เดิมที มันเป็นเรื่องยากสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่จะออกจากสำนักไท่ไป๋ ประการแรก เพราะนางไม่มีสิทธิ์ ประการที่สอง เพราะหลังจากที่นางโดนขับไล่ออกจากตระกูล เหล่าอาจารย์ต่างก็ดูถูกเหยียดหยามนาง นอกจากนี้ ในช่วงนี้ ท่านอาจารย์ของนางก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ อีกด้วย ดังนั้น หากนางต้องการจะขอลา นางก็ต้องเขียนรายละเอียดทุกอย่างลงไปด้วย
แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว นางได้รับใบอนุญาตมาจากการชนะการแข่งขัน และไม่มีใครถามว่านางจะไปที่ใด หรือจะทำอะไรอีกต่อไป
ดังนั้น หลังจากที่นางกลับมาที่สำนักไท่ไป๋รอบนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงไม่ได้ไปที่ห้องเรียน ทำให้ทุกคนคิดว่านางเจอปัญหาใหญ่
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีความรู้เพียงเรื่องอาวุธ แต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพลังปราณเลย หากต้องไปที่ห้องเรียนในเวลาเช่นนี้ ก็คงจะรู้สึกอับอายอย่างมาก
บางคนถึงกับตั้งข้อสงสัยว่านางไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์กำลังสอน นางจึงตั้งใจที่จะไม่เข้าเรียน เพราะกลัวว่าพวกเขาจะไม่ช่วยเหลือนางในระหว่างการฝึกฝน
หลังจากได้ยินข่าวนี้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เย้ยหยัน “อย่างน้อย นางก็รู้ตัว” หลังจากพูดจบ นางก็หันไปสั่งสาวใช้ “ในอนาคต ไม่จำเป็นต้องติดตามนังแพศยาคนนั้นอีกแล้ว ท่านแม่พูดถูก ข้ามองโลกแคบเกินไป จนถึงกับลดตัวลงไปแข่งขันกับผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้น ข้าสูงส่งกว่านั้น และมันก็มีแต่จะดึงให้ข้าตกต่ำลงเท่านั้น ช่างหัวนาง ให้นางประกอบเศษเหล็กพวกนั้นและเพ้อฝันต่อไปเถอะ ไม่ว่านางจะทำได้ดีเพียงใด นางก็ไม่สามารถขายมันออกได้แม้แต่ชิ้นเดียว และยังไม่สามารถเข้าร่วมการประลองยุทธ์ได้ด้วย เจ้าไปดูว่าเมื่อไหร่ท่านแม่จะกลับมา จะได้ช่วยข้าตรวจสอบสถานการณ์ที่เวยเจ๋อ”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้เห็นว่าคุณหนูของตนเองอารมณ์ดี นางจึงเอ่ยถามอย่างผ่อนคลาย “คุณหนูตั้งใจจะไปหาอาวุธจากเวยเจ๋อก่อนการประลองยุทธ์ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตอบ ‘อืม’ พร้อมกับเอียงศีรษะอย่างเย่อหยิ่ง “ท่านพ่อน่าจะช่วยข้าสร้างความสัมพันธ์เอาไว้แล้ว ตอนนี้ สิ่งที่พวกเราต้องทำ ก็แค่รอให้ท่านแม่กลับมาเท่านั้น”
สาวใช้คนนั้นถือโอกาสนี้พูดชมเชยขึ้นว่า “คุณหนูช่างเก่งกาจยิ่งนัก บ่าวได้ยินมาว่าอาวุธจากเวยเจ๋อนั้นหายากอย่างมาก มีคุณหนูเพียงไม่กี่คนในเมืองหลวง เท่านั้นที่ได้ครอบครองมัน”
“กลุ่มคนที่ท่านพ่อกำลังสร้างความสัมพันธ์นั้นไม่ใช่พวกไร้อิทธิพล” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองสาวใช้ก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องไปพูดถึงคนที่พึ่งพาตระกูลของพวกเขาเพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองหรอก คนพวกนั้นจะเทียบชั้นกับข้าได้อย่างไรกัน”
สาวใช้ยิ้มอย่างร่าเริงพร้อมกับตอบกลับอย่างกระตือรือร้น “คุณหนูหมายความว่าเจ้าของเวยเจ๋อต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมาก่อน และรู้ว่าเขาทำให้ท่านขุ่นเคืองใจระหว่างการประลองเจ้ายุทธ์ เขาก็จะมอบอาวุธให้กับท่านเพื่อเป็นการขอโทษเช่นนั้นหรือ”
“คำพูดเช่นนั้น ควรพูดต่อหน้าข้าเท่านั้น อย่าพูดอะไรที่ไม่จำเป็นเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น” แม้ว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะพูดราวกับกำลังตำหนิอีกฝ่าย แต่ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความพึงพอใจ
สาวใช้รีบตอบกลับในทันที “คุณหนูโปรดวางใจเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าพวกคนข้างนอกนั้นต่างก็อิจฉาท่านกันทุกคน ข้าจะไม่พูดเรื่องแบบนี้กับพวกเขา หากพวกเราเจอคนที่คิดร้ายเหมือนกับคุณหนูใหญ่ ก็จะทำให้เกิดพายุลูกใหม่ขึ้นมาอีก”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เอนหลังบนเก้าอี้ไม้จันทน์ ราวกับว่านางได้ครอบครองอาวุธจากเวยเจ๋อแล้ว
สาวใช้ยิ้มอีกครั้งและโน้มตัวลงไปยกถ้วยชาให้อีกฝ่ายเพื่อเอาใจนาง
นางรู้สึกโล่งใจอย่างมาก ขณะนั้น นางก็คิดว่าในที่สุด คุณหนูของตนเองก็กลับมาเป็นปกติแล้ว ในช่วงนี้ เป็นเพราะคุณหนูใหญ่ทำให้คุณหนูของนางอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างมาก และคนที่ได้รับความเดือดร้อนที่สุด ก็คือเหล่าสาวใช้อย่างพวกนาง
อย่างไรก็ตาม คุณหนูใหญ่มักจะชอบทำให้คุณหนูของนางขุ่นเคืองใจ ตอนนี้ หลังจากที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ และคนส่วนใหญ่ก็น่าจะรับรู้แล้วว่าพลังปราณของนางนั้นแย่มาก จึงทำให้นางต้องหาที่ซ่อนตัว
ขณะที่กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สาวใช้ก็มองดูใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ และเมื่อนางเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะเคลิ้มหลับ นางก็ค่อยๆ วางพัดลงอย่างแผ่วเบา หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ผล็อยหลับไป
แต่พวกนางไม่รู้เลยว่าในเวลานี้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่บนชั้นสองของเวยเจ๋อ นางแต่งกายด้วยชุดผู้ชาย มือข้างหนึ่งถือร่มกระดาษ ในขณะที่เด็กรับใช้คนหนึ่งกำลังบริการนางอย่างตึงเครียด
“คุณลูกค้าขอรับ วันนี้ ผู้ดูแลของเราไม่อยู่ และก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมากี่โมง ท่านค่อยกลับมาวันหลังดีหรือไม่ขอรับ” ผู้ชายคนนั้นทำงานเล็กๆ น้อยๆ เขาสุภาพและมีมารยาท น้ำเสียงของเขาสุขุมและอ่อนโยน นี่คือข้อกำหนดแรกที่นางระบุไว้ในการจ้างงาน สิ่งแรกที่นางให้ความสำคัญคือการบริการลูกค้า ไม่ว่าพวกเขาจะมีทักษะด้านใดก็ตาม สิ่งแรกที่นางมองหาคือทัศนคติที่ดีของพวกเขา และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้กิจการของเวยเจ๋อเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนตัวมามองผู้ชายคนนั้นและยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยขณะพูด “ข้าจะรออีกสักครู่”
ผู้ชายคนนั้นผงะไป เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าทำให้เขารู้สึกตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาไม่เคยเห็นใครที่งดงามขนาดนี้มาก่อน
ในตอนนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้ นางสวมเสื้อคลุมที่มีลวดลายของเมฆสีทองที่ล่องลอยอยู่ ผมของนางทัดอยู่ด้านหลังใบหูอย่างลวกๆ แม้ว่านางจะไม่ได้แต่งกายอย่างเรียบร้อย แต่กิริยาท่าทางของนางนั้นสง่างามอย่างมาก ทำให้มีเสน่ห์ราวกับดวงจันทร์ที่น่าค้นหา
ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสีทอง ร่างกายของนางราวกับกำลังทอประกายอยู่ จนเด็กรับใช้คนนั้นยังคิดว่าตนเองเห็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ เขารู้สึกสับสนงุนงงเล็กน้อย ขณะที่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น เขาก็ราวกับตกอยู่ในภวังค์ และเริ่มคิดว่าคุณหนูคนนี้มาจากตระกูลใด ใครเป็นผู้ให้กำเนิดคนที่น่าทึ่งจนสามารถล่มเมืองเช่นนี้ได้
ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าในตอนนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจะสวมชุดผู้ชายอยู่
แต่เด็กรับใช้ที่เฉลียวฉลาดคนนี้ก็รับรู้ถึงเพศสภาพที่แท้จริงของนางได้ และที่น่าสงสัยกว่านั้นคือ เขารู้จักผู้มีอิทธิพลมากมายในเมืองหลวง แต่เขาไม่เคยเห็นใครที่โดดเด่นกว่าคนตรงหน้าเขาในตอนนี้เลย
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อน และไม่มีใครกล่าวถึงคนแบบนางในเมืองหลวงเลยเช่นกัน
เด็กรับใช้รู้สึกงุนงง เมื่อเขาเห็นรถม้าของผู้ดูแลทั้งสี่จอดอยู่ที่หน้าร้าน
ทันใดนั้น เขาก็ตกตะลึง ตามปกติแล้ว การบริหารจัดการของร้านแห่งนี้ จะมีผู้ดูแลเพียงหนึ่งหรือสองคนเข้ามาที่ร้านเท่านั้น แต่วันนี้ ทำไมพวกเขาทั้งสี่คนถึงมารวมตัวกันได้
เว้นแต่ว่า… นายท่านรองของพวกเขากำลังจะมาเช่นนั้นหรือ
ไม่สิ เมื่อวันก่อน นายท่านรองของพวกเขาเพิ่งจะมาที่นี่ และยังฝากข้อความไว้ว่า ท่านพ่อของเขาควบคุมเขาอย่างเข้มงวดมาก และยังบังคับให้เขาแต่งงาน รวมถึงเห็นว่าเขาออกไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงถูกกักบริเวณอยู่ที่บ้าน และต้องรออีกสองวันหลังจากนี้ถึงจะออกมาข้างนอกได้
แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดผู้ดูแลทั้งสี่คนถึงได้มาที่นี่เล่า
เด็กรับใช้ครุ่นคิด และลืมไปว่าตนเองมีแขกอยู่ตรงหน้า เขารีบจัดปกคอเสื้อของตนเอง ก่อนจะรีบวิ่งลงไปด้านล่าง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไร ผู้ดูแลจางก็เอ่ยถามเขาก่อนว่า “วันนี้ มีคนมาหาข้าหรือไม่”
“ขอรับ” เขารีบตอบทันที พร้อมกับมองตามสายตาของผู้ดูแลจางที่กวาดตามองไปทางซ้ายและขวา
“แล้วคนๆ นั้นอยู่ที่ใดเล่า” สิ่งที่น่าแปลกคือปกติแล้ว ผู้ดูแลจางที่สุขุมและสำรวมอยู่เสมอ มาตอนนี้ เขากลับมีท่าทีเร่งรีบอย่างมาก
เด็กรับใช้คนนั้นชี้ขึ้นไปด้านบนและพูดว่า “ลูกค้าท่านนั้นยังรออยู่ในห้องที่ชั้นสองขอรับ”
“อยู่ชั้นสองหรือ” ผู้ดูแลจางถอนหายใจ “เจ้าให้คนๆ นั้นขึ้นไปที่ชั้นสองเช่นนั้นหรือ”