นิ้วเรียวยาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางบนโต๊ะไม้จันทน์เตี้ยๆ สายตาของเขามองเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าตนเองอยู่ใกล้ชิดเพียงพอแล้ว เพราะรถม้าคันใหญ่นี้ไม่ได้มีพื้นที่ว่างมากนัก หากนางขยับอีกเพียงเล็กน้อย พวกเขาทั้งสองคนก็คงจะต้องสัมผัสตัวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“หากพวกเราใกล้กันกว่านี้ ก็น่าจะทำแผลได้ง่ายขึ้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนใบหน้าไปทางด้านข้าง พร้อมกับใช้เข็ม และป้ายขี้ผึ้งที่ทำด้วยบัวหิมะเทียนซานเล็กน้อย นางพูดต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้น “หากต่อจากนี้ ข้าทำให้องค์ชายไม่พอใจ ก็คงจะไม่ดีนัก”
ดูเหมือนว่าเขาจะมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างแผ่วเบา “ก็ไม่มีอะไรไม่ดีนี่”
“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นและมองหน้าเขาตรงๆ นางสงสัยว่าโรครักความสะอาดของผู้ชายคนนี้ได้รับการรักษาแล้วหรือไม่
จากนั้น นางก็ได้ยินเขาพูดต่ออย่างช้าๆ “ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าก็ต้องทำให้ข้าไม่พอใจอยู่ดี” ไม่รู้ว่าเขาจงใจพูดคำว่า ‘ไม่พอใจ’ หรือไม่ แต่เขาก็เอื้อมมือข้ามตัวเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วปล่อยม่านด้านหลังของนางลง น้ำเสียงของเขาที่ผ่านหูของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้แผ่วเบาหรือหนักแน่น ลมหายใจของชายหนุ่มที่กระทบกับใบหูของหญิงสาวนั้น ทำให้นางรู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าไปด้านข้างและเห็นแววตาอันบริสุทธิ์และเย็นชาของอีกฝ่าย ก่อนจะขยับตำแหน่งของตนเอง ชายหนุ่มคนนี้ราวกับเป็นความชั่วร้ายในหมู่มวลปีศาจทั้งหลาย ไม่ว่าเขาจะต้องการสะกดผู้ใด นางผู้นั้นก็จะโดนต้องมนต์อย่างง่ายดาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นมายิ้ม พร้อมกันขยับตัวให้เข้าไปใกล้ขึ้น นางขยับตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่มือข้างหนึ่งจับข้อมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มืออีกข้างก็ถือเข็มสีเงินเอาไว้ นางค่อยๆ ดึงเศษแก้วที่บาดมือออก บุคลิกของนางทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกสบายใจอย่างมาก
แต่นางยังคงรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองคนอยู่ใกล้ชิดกันมากเกินไป
นางไม่แน่ใจว่าองค์ชายสามรู้สึกไม่พอใจหรือไม่ที่นางสัมผัสมือของเขา ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เขาเอาแต่ก้มหน้ามองนาง ท่าทีของเขานั้นทำให้เกิดความรู้สึกหนักหน่วงอย่างมาก ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเรียวยาวของตนเอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ส่งผลต่อการรักษาบาดแผลของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลย เพราะมือของนางไม่สั่นเลยแม้แต่น้อย นางเริ่มจากหยิบชิ้นส่วนต่างๆ ออกมาจากฝ่ามือก่อน จากนั้นก็ทาขี้ผึ้งจนทั่ว แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวมัดไว้ เป็นอันเสร็จสิ้นการทำแผล
“เรียบร้อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยลุกขึ้นยืนและกำลังคิดจะไปหยุดรถม้า เพื่อจะได้ลงไปข้างล่างได้
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับหมุนตัวกลับมา และออกคำสั่งว่า “ขับตรงไปข้างหน้าให้เร็วขึ้นอีก”
เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”
ธูปในกระถางลายกิเลนที่อยู่บนโต๊ะมีควันเพิ่มขึ้นเมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเปิดฝาของมันออก และมองนาง “ถ้าลงไปตอนนี้ เจ้าอยากให้ทุกคนรู้หรือว่าเจ้าอยู่ในรถม้าของข้า”
ไม่ นางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นเลย
การที่มีคนรู้เรื่องนี้ จะทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่หยุดหย่อน
สิ่งที่นางไม่ชอบมากที่สุดคือการต้องจัดการกับปัญหาเหล่านั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวด้วยความง่วงเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เมื่อไหร่ข้าถึงจะลงไปได้หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาที่มีเสน่ห์ของตนเองลง นางไม่ชอบอยู่ในรถม้าคันเดียวกันกับเขาขนาดนั้นเลยหรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโยนฝาครอบในมือทิ้งอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเอนตัวกลับมา พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม “เจ้าได้ไปอย่างแน่นอน” หากนางขยับ เขาก็จะหักกรงเล็บของนาง เพื่อป้องกันไม่ให้หัวใจของเขาถูกรบกวน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเขา และรู้สึกได้ว่าคนๆ นี้ดูไม่พอใจเล็กน้อย นางขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็บอกให้พวกเขาหยุดรถม้าสิ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำนิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อแน่น แล้วรอยยิ้มเยือกเย็นราวกับปีศาจก็ก่อตัวขึ้นอย่างบริสุทธิ์และเย็นชา “ขับให้เร็วขึ้นอีก”
เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”
วันนี้ องค์ชายสามจงใจทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับนางเช่นนั้นหรือ
มิเช่นนั้น ทำไมเขาถึงทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้เล่า
“ถ้าอย่างนั้น ให้ข้าอยู่กับองค์ชายที่นี่ต่ออีกสักพักจะได้หรือไม่” เมื่อพูดคุยกับเขาจนถึงตอนนี้แล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เข้าใจเขามากขึ้นเล็กน้อย องค์ชายสามเป็นคนเช่นนี้ เพราะเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบ “อืม” และเอนศีรษะไปทางซ้าย ราวกับว่าเขาไม่ต้องการให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นสีหน้าของตนเองในขณะนี้
จริงๆ แล้ว มันไม่สำคัญว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะนอนที่นี่หรือไม่ แต่ตราบใดที่นางสามารถพบกับเฮยเจ๋อได้ก่อนที่พวกเขาจะกลับเข้าเมืองหลวง เพื่อจะหารือเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายอาวุธก่อนที่จะถึงงานประลองยุทธ์ได้ ก็ไม่เป็นไร
เมื่อคิดเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หาที่นั่งอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะเอนหลังพิงหน้าต่างรถม้า และรักษาระยะห่างกับองค์ชายสามเล็กน้อย
เมื่อรู้สึกได้ถึงความตั้งใจของนาง ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็จ้องมองในระดับเดียวกับสายตาของนาง “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรังเกียจข้าเป็นพิเศษ”
“หือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าตัวเองหูฝาดไป “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่องค์ชายไม่ชอบให้คนอื่นอยู่ใกล้ไม่ใช่หรอกหรือ” นางก็แค่ทำในสิ่งที่สมควรทำเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องนางตาเขม็ง “หลังจากจบงานประลองยุทธ์ เจ้ากับข้าก็ต้องแต่งงานกันแล้ว หากพวกเราจะทำตัวคุ้นเคยกันให้มากขึ้นล่วงหน้า ก็ไม่ใช่เรื่องไม่เหมาะสม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “พวกเราไม่จำเป็นต้องคุ้นเคยกันมากขึ้นหรอก ข้าไม่ถือ”
“แต่ข้าถือ” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเรียบเฉย “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาใกล้ข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสำลักคำพูดของเขา
“ถ้าอย่างนั้น…” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงคิดหาทางออกอยู่ มันเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ คนที่ต้องการรักษาระยะห่าง จะไม่ยืนใกล้ชิดกับอีกคน หลังจากที่แต่งงานกันแล้วได้อย่างไรกัน แค่ดูแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ
องค์ชายสามคิดเรื่องนี้และขัดจังหวะการหาข้ออ้างทุกอย่างที่เป็นไปได้ของนางออก “มานี่สิ”
“ท่านจะทำอะไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนิ้วเรียวยาวของเขาที่อยู่บนโต๊ะไม้อย่างงุนงง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองนางราวกับกำลังมองดูคนโง่เขลา “มาทำความคุ้นเคยกันก่อน”
“อย่างไรกัน…” แต่คำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถูกขัดจังหวะ เพราะในชั่วพริบตา นางก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอด แล้วกลิ่นหอมหวานที่ลอยฟุ้ง บวกกับอุณหภูมิร่างกายที่เย็นเล็กน้อย และกลิ่นของชายหนุ่มที่เตะจมูกนั้น ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็งเกร็ง
ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะไม่รับรู้ถึงปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ท่าทีของเขายังคงสงบและสุขุมเหมือนกับทุกครั้ง ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับการโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้มาก่อนแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่ากล้ามเนื้อของตนเองแข็งเกร็งด้วยความอึดอัดอย่างมาก นางจึงผ่อนคลายแขนของตัวเองในทันทีโดยไม่ลังเล ก่อนจะเลิกคิ้วถาม “ท่านอดทนกับสิ่งนี้ได้หรือ”
“มันอยู่ในระดับที่ข้ายอมรับได้” น้ำเสียงขององค์ชายสามเรียบเฉยอย่างมาก จนเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกคลางแคลงใจ นางไม่ควรจะสงสัยในเจตนาของผู้ชายคนนี้ เขาอาจจะทนไม่ได้จริงๆ ที่คนอื่นจะเข้าใกล้เขา ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงยอมทรมานจากบาดแผลของตนเอง แทนที่จะให้ข้ารับใช้มาช่วยทำแผลให้ เมื่อนางเข้ามา เขาถึงกับขมวดคิ้วเรียวยาว นั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่ชอบให้ใครมายืนอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเขา นางเคยสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นโรครักความสะอาดมาก่อน คนเหล่านี้จะมองทุกๆ คนราวกับเป็นเชื้อโรค มันคงเป็นเรื่องยากที่องค์ชายสามจะกอดเชื้อโรคตัวโตอย่างนางเอาไว้เช่นนี้ได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ผ่อนคลายลงพร้อมกับหาวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะพูดด้วยความง่วงงุน “ถ้าเช่นนั้น เมื่อไหร่ที่ท่านทนไม่ไหวแล้วก็บอกข้าได้เลย ข้าจะผลักท่านออกไปเอง”
“ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือของตนเองออกไปกอดนางให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ความนุ่มนวลในอ้อมแขนทำให้ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้น ความชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้นอย่างชัดเจน
จับเหยื่อได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าเหยื่อตัวนี้ยังคงเป็นห่วงเขาอย่างมาก
กิเลนอัคคีที่มองดูอยู่นั้นหันศีรษะไปเงียบๆ ชายผู้นี้พูดโกหกหลอกลวงคนอื่นแบบตาไม่กะพริบเลยทีเดียว เขาเป็นเจ้านายของมันจริงๆ หรือ
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องจริง
วิธีการที่องค์ชายจัดการกับเหยื่อของเขาคือการใช้ทุกวิถีทาง
เมื่อพูดถึงเรื่องความอดทน นี่อาจถือได้ว่าเป็นครั้งแรกอีกด้วย
ความกังวลเกี่ยวกับเฮ่อเหลียนเวยเวยกับชายอื่นนั้น ทำให้องค์ชายสามหมดความอดทนอย่างเห็นได้ชัด…