุดแล้วการประลองรวมถึงผลแพ้ชนะก็เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น

ความจริงที่เขาได้รับรู้มานี้ ทำให้หวังเป่าเล่อได้แต่เพียงถอนหายใจ ขณะคิดว่าตนเองจะไปท้าประลองกองทหารใดดีเพื่อไต่อันดับขึ้นไป

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดว่าตนเองจะไปท้าตีท้าต่อยกับกองทหารไหนดีนั้น แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวขึ้นบนดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ!

ผู้ที่มาในครั้งนี้คือชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียว บรรยากาศที่เขาพามาด้วยเต็มไปด้วยความห่างเหินเยือกเย็นของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า เขาก้าวออกจากเรือบินรบรูปปลาสีทองแดงใหญ่ยักษ์ ทำราวกับว่าอวกาศเป็นมหาสมุทร ชายวัยกลางคนดิ่งลงมายังดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณที่หวังเป่าเล่ออยู่ด้วยท่วงท่าราวกับว่าดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นเพียงก้อนหินที่อยู่ใต้มหาสมุทร เขาไม่ได้ลงมาเหยียบที่พื้นดินจริงๆ แต่กลับมองลงมาจากบนท้องฟ้าแทน!

ร่างของเขาบดบังห้วงอวกาศเอาไว้มิด ท้องฟ้าทั้งหมดท่วมไปด้วยกระแสพลังที่ปลาสีทองแดงยักษ์พัดโหมจากครีบของมัน พลังปราณของชายผู้นี้อยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น

เขามองลงมาเบื้องล่างเหมือนเทพเจ้าที่กำลังมองดูปุถุชน ดวงตาเย็นเยียบจับจ้องอยู่ที่หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มที่อยู่บนยอดเขาเบื้องล่างเงยหน้าขึ้นมาสบตาพอดิบพอดี

“ข้ามีนามว่าอี้เหนียนจื่อจากกองทหารปลาคุนสีเขียว!”

“ข้าได้รับบัญชาจากผู้บัญชาการกูโม่ ให้เชิญหลงหนานจื่อจากกองทหารผ่าวิญญาณเข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกองทหารปลาคุนสีเขียวของเรา นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าจะทำงานภายใต้กองทหารปลาคุนสีเขียวเท่านั้น!”

ชายในชุดคลุมสีเขียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศ เขาโบกมือลงเบื้องล่าง พลันแสงสว่างก็อุบัติขึ้นในมือก่อนสาดกระจายออก กลายเป็นดาวหางที่ตกลงใส่ตัวหวังเป่าเล่อ ดาวหางนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มพอดิบพอดี แปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นคัมภีร์ไผ่เขียว!

คัมภีร์ไผ่เขียวนี้มีพลังปราณเข้มข้นยิ่งใหญ่ ราวกับเป็นคำบัญชาการจากฟากฟ้าก็ไม่ปาน!

“หลงหนานจื่อ จงทิ้งตราผนึกของเจ้าเสียและยอมศิโรราบให้กองทหารปลาคุนสีเขียวผ่านคัมภีร์นี้!”

หวังเป่าเล่อที่กำลังมองคัมภีร์สีเขียวเปลี่ยนสีหน้าเป็นบูดเบี้ยวเหยเก ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่อี้เหนียนจื่อสองสามวินาที ก่อนจะตอบเสียงเย็น

“ข้าขอปฏิเสธ!”

……………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท