เด็กรับใช้คนนั้นคิดในใจว่าเขาไม่ใช่คนจัดการให้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย พอคนๆ นั้นมาถึง นางก็เดินเข้าไปในห้องส่วนตัวอย่างคุ้นเคยด้วยตัวเอง และดูเหมือนนางจะรู้แผนผังของร้านค้าแห่งนี้ดียิ่งกว่าตัวเขาที่ทำงานอยู่ที่นี่เสียอีก
“ชั้นสองก็ชั้นสอง” ผู้ดูแลคนนั้นสะบัดเสื้อคลุมของตนเอง และรีบเดินขึ้นบันไดไป ขณะที่เดินอยู่นั้น เขาก็พูดไปด้วยว่า “ไปนำอาวุธที่ดีที่สุดมา รวมทั้งสมุดบัญชีในช่วงสองวันก่อนเข้ามาด้วย”
เด็กรับใช้คนนั้นร้อง “ดูตอนนี้เลยหรือขอรับ”
“ใช่ ตอนนี้” ขณะที่เขาพูด มืออีกข้างหนึ่งของเขาก็ผลักประตูออก และเมื่อเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคย เขาก็ยิ้มออกมา “นายหญิง ในที่สุดท่านก็มา”
นายหญิงเช่นนั้นหรือ
เด็กรับใช้เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แววตาของเขามีประกายของความประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด
จริงๆ แล้ว คนๆ นี้คือนายหญิงจอมหลอกลวงแห่งเวยเจ๋อหรือ
เด็กรับใช้ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง พร้อมกับกวาดตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง หลังจากนั้น เขาก็ต้องใช้เวลาสักพักเพื่อจัดระเบียบความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และสงบจิตใจของตนเองให้เย็นลง
นายหญิงของพวกเขา… ไม่ใช่ผู้ชาย และยังไม่ใช่ผู้ฝึกปราณที่แข็งแกร่งอีกด้วย
แต่นางเป็นเพียงเด็กสาวที่ยังมีอายุน้อยคนหนึ่งเท่านั้น
แล้วที่ว่ากันว่าเอวของเขาหนาเท่าหมีคืออะไรกัน
แล้วไหนคือผมหงอกสีขาวที่ร่ำลือกันเล่า
ไหนบอกว่าเขาเป็นปรมาจารย์ที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้อย่างไรเล่า
แล้วที่บอกว่าเขาหน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่ง ทำให้เขาไม่เคยเปิดเผยหน้าตาของตนเองมาก่อนคืออะไรกัน
นายหญิงของพวกเขาคือคนๆ เดียวที่สามารถเอาชนะคนจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยใบหน้าของนาง…
“ลุงจาง” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม และยื่นมือไปจับมือกับผู้ดูแลจาง และมองไปทางเด็กรับใช้
เด็กรับใช้คนนั้นงุนงง หัวใจของเขากำลังคิดว่าแม้แต่น้ำเสียงของนางก็ช่างไพเราะน่าฟังยิ่งนัก
ผู้ดูแลจางตบแผ่นหลังของอีกฝ่าย และพูดขึ้น “ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่เล่า ไปเตรียมของที่ข้าให้เจ้านำมาสิ” หลังจากพูดจบ เขาก็หมุนตัวไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะยิ้มให้อีกครั้ง “เขาเป็นเด็กฝึกงานคนใหม่ที่ข้าเพิ่งรับเข้ามา เขาเพิ่งเริ่มงาน จึงยังไม่คุ้นเคยกับอะไรหลายๆ อย่าง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มและหัวเราะออกมา พร้อมกับตอบกลับ “เขาไม่เลวเลยทีเดียว สามารถเป็นตัวแทนของร้านได้”
จู่ๆ เด็กรับใช้ก็คิดว่าตนเองกำลังฝันไป เขา… เมื่อกี้เขาเพิ่งได้รับคำชมจากคนที่เขาชื่นชอบเช่นนั้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้ หลังจากที่เขานำสมุดบัญชีมาให้ เขาจะต้องลงไปวิ่งสักสองสามรอบ
เมื่อผู้ดูแลจางเห็นว่าเด็กรับใช้ลงไปข้างล่าง พร้อมกับยิ้มให้ตนเองอย่างเซ่อๆ เขาก็ส่ายศีรษะและพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างอดไม่ได้ “ทันทีที่ข้าได้รับจดหมายจากนายหญิง ข้าก็รีบกลับมาในทันทีเลยขอรับ ข้าเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าการขึงตาข่ายที่นายหญิงบอกนั้นหมายความว่าอย่างไรขอรับ”
“เหล่าจาง พอเถอะ พี่น้องของพวกเรายังมาไม่ถึงกัน เจ้าตั้งใจจะโกงและหลอกให้นายหญิงสอนเจ้าเป็นการส่วนตัวเช่นนั้นหรือ” ผู้ดูแลเว่ยที่มีร่างกายกำยำเดินเข้ามา
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าคนอื่นๆ เริ่มมาถึงกันแล้ว จึงหุบร่มที่อยู่ในมือของตนเอง ก่อนจะพูดขึ้น “พวกท่านทุกคนน่าจะรู้เรื่องการประลองยุทธ์ที่กำลังจะจัดขึ้น หากเปรียบเทียบกับร้านค้าอาวุธอื่นๆ ในตลาดนี้ ธุรกิจของเราก็ไปได้สวยจริงๆ แต่พวกเรายังสร้างผลงานได้น้อยกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้เล็กน้อย ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เป้าหมายในธุรกิจของพวกเราจะเปลี่ยนไป จากนี้ไป สิ่งเดียวที่พวกเราต้องทำ คือปั่นป่วนตลาด”
“ปั่นป่วนตลาดเช่นนั้นหรือขอรับ” ผู้ดูแลเว่ยไม่เข้าใจนัก และเอ่ยถาม “เวยเจ๋อของพวกเรานั้นมีชื่อเสียงที่ดีและยิ่งใหญ่ในตลาด ทุกคนสมองแทบระเบิด เพราะพยายามคิดหาวิธีที่จะได้รับอาวุธจากพวกเรานะขอรับ ทั่วทั้งเมืองหลวง มีใครบ้างที่ไม่รู้จักชื่อของเวยเจ๋อ หากมีคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา คนพวกนั้นก็คงถูกตราหน้าว่าเป็นพวกบ้านนอก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางร่มในมือของนางลง แม้ว่าการเคลื่อนไหวของนางจะแผ่วเบา แต่เพราะว่ามันคืออาวุธชั้นยอด บรรยากาศโดยรอบจึงเปลี่ยนไปทันที
“เท่านั้นยังไม่พอ” นางบอก
“ยังไม่พอเช่นนั้นหรือขอรับ” ผู้ดูแลเว่ยเบิกตาโตอย่างงุนงง และรีบหันไปมองทางผู้ดูแลจางทันที
แม้แต่ผู้ดูแลจางที่ปกติแล้วจะเป็นคนสุขุม เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยหมายถึงอะไร พวกเขาจึงทำได้แค่รอให้นางอธิบายเพิ่มเติม
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคาะนิ้วเรียวยาวของตนลงบนโต๊ะ เมื่อนางเงยหน้าขึ้น ดวงอาทิตย์ก็เริ่มตกดิน และส่องแสงผ่านหน้าต่างบานใหญ่ จนตกกระทบตั้งแต่พื้นจนถึงฝ้า ภาพที่เห็นราวกับเป็นฉากหลังที่ตั้งใจจัดวางให้นางโดยเฉพาะ “ยิ่งครอบครองได้ยาก ก็จะยิ่งมีค่ามากขึ้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป ให้หยุดผลิตอาวุธทั้งหมด แล้วบอกพวกเขาว่า ต่อจากนี้ พวกเราจะขายอาวุธเพียงห้าประเภทเท่านั้น และจะใช้ระบบแบบสมัครสมาชิก พวกเราจะใช้วิธีการประมูลเพื่อขายอาวุธของพวกเรา และจะเชิญเพียงสมาชิกระดับหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อเข้าร่วมการประมูลเท่านั้น ส่วนใครที่ต้องการจะเข้าไปดู ก็สามารถทำได้ แต่จะต้องจองที่นั่งไว้ล่วงหน้าเท่านั้น”
“นี่… วิธีนี้มันจะไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยหรือขอรับ” เมื่อผู้ดูแลเว่ยฟังคำอธิบายของหญิงสาวก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่มีใครเคยทำธุรกิจในลักษณะนี้มาก่อน และตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มทำธุรกิจ นายหญิงของพวกเขาก็เคยบอกเอาไว้ว่าลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ แต่ตอนนี้ กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าจะเป็นการทำให้พวกคนชนชั้นสูงเหล่านั้นหันมาง้อพวกเขาแทน มันจะเป็นไปได้หรือ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่คนเหล่านั้นไม่เพียงแค่มีฐานะร่ำรวย แต่บางคนยังเป็นถึงขุนนางระดับสูงที่มีอำนาจในวังหลวง แล้วพวกเขาจะยอมรับระบบดังกล่าวได้เช่นนั้นหรือ
อย่างไรก็ตาม เขาต้องยอมรับว่าหากความคิดนี้ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะสร้างชื่อเสียงของร้านนี้ให้โด่งดังได้มากกว่าในตอนนี้อีก และยังเป็นร้านค้าที่ก้าวกระโดดได้อย่างยิ่งใหญ่ในรอบหลายร้อยปีอีกด้วย
แค่คิด ก็ตื่นเต้นแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาและยิ้มอย่างชั่วร้าย “ร้านค้าของพวกเรา มีคำๆ หนึ่งที่เรียกว่า ‘การปรับเปลี่ยน’ และยังมีอีกคำที่เรียกว่า ‘จำนวนจำกัด’ ผู้ดูแลเว่ย จำเอาไว้ว่า ‘การปรับเปลี่ยน’ และ ‘จำนวนจำกัด’ จะสะท้อนถึงสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งมันจะบ่งบอกถึงสถานะทางชนชั้นของคนๆ นั้นได้ มันแสดงให้เห็นว่า พวกเขาสามารถครอบครองบางสิ่งที่ไม่มีใครในโลกนี้มีได้ ดังนั้น มันจะมีปัญหาอะไรเล่า มาใช้โอกาสนี้จับปลาครั้งใหญ่กันเถอะ”
ในตอนนั้น ผู้ดูแลเว่ยรู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาคนนี้ดูไม่เหมือนนักธุรกิจ นางมีจิตวิญญาณของนักสู้ และมีนิสัยเฉพาะตัวที่ผู้หญิงทั่วๆ ไปไม่มี นางราวกับเป็นเปลวเพลิงในสนามรบ ที่ดูฮึกเหิมและสง่างาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับเป็นราชินีที่คอยวางแผน พร้อมกับสั่งการเหล่านายพลและทหารจากเบื้องหลัง
ตอนนี้ ดูเหมือนว่าธุรกิจทั้งหมดในเมืองหลวงจะตกอยู่ในสถานการณ์สับสนอลหม่านครั้งใหม่…
ทันทีที่แผนเรื่องการจำกัดจำนวนของเวยเจ๋อเปิดตัว ผู้คนมากมายก็ให้การตอบรับอย่างล้นหลาม และเมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ขายแนวคิดที่ว่า ‘มันมีเพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น’ ก็ยิ่งเป็นการบ่งบอกถึงสถานะทางชนชั้นของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดี จึงได้รับความสนใจอย่างมาก นอกจากนี้ การประลองยุทธ์ที่ใกล้จะถึงนั้น ก็ยังกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในใจของทุกคนอีกด้วย แม้ว่าคนที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีอาวุธใดๆ ก็ยังต้องการที่จะเห็นอาวุธที่มีจำนวนจำกัดเหล่านั้นด้วย ราวกับว่าการได้เห็นพวกมัน จะทำให้ในชีวิตนี้ พวกเขาไม่รู้สึกเสียใจแล้ว
แม้แต่อดีตฮ่องเต้ก็ยังอยากรู้ด้วยเช่นกัน เขาถึงกับส่งคนไปจองที่นั่งให้ เพื่อจะได้เห็นด้วยตาของตนเองว่า ‘อาวุธในตำนาน’ เหล่านั้นเป็นเช่นไร
“นายหญิงขอรับ ทำแบบนี้มันจะไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ” ผู้ดูแลจางหยิบตั๋วสีเงินบริสุทธิ์ใบหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบมันมาดู ก่อนจะพลิกกลับไปกลับมา พร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้น “ไม่เลว เมื่อเจ้ายื่นมันออกไปให้ใคร ก็อย่าลืมบอกพวกเขาด้วยว่าพวกเรารับแต่เงินสดเท่านั้น และในสายตาของพวกเรา ชื่อเสียงและสถานะทางสังคมของพวกเขาไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น”
“ขอรับ” ผู้ดูแลจางก้มศีรษะลงเล็กน้อย หากพูดกันตามตรงแล้ว เขาไม่เคยคิดว่าจะมีการซื้อขายตั๋วเช่นนี้มาก่อน แต่สิ่งต่างๆ กลับอยู่เหนือจินตนาการของเขา ตอนนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็พูดถึงเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคือ ตั๋วสีเงินใบนี้ ในสายตาของพวกเขาต่างก็มองว่าตั๋วสีเงินใบนี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานะทางสังคมได้อย่างรวดเร็ว…