หลังจากกั๋วจื่อเจี้ยนของต้าเซี่ยอพยพมา ไม่ได้มีการหาสถานที่ตั้งอื่น หากแต่ตั้งอยู่ในสำนักการศึกษาของเมืองอู๋
เมื่อเทียบกับความงดงามโออ่าของพระราชวังอู๋ สำนักการศึกษาดูทรุดโทรมอย่างมาก ท่านอ๋องอู๋โปรดปรานในบทกวี หากแต่ไม่โปรดปรานในคัมภีร์ลัทธิหยูมากนัก
สวีลั่วจือ ผู้เป็นจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนไม่สนใจมากนักกับสถานที่ทรุดโทรม หากแต่สนใจกับสถานที่คับแคบเกินไป เหล่าบัณฑิตย์เรียนหนังสือไม่สะดวก ดังนั้นกำลังครุ่นคิดหาสถานที่สำหรับการศึกษาอีกแห่ง
“เวลานี้บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีการขัดขวางจากเมืองโจว เมืองอู๋และเมืองฉี เหนือใต้เดินทางสะดวก บุตรหลานของตระกูลใหญ่จากหลากหลายถิ่นต่างเดินทางมา การศึกษาที่ได้รับแตกต่างกันไป หากเบียดอยู่ด้วยกัน ย่อมไม่สะดวกนัก”
ภายในโถงของกั๋วจื่อเจี้ยน สวีลั่วจือผู้เป็นจี้จิ่ว นักปราชญ์แห่งลัทธิหยูที่มีหน้าผากกว้าง คิ้วดก ผมขาวกำลังหารือกับผู้ช่วยทั้งสอง
สวีลั่วจือเป็นอาจารย์ลัทธิหยูที่มุ่งมั่นในการสอน แตกต่างจากผู้อื่นที่รับผู้คนเข้าศึกษาจากการดูชาติกำเนิดจากทะเบียนเหลือง เขาจะทำการทดสอบทีละคน จัดกลุ่มนักเรียนไปอยู่ภายใต้อาจารย์แต่ละคนตามผลการทดสอบ เพื่อศึกษาวิชาที่แตกต่างกัน ผู้ที่สามารถเข้าเป็นศิษย์ของเขามีจำนวนน้อยอย่างยิ่ง
ผู้ช่วยคนหนึ่งยิ้ม “ใต้เท้าสวีไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทตรัสแล้ว เมืองหลวงทิวทัศน์งดงามรอบด้าน ให้พวกเราเลือกสถานที่แห่งหนึ่งสำหรับขยายเป็นสถานศึกษา”
สวีลั่วจือเผยหน้ายิ้ม “เช่นนี้ย่อมดี”
ผู้ช่วยอีกคนถาม “เหล่านักเรียนของสำนักการศึกษาเมืองอู๋ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกหรือไม่ มีคนจำนวนมากต่างไม่มีความรู้ อีกทั้งยังมีอีกคนเคยเข้าคุกมาก่อน”
สวีลั่วจือส่ายหัว “นักปราชญ์เคยกล่าวไว้ การศึกษาไม่แบ่งกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนของซีจิงหรือเมืองอู๋เดิม คนใต้หรือคนเหนือ เพียงแค่มาขอเข้าศึกษา พวกเราควรสั่งสอนอย่างอดทน ไม่แบ่งแยก” พูดพลางขมวดคิ้ว “แต่ผู้ที่เคยเข้าคุกก็แล้วไป ให้เขาหาที่อื่นเพื่อเข้าศึกษาเถิด”
เหล่าผู้ช่วยตอบรับ ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากัน คนเฝ้าประตูคนหนึ่งวิ่งเข้ามาเรียกขานหาท่านจี้จิ่ว ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่ง “มีผู้ที่แทนตนว่าเป็นศิษย์ของสหายเก่าท่านมาขอเข้าพบขอรับ”
นับแต่ย้ายเมืองหลวงมา กั๋วจื่อเจี้ยนก็วุ่นวายอย่างมาก แต่ละวันมีคนจำนวนมากมาขอเข้าพบ มิตรสหายหลากหลาย สวีลั่วจือรำคาญใจยิ่งนัก “บอกกี่ครั้งแล้ว เพียงแค่มีจดหมายแนะนำเข้าร่วมการทดสอบในแต่ละเดือน เมื่อถึงเวลาย่อมพบข้าได้ ไม่ต้องมาพบข้าล่วงหน้า”
เหล่าผู้ช่วยยิ้ม “ล้วนชื่นชมในความรู้ของท่านใต้เท้า”
สวีลั่วจือรับมาอย่างระอา แต่เมื่อเห็นตัวอักษรด้านบนนั้น เขาลุกขึ้นนั่งด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดกับคนทั้งสองอย่างตื่นเต้น “เป็นสหายเก่าของข้าจริงด้วย ไม่พบกันนานแล้ว ข้าตามหาเขามาหลายครั้งก็หาไม่เจอ ข้าจะบอกพวกเจ้า สหายเก่าของข้าผู้นี้ถึงจะเรียกว่ามีความรู้กว้างขวางอย่างแท้จริง”
สวีลั่วจือในฐานะจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจี้ยน นักปราชญ์ลัทธิหยู เขามีความเย่อหยิ่งเสมอมา ผู้ช่วยทั้งสองเห็นเขาศรัทธาต่อคนผู้หนึ่งเช่นนี้เป็นครั้งแรก ต่างอดสงสัยไม่ได้ “คนผู้นี้คือ?”
พวกเขาเพิ่งถามออกมา ก็พบว่าสวีลั่วจือที่เพิ่งเปิดจดหมายหลั่งน้ำตาลงมา ทันใดนั้นตกใจเล็กน้อย
“สวรรค์อิจฉาผู้มีความสามารถ” สวีลั่วจือพูดพลางหลั่งน้ำตา “เหม้าเซิงจากไปแล้ว จดหมายนี้เป็นจดหมายที่เขาทิ้งไว้ให้ข้า”
ผู้ช่วยทั้งสองถอนหายใจ พลางปลอบ “ใต้เท้าอย่าเสียใจมาก”
“ถึงแม้ซินแสท่านนี้จากไปแล้ว คงจะยังมีศิษย์สืบทอด”
เมื่อได้ยินดังนี้ สวีลั่วจือก็นึกขึ้นได้ ถือจดหมายพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “คนที่มาส่งจดหมายนั้น” เขาก้มหน้าดูจดหมาย “คนที่ในจดหมายเขียนไว้ นามว่าจางเหยา” ก่อนจะเร่งเร้าคนเฝ้าประตู “เร็ว รีบเชิญเขาเข้ามา”
คนเฝ้าประตูเห็นสวีลั่วจือทั้งร้องไห้ทั้งเร่งเร้า ก็กระจ่างในฐานะของคนผู้นี้ทันที เขาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
จางเหยายืนอยู่หน้าประตูของกั๋วจื่อเจี้ยน ไม่มีความกังวลร้อนใจ ยิ่งไม่มีการชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านใน เพียงแต่มองไปยังรถที่จอดอยู่ด้านข้างเป็นครั้งครา ม่านรถเปิดกว้าง เฉินตันจูนั่งยิ้มให้เขาอยู่ด้านใน
“จดหมายของข้าส่งเข้าไปแล้ว ไม่มีทางหาย” จางเหยาโบกมือให้นาง พูดเสียงเบา “คุณหนูตันจู ท่านรีบกลับไปเถิด”
เฉินตันจูส่ายหัว “หากจดหมายส่งเข้าไปแล้ว คนผู้นั้นไม่ยอมพบเล่า”
จางเหยาพูด “ไม่มีทาง”
ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนา คนเฝ้าประตูวิ่งออกมา ตะโกน “คุณชายจาง คุณชายจาง”
จางเหยาพูดกับเฉินตันจู “ท่านดู ก่อนหน้านี้ข้าแจ้งชื่อแซ่ เขาแทนข้าว่า เจ้า รอก่อน เวลานี้เรียกว่าคุณชาย แสดงว่า…”
เฉินตันจูหัวเราะออกมา “รีบไปเถิด รีบไปเถิด”
จางเหยาตอบรับทางนั้น หันหลังก้าวเท้า ก่อนจะหันกลับมาคำนับเฉินตันจูอีกครั้ง “คุณหนูตันจู ท่านไม่ต้องรออยู่ทางนี้แล้ว”
เฉินตันจูลังเลเล็กน้อย “ถึงแม้จะยอมพบท่าน แต่หากจี้จิ่วผู้นี้นิสัยไม่ดี รังแกเจ้า…”
จางเหยารู้ว่าตนเองถึงแม้รูปร่างผอม แต่เมื่อประสบกับฝูงหมาป่าในป่านั้น เขายังสามารถหลบอยู่บนต้นไม้ได้ทั้งคืนทำให้ฝูงหมาป่าหมดแรง มีแค่โรคไอเท่านั้น เหตุใดในสายตาของคุณหนูตันจูท่านนี้ เขาดูอ่อนแอราวกับคนทั้งแผ่นดินรังแกเขาได้?
เฮ้อ เขานึกถึงมารดาขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหนูตันจู” เขาคำนับอย่างระอา “หากท่านจะรอ ท่านไปรอที่หุยชุนถังก่อนเถิด หากข้าถูกรังแก ข้าย่อมต้องวิ่งไปหาท่านลุง”
ไม่มีทาง หากเจ้าถูกรังแก เจ้าทำได้เพียงแค่อดทนไม่มีปากเสียง เฉินตันจูคิดภายในใจ อดีตชาติเจ้าถูกรังแกมากเพียงใดก็ไม่เคยบอกนาง อีกทั้งยังจากไปอย่างไม่บอกลา เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ปลายจมูกของนางร้อนผ่าวขึ้นมา ชาตินี้นางได้เห็นเขาถือจดหมายเดินเข้าไปในกั๋วจื่อเจี้ยนกับตาของตัวเองในที่สุด…
“ได้” นางพยักหน้า “ข้าไปรอที่หุยชุนถัง หากมีเรื่อง เจ้ารีบวิ่งมาบอกพวกข้า”
จางเหยาตอบรับ ทั้งโกรธทั้งขบขัน แค่เข้ากั๋วจื่อเจี้ยนเท่านั้น ทำราวกับกำลังจะบุกน้ำลุยไฟ
คนเฝ้าประตูนั้นดูอยู่ด้านข้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้เห็นน้ำตาของสวีลั่วจือ ดังนั้นจึงไม่ได้เร่งเร้าจางเหยาและน้องสาวของเขา…ใช่น้องสาวหรือไม่ หรือภรรยา หรือคนรัก…ดูเหมือนไม่อยากจากกัน เขาแอบมองหญิงสาวคนนี้หลายที รูปลักษณ์งดงาม อีกทั้งคุ้นตายิ่งนัก ราวกับเคยพบเห็นที่ใดมาก่อน
จางเหยาเดินมาถึงด้านหน้าของคนเฝ้าประตูในที่สุด เขาเดินเข้าไปในกั๋วจื่อเจี้ยนภายในการจ้องมองของเฉินตันจู จนกระทั่งมองไม่เห็นแม้ชะโงกตัวดู เฉินตันจูถึงได้นั่งกลับไป วางม่านรถลง “ไปเถิด ไปหุยชุนถัง”
จู๋หลินเคลื่อนรถจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
รถม้าเคลื่อนตัวจากประตูของกั๋วจื่อเจี้ยนไป ขันทีผู้หนึ่งที่แอบดูอยู่มุมกำแพงหันหลัง พูดกับคนในรถ “คุณหนูตันจูส่งชายหนุ่มผู้นั้นเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนแล้วขอรับ”
ม่านรถเปิดออก เผยให้เห็นเหยาฝูที่นั่งอยู่ด้านใน นางถามเสียงเบา “แน่ใจว่าเป็นคนเมื่อวาน?”
ขันทีผู้นี้ติดตามขบวนเสด็จขององค์หญิงจินเหยาเดินทางไปยังภูเขาดอกท้อเมื่อวาน ถึงแม้ไม่ได้ขึ้นเขา แต่เขาเห็นชายหนุ่มท่ามกลางคนที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยง
สิ่งของมีน้อยจึงล้ำค่า ชายหนุ่มผู้หนึ่งท่ามกลางหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงของเฉินตันจู ย่อมไม่ธรรมดา
วันนี้จับตาดูเฉินตันจูลงจากเขาเข้าเมืองเดินทางมาถึงกั๋วจื่อเจี้ยน ก่อนจะพบกับชายหนุ่มผู้นี้อีกครั้ง
ขันทีพยักหน้า “ถึงแม้ห่างไกล แต่ข้ามั่นใจได้”
เหยาฝูมองไปยังกั๋วจื่อเจี้ยน โบกมือต่อขันที “เจ้าเข้าไปสืบ หากมีคนถาม เจ้าบอกว่าข้ามาหาองค์ชายห้า”
ส่วนเวลานี้ องค์ชายห้าไม่มีทางเรียนหนังสืออยู่ในนั้นอย่างเชื่อฟัง ขันทีพยักหน้าวิ่งเข้าไปในกั๋วจื่อเจี้ยน
ส่วนเวลานี้ภายในกั๋วจื่อเจี้ยน มีคนยืนอยู่ภายใต้ทางเดิน มองดูท่านจี้จิ่วที่วิ่งออกมาจากภายในห้อง สวีจี้จิ่วจับมือของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเอาไว้ทันที สนทนากันอย่างสนิทสนม ก่อนจะดึงชายหนุ่มผู้นี้เข้าไป…
ไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้คือผู้ใด ได้รับการต้อนรับจากสวีจี้จิ่วผู้เย่อหยิ่งได้เช่นนี้
…
“คุณชายรองตระกูลหยาง” มีคนตบไหล่ของคนผู้นี้จากด้านหลังอย่างแผ่วเบา
คนผู้นี้ที่กำลังเหม่อลอยดึงสติกลับมา หันหน้ามองมา ที่แท้ก็คือหยางจิ้ง ใบหน้าของเขาซูบเซียวลงไปอย่างมาก คุณชายผู้สง่างามในเดิมทีหายไป ดวงตาที่คมกริบของเขาเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้
“คุณชายรองตระกูลหยาง” คนนั้นถามอย่างเห็นใจ “ท่านจะไปจริงหรือ”
หยางจิ้งยิ้มอย่างเศร้าโศก “ข้าได้รับความไม่เป็นธรรม ถูกขังเป็นเวลานาน เมื่อออกมา พบว่าฟ้าดินเปลี่ยนไปแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่มีที่สำหรับข้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกคนผู้นี้ยื่นมือปิดปากเอาไว้
“ท่านอย่าพูดจาเหลวไหล” คนผู้นี้ตักเตือนเสียงเบา “ฟ้าดินเปลี่ยนไปแล้วอันใดกัน บิดาและท่านพี่ของท่านอยู่ต่อในเมืองหลวงอย่างยากลำบาก ท่านอย่าได้ทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนถูกขับไล่”