แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 227 ขับไล่ฟางเว่ยกั๋ว

ตอนที่ 227 ขับไล่ฟางเว่ยกั๋ว

ตอนที่ 227 ขับไล่ฟางเว่ยกั๋ว

หลังมื้ออาหารเช้า ฟางจั๋วหรานช่วยหอบของไปส่งหลินม่ายที่สถานีรถไฟ แล้วรอจนกว่าเธอจะออกเดินทาง

หลินม่ายมาถึงเมืองซื่อเหม่ยในเวลาประมาณแปดโมงเช้า ทุกครัวเรือนต่างนั่งรับประทานอาหารเช้ากันอยู่

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายหอบข้าวของมาเต็มสองมือ ชาวบ้านหลายคนก็ทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม “ม่ายจื่อ กลับมาเยี่ยมคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางอีกแล้วเหรอ?”

หลินม่ายยิ้มตอบพวกเขา

ใครคนหนึ่งถามว่า “รอบนี้เธออยากได้พืชผลอะไรล่ะ? อยากได้มันฝรั่งไหม? มันฝรั่งสวนฉันกำลังเติบโตได้ที่เลยล่ะ”

หลินม่ายทนเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเพื่อนบ้านไม่ได้

แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้วางแผนว่าจะรับซื้อมันฝรั่ง ดังนั้นจึงพยายามใจแข็งเข้าไว้ “คือว่า… รอบนี้ฉันยังไม่อยากได้ค่ะ”

ชาวบ้านต่างแสดงความผิดหวัง

หลินม่ายเร่งฝีเท้าเดินมาถึงบ้านของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายซื้อพัดลมไฟฟ้ามาให้พวกเขา สองสามีภรรยาชราก็รีบบอกว่าอากาศในชนบทยังเย็นสบาย ไม่มีความจำเป็นต้องใช้พัดลมไฟฟ้า ถึงอย่างนั้นใบหน้าของพวกเขาก็ยิ้มแย้มยินดี

หลินม่ายบอกว่า “ฉันไม่ได้เป็นคนซื้อพัดลมตัวนี้หรอกค่ะ คุณหมอฟางเป็นคนซื้อ ฉันแค่รับหน้าที่ขนมาส่งให้พวกท่าน”

ผู้เฒ่าทั้งสองเริ่มวิพากษ์วิจารณ์การใช้เงินฟุ่มเฟือยของฟางจั๋วหรานอีกครั้ง แต่ก็หัวเราะด้วยอารมณ์แจ่มใส

คราวทที่แล้วเธอล้มป่วยอย่างกะทันหัน ทำให้ต้องทิ้งรถแทรกเตอร์ไว้ที่บ้านของคุณปู่และคุณย่าฟาง ไม่ได้ขับกลับไปในเมือง

หลังจากพูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางได้สักพัก หลินม่ายก็ขอตัวไปทำธุระ ขับรถแทรกเตอร์ออกไปรับซื้อข้าวโพด

ตอนแรกเธอวางแผนไว้ว่าจะรับซื้อข้าวโพดแค่ห้าร้อยฝัก แต่ชาวบ้านที่อยากขายข้าวโพดให้เธอมีมากเกินความต้องการ ท้ายที่สุดเธอจึงต้องรับซื้อไว้หนึ่งพันฝัก

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวข้าวโพดมาขายให้เธอ ทำได้แต่รอเธอมารับซื้อในครั้งต่อไป

นอกจากข้าวโพดแล้ว หลินม่ายยังรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ เช่น ไข่ไก่ และรากบัว

ไม่ว่าจะนำไปปรุงอาหารหรือทำเป็นเครื่องดื่มเย็น ๆ รากบัวก็เป็นที่นิยมอย่างมากในบรรดาแผงขายอาหารริมทาง

พอเธอขับรถแทรกเตอร์ย้อนกลับมาที่บ้านของคุณปู่ฟาง ก็เห็นว่าฟางเว่ยกั๋วอยู่ที่นั่นด้วย ทันทีที่มองเห็นเธอ เขาก็ชายตามองด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

สีหน้าของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

หลินม่ายเหลือบมองไปที่ฟางเว่ยกั๋ว ไม่รู้ว่าเขาไปพูดอะไรกับผู้เฒ่าทั้งสองคนบ้าง ถึงทำให้พวกเขาแสดงสีหน้าย่ำแย่แบบนั้น

คุณย่าฟางถามหลินม่ายด้วยสีหน้าราบเรียบ “ม่ายจื่อ เธอคบอยู่กับจั๋วหรานเหรอ?”

หัวใจของหลินม่ายดิ่งวูบลงทันที เธอพยักหน้ารับตามความจริง “ใช่ค่ะ”

คุณปู่ฟางเป่าหนวดถลึงตามอง “เรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกพวกเราล่ะ?”

หลินม่ายหดคอลงด้วยความกลัว “ฉันไม่กล้าบอกค่ะ…”

ฟางเว่ยกั๋วได้ทีก็พูดเสริมด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เธอไม่กล้าบอกแน่นอนอยู่แล้ว ผู้หญิงม่ายอย่างเธอไม่คู่ควรกับจั๋วหรานเลยสักนิด!”

คุณปู่ฟางหันไปตะคอกใส่ลูกชายทันที “หุบปาก! จะคู่ควรหรือไม่คู่ควรไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแก!”

คุณย่าฟางรีบจับมือหลินม่ายไว้พลางกระซิบเบา ๆ “ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดบังกันสักหน่อย เธอกับจั๋วหรานคบหากันทั้งที ฉันกับคุณปู่ควรแสดงความยินดีด้วยถึงจะถูก!”

คุณปู่ฟางโบกมือ “พวกเราไม่ได้ตำหนิม่ายจื่อเรื่องนี้ แต่ตำหนิจั๋วหรานต่างหาก เขากล้าดียังไงถึงได้ปิดบังเรื่องนี้จากพวกเรา เจอเขาเมื่อไหร่ฉันจะทุบตีสั่งสอนให้หลาบจำ!”

ดวงตาของฟางเว่ยกั๋วเบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ “พ่อ แม่ พวกท่าน… สมองมีปัญหาไปแล้วหรือ? หล่อนเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งนะ พวกท่าน… ยอมปล่อยให้จั๋วหรานแต่งงานกับผู้หญิงม่ายคนนี้ได้ยังไง?”

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางตวาดเสียงดังใส่เขาพร้อมกัน “แกต่างหากที่สมองมีปัญหา หล่อนเป็นม่ายแล้วยังไง? ผู้หญิงที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วจะแต่งงานอีกครั้งไม่ได้เลยรึ? ทำไมแกถึงได้เป็นคนใจแคบแบบนี้?”

ฟางเว่ยกั๋วยังอยากโต้แย้ง แต่คุณย่าฟางกลับหันไปหยิบไม้กวาดขึ้นมา แล้วระดมฟาดไปที่เขา “ออกไปให้พ้น! อย่ามาเห่าหอนไม่เข้าเรื่องแถวนี้!”

ผู้นำระดับสูงขององค์กรณ์รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ถูกแม่แท้ ๆ ของตัวเองขับไล่ออกจากบ้าน เรื่องนี้ทำให้ฟางเว่ยกั๋วโกรธมาก แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมขับรถออกไป

ถ้าเขาไม่รีบไปจากที่นี่ คนทั้งเมืองคงได้รู้กันหมดว่าพ่อแม่ไม่ไยดีลูกชายอย่างเขา เรื่องอะไรจะยอมให้ตัวเองเสียหน้า

หลังจากขับไล่ฟางเว่ยกั๋วออกไปแล้ว คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางก็หันกลับมาพูดกับหลินม่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเราสองปู่ย่าไม่ใช่คนไร้เหตุผล เราไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วกี่ครั้ง การที่เธอกับจั๋วหรานชอบพอกันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว”

หลินม่ายพยักหน้ารับด้วยความเขินอาย ก่อนจะหันไปบอกคุณปู่ฟาง “คุณปู่คะ อย่าทุบตีหรืออย่าตำหนิจั๋วหรานเรื่องนี้เลยค่ะ ฉันเป็นคนร้องขอให้เขาปิดบังเรื่องนี้กับพวกท่านเอง”

คุณย่าฟางสะบัดเสียงใส่ “ไม่เห็นมีอะไรน่าปิดบังซะหน่อย!”

หลินม่ายก้มหน้าลง “จั๋วหรานเป็นคนดีเกินไปค่ะ ฉันเป็นแค่แม่ค้ารายย่อยที่ใคร ๆ ต่างก็ดูถูกดูแคลน การที่จั๋วหรานคบหากับฉัน นั่นไม่ต่างอะไรกับกะหล่ำปลีที่ถูกหมูกิน หรือดอกไม้ที่ปักอยู่ในมูลวัวอยู่แล้ว พอเป็นแบบนี้ ฉันจะเอาความกล้าที่ไหนมาบอกความจริงให้พวกท่านทราบล่ะคะ?”

“ไร้สาระ!” ผู้เฒ่าทั้งสองไม่เห็นด้วย “เธอดูแคลนตัวเองถึงขนาดนั้นได้ยังไงกัน? จั๋วหรานต่างหากที่เป็นหมูตัวนั้น เขาต่างหากที่เป็นมูลวัวก่อนนั้น!”

หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางด้วยสายตาซับซ้อน ราวกับจะตั้งคำถามว่า ‘ทำไมพวกท่านถึงได้ย้อนสลับขาวเป็นดำไปได้?’

คุณย่าฟางจับมือหลินม่าย ถามว่าเธอกับฟางจั๋วหรานคบหาเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไร แล้วฟางจั๋วหรานเคยซื้ออะไรให้เธอบ้าง

หลินม่ายหน้าแดงก่ำ ตอบผู้เฒ่าทั้งสองทีละคำถาม

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ คุณย่าฟางก็รู้สึกโล่งใจ “ฉันคาดเดาไว้อยู่แล้วเชียว อย่างน้อยจั๋วหรานก็ไม่ใช่คนโง่ที่ไม่รู้จักซื้อของให้เธอ”

คุณปู่ฟางถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นจากด้านข้าง “เธอกับจั๋วหรานจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?”

หลินม่ายชะงักค้างไปทันที เธอยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานอย่างจริงจังเลย ดังนั้นจึงให้คำตอบที่แน่นอนไม่ได้

คุณปู่ฟางโมโหขึ้นมาอีกครั้ง “จั๋วหรานไม่ได้คิดวางแผนจะแต่งงานกับเธอเลยเหรอ? ฉันจะหาโอกาสไปสั่งสอนเขาเดี๋ยวนี้แหละ!”

“ใช่ สั่งสอนเลย!” คุณย่าฟางเองก็พลอยแสดงท่าทางเกลียดชังไปกับสามีด้วย “รักชอบกันแต่กลับไม่รู้จักวางแผนแต่งงาน นี่มันเอาเปรียบกันชัด ๆ!”

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”

ในขณะที่เธอกำลังสิ้นหวัง จู่ ๆ หลินม่ายก็ฉุกคิดถึงเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอขึ้นมาได้ “คืออย่างนี้ค่ะ… ตอนนี้ฉันกำลังเรียนต่อชั้นมัธยมปลาย อาจยังแต่งงานไม่ได้สักระยะใหญ่ ๆ เลยค่ะ”

สองสามีภรรยาชราจึงยอมหยุดกล่าวโทษฟางจั๋วหราน คิดว่าเป็นเรื่องดีที่หลินม่ายไม่หยุดแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิต จึงไม่ควรให้การแต่งงานมาปิดกั้นโอกาส

คุณย่าฟางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “การแต่งงานอาจล่าช้าออกไปสักสองสามปีได้ แต่การหมั้นจะล่าช้าไม่ได้”

คุณปู่ฟางรีบตอบรับ “ใช่ พวกเธอหมั้นกันไว้ก่อนเถอะ ภายในวันชาติปีนี้ก็ได้ ม่ายจื่อ เธอคิดว่ายังไง?”

หลินม่ายยิ้มเจื่อน “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ”

คุณย่าฟางจ้องเขม็ง “จะไม่จำเป็นได้อย่างไร? ตราบใดที่เธอหมั้นกับเขาแล้ว คนไร้ยางอายบางคนจะได้ล้มเลิกความคิดอยากจับเธอแยกกับจั๋วหรานสักที!”

หลินม่ายรู้ดีว่าคนไร้ยางอายในความหมายของคุณย่าฟางคือใคร

ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็หาทางออกร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเธอเอง หลินม่ายไม่อยากให้พวกเขาไม่สบายใจ จึงพยักหน้ารับ “ฉันไม่คัดค้านแล้วก็ได้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจั๋วหรานจะเต็มใจหมั้นหมายกับฉันหรือเปล่า”

“ถ้าเขาไม่เต็มใจ ฉันนี่แหละจะหักขาเขาซะ!” คุณปู่ฟางลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ฉันจะออกไปโทรหาเขาสักหน่อย” หลังจากพูดจบก็เดินออกจากบ้านไปทันที

คุณย่าฟางเหลือบดูเวลา พอเห็นว่าเริ่มสายแล้วจึงลุกขึ้นบ้าง “โอ้! ได้เวลาทำอาหารมื้อกลางวันแล้ว มาเข้าครัวทำอาหารมื้อใหญ่ฉลองกันเถอะ”

หลินม่ายหันไปคว้าตะกร้าจ่ายตลาด “เดี๋ยวฉันไปตลาดเพื่อซื้อปลากับเนื้อสัตว์อื่น ๆ เองค่ะ”

“ไปด้วยกันนี่แหละ” คุณย่าฟางคล้องแขนหลินม่าย จากนั้นพวกเธอก็เดินออกจากบ้านไปด้วยท่าทางสนิทสนม

เพื่อนบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นเห็นเข้า ก็พูดแซวทันที “พวกคุณนี่สนิทสนมกันเหมือนคุณย่ากับหลานสาวเลย”

คุณย่าฟางรีบตอบกลับ “ถึงม่ายจื่อจะไม่ใช่หลานสาวแท้ ๆ ของฉัน แต่อีกไม่นานหล่อนจะกลายเป็นหลานสะใภ้ของฉันแล้ว”

ทุกคนต่างประหลาดใจไปตาม ๆ กัน ถามกลับด้วยความไม่เชื่อ “คุณหมอฟางของคุณกำลังจะแต่งงานกับม่ายจื่อเหรอ?”

คุณย่าฟางพยักหน้ารับอย่างภาคภูมิใจ

เพื่อนบ้านแถวนั้นเลื่อนสายตามองไปที่หลินม่ายด้วยความสนเท่ห์

ระหว่างนั้นก็นึกในใจ เธอใช้กลวิธีอะไรกันนะถึงทำให้ฟางจั๋วหรานยอมแต่งงานด้วยได้ เธอเกลี้ยกล่อมแม่เฒ่าฟางยังไงให้อีกฝ่ายยอมรับเธอเป็นหลานสะใภ้ด้วยความเต็มใจ

ผู้หญิงคนนี้เจ้ามารยาจริง ๆ!

หลินม่ายและคุณย่าฟางเดินมาถึงตลาดสด คุณย่าฟางเลือกซื้อวัตถุดิบชั้นดีหลายอย่าง

ไม่นานนัก ในตะกร้าก็เต็มไปด้วยซี่โครงหมู สันในหมู เนื้อไก่ เนื้อเป็ด และปลา

หลินม่ายเห็นว่าของสดเริ่มเยอะเกินไปแล้ว จึงรีบห้ามปราม “คุณย่าคะ ตอนนี้สภาพอากาศค่อนข้างร้อน ถ้าซื้อของสดมากเกินไปแล้วปรุงอาหารกินไม่ทัน ของจะเน่าเสียเอานะคะ”

คุณย่าฟางจึงยอมแพ้ในที่สุด จากนั้นก็พาเธอไปเก็บผักในสวนต่อ

ระหว่างทางตั้งแต่ตลาดไปจนถึงแปลงผักของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่พบเจอคนรู้จัก คุณย่าฟางจะโอ้อวดให้คนเหล่านั้นรับรู้ทั่วกันว่าหลินม่ายคือหลานสะใภ้ในอนาคต

ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับว่าที่หลานสะใภ้ของตัวเองเป็นเจ้าหญิง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รุ่นพ่อแม่กับรุ่นหลานนิสัยดี้ดี แต่ทำไมรุ่นลูกถึงนิสัยเป็นแบบนั้นไปได้หว่า?

ทางสะดวกแล้วม่ายจื่อ ปู่ย่าฟางเปิดไฟเขียวส่องเต็มหน้าขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท