“ท่านพี่เล่าอีกขอรับ!” เสียงนุ่มนวลของสวีซื่อเจี้ยมีความออดอ้อนเล็กน้อย
“ให้เล่าเรื่องอะไร” น้ำเสียงของจุนเกออ่อนโยนและคล้อยตาม
“เล่าเรื่องย้ายบ้าน!”
หมายถึงเรื่อง ’มารดาของเมิ่งจื่อย้ายถิ่นฐานสามครั้ง’
“เล่าเรื่องผลสาลี่!”
หมายถึงเรื่อง ‘ข่งหรงสละผลสาลี่’
“เล่าเรื่องนอนหลับ!”
หมายถึงเรื่อง ‘หวงเซียงอุ่นที่นอนพัดหมอน’
สืออีเหนียงร้อยด้ายอยู่ข้างๆ ฟังเสียงเล็กๆ ของเด็กน้อย รู้สึกว่าอารมณ์นั้นสงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจี้ยเกอ” นางเงยหน้ามองสวีซื่อเจี้ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายเจ้าเหนื่อยแล้ว เจ้าไปรินชามาให้พี่ชายเจ้าสักหน่อยเถิด”
“ขอรับ” สวีซื่อเจี้ยกระโดดลงจากเตียงเตา
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” จุนเกอโบกมือไปมา ใบหน้าแดงระเรื่อ
ปินจวี๋ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหน้าเตียงเตากำลังทำชุดฤดูใบไม้ผลิให้สวีซื่อเจี้ยรีบวางเข็มกับด้ายในมือ กอดสวีซื่อเจี้ยพลางยิ้มแล้วพูดว่า “ให้บ่าวไปรินให้ก็ได้เจ้าค่ะ”
“ให้เจี้ยเกอไปรินเองเถิด!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เขาเป็นคนที่ทำให้พี่ชายของเขาคอแห้ง ไปช่วยรินชาให้พี่ชายสักแก้วจะเป็นอะไรไป” จากนั้นก็กำชับปินจวี๋ว่า “เจ้าเองก็ตามไปด้วย ระวังอย่าให้ลวกมือ รินแค่น้ำอุ่นมาก็พอแล้ว ไม่ต้องชงชา เด็กดื่มชามากเกินไปจะไม่ดี”
ตนแค่อยากจะสอนให้สวีซื่อเจี้ยรู้จักคำว่าขอบคุณ
ปินจวี๋เคยได้ยินแต่ว่าที่เรือนไม่มีเงินเลย ดังนั้นจึงต้องเก็บใบชาไว้สำหรับต้อนรับแขก ไม่เคยได้ยินว่าการดื่มชานั้นไม่ดี ถึงแม้ว่าในใจนางจะไม่เข้าใจคำพูดของสืออีเหนียงแต่ก็ไม่สามารถขัดได้ ยิ้มพลางพาสวีซื่อเจี้ยไปรินน้ำ
สืออีเหนียงกระซิบถามจุนเกอว่า “รู้หรือไม่ว่าฉินเกอกับคนอื่นๆ กำลังทำอะไรอยู่”
จุนเกอส่ายหน้า สีหน้าดูเศร้าหมอง “ข้าไม่รู้ พอเข้าไปหาพวกเขาก็ไม่พูดอะไรแล้ว…”
ดังนั้นหลายวันมานี้จึงวิ่งมาหาสืออีเหนียง
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อีกสักครู่เจ้าแอบไปดูอย่างเงียบๆ ดีหรือไม่”
“แอบดูอย่างเงียบๆ …” จุนเกอมองสืออีเหนียงด้วยท่าทางตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจกับสิ่งที่นางเสนอมาเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงยิ้ม “แทนที่จะคิดเรื่อยเปื่อยในใจ ไม่สู้คิดหาวิธีทำให้เรื่องกระจ่างจะดีกว่า ไม่แน่เรื่องอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคาดคิด”
คนเราไม่กลัวความขัดแย้ง แต่กลัวการที่ไม่ได้สื่อสารกันแล้วก็เดาใจกันไปเอง
จุนเกอลังเล แต่สายตากลับเผยให้เห็นความกระตือรือร้น พอเล่านิทานให้สวีซื่อเจี้ยฟังก็ใจลอยเล็กน้อย ทำให้สวีซื่อเจี้ยไม่พอใจมาก “…ผิดแล้ว ผิดแล้ว หวงเซียงนอนหลับ”
เขาหมายถึงคนที่อุ่นผ้าห่มให้บิดาและมารดาก็คือหวงเซียง แต่จุนเกอพูดผิดเป็นข่งหรง
สืออีเหนียงยิ้มพลางกอดสวีซื่อเจี้ย “พี่ชายเจ้าพูดจนเหนื่อยแล้ว เจี้ยเกอเล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ”
สวีซื่อเจี้ยท่าทางอิดออด “ข้าเล่าไม่เป็นขอรับ”
“เล่าเรื่องย้ายบ้านสิ” เขาฟังเรื่องนี้มากที่สุด สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราอยากฟังเจี้ยเกอเล่าเรื่องย้ายบ้าน”
สวีซื่อเจี้ยหน้าแดงเล็กน้อย ท่าทางดูตื่นเต้น เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นว่า “มีเมิ่งจื่อผู้หนึ่ง เขาไม่เชื่อฟัง มารดาของเขาจะย้ายบ้าน เขาก็ยังไม่เชื่อฟัง มารดาของเขาก็จะย้ายบ้านอีก…” ประโยคที่ยาวขึ้นสวีซื่อเจี้ยพูดได้ไม่ชัดเจน แต่น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง และพูดตามความเข้าใจของตัวเอง เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทุกคนฟังแล้วอดหัวเราะไม่ได้
สืออีเหนียงมองระฆังแล้วพูดกับจุนเกอว่า “ตอนนี้ต้นยามเซิน พอยามเซินกับอีกสามเค่อพวกเราจะไปหาไท่ฮูหยิน…”
ความหมายก็คือหากเขาอยากไปหาสวีซื่อฉิน ก็ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยาม
จุนเกอลังเล
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นรอยยิ้มในดวงตาของสืออีเหนียงที่เต็มไปด้วยกำลังใจ เมื่อนึกถึงท่าทางที่สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ และสวีซื่อเจี่ยนทำท่าทางกระซิบกระซาบกัน คิดไปคิดมา สุดท้ายก็พยักหน้า
สืออีเหนียงยิ้มพลางเรียกหู่พั่วเข้ามา พูดสถานการณ์คราวๆ ว่า “…คุณชายน้อยสี่จะไปหาคุณชายน้อยใหญ่ เจ้าไปเป็นเพื่อนเขา ระวังอย่าให้สะดุดล้ม คอยดูแลคุณชายน้อยสี่อย่าให้เขาโมโห เดี๋ยวคนอื่นจะหัวเราะเอาได้” แล้วหันไปกำชับปินจวี๋ “เจ้าเองก็ไปด้วย หากมีเรื่องอันใดเจ้าจะได้คอยช่วยเหลือหู่พั่ว”
นางเน้นคำว่า ‘ไปเป็นเพื่อน’ ค่อนข้างชัดเจน
ในช่วงเทศกาลตรุษจีนผู้คนสัญจรไปมา และข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่ว ไท่ฮูหยินไม่วางใจที่จะให้สวีซื่อฉินกับสวีซื่ออวี้ไปอยู่เรือนนอก จึงให้พวกเขาย้ายไปอยู่ที่ห้องลี่จิ่งเซวียน ในเมื่อไม่อยากให้จุนเกอรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไร สาวใช้ข้างกายจะต้องขวางจุนเกอตามจุดประสงค์ของเจ้านายแน่นอน แต่ว่าจุนเกออายุยังน้อย พวกเขาคงไม่ได้ระมัดระวังอะไรมาก
สืออีเหนียงพูดประโยคนี้เพื่อที่จะบอกกับหู่พั่วว่า ประการแรกคือให้นางหาโอกาสในการลงมือ ช่วยจุนเกอจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจน ประการที่สองคือให้ดูแลความปลอดภัยของจุนเกอ หากสาวใช้เหล่านั้นออกมาขัดขวาง ทางที่ดีอย่าให้เกิดการทะเลาะวิวาท อย่างไรเสียจุนเกอก็คือเจ้านาย คนพวกนั้นเป็นบ่าวรับใช้ หากเกิดเรื่องขึ้นจะทำให้จุนเกอเสียหน้า จะทำให้คนคิดว่าจุนเกอไม่สามารถควบคุมบ่าวรับใช้ในเรือนได้
การที่สืออีเหนียงทำเช่นนี้นั้นมีจุดประสงค์แอบแฝง
จุนเกอมีนิสัยอ่อนโยนและเชื่อฟัง เป็นนิสัยที่เป็นมาตั้งแต่เกิดกับนิสัยที่ถูกสิ่งแวดล้อมสร้างขึ้น นิสัยเช่นนี้ของเขา หากเป็นคนร่ำรวยธรรมดาก็จะดีมาก แต่หากต้องรับตำแหน่งหย่งผิงโหวกลับรู้สึกว่าเขาอ่อนโยนมากเกินไปและไม่มีความน่าเกรงขาม ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาความมั่นใจในตัวเองของเขา ในเมื่อเขาอยากรู้ว่าเหตุใดสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ถึงคอยหลีกหนีเขา ไม่สู้ให้หู่พั่วไปช่วยสืบเป็นเพื่อนเขา ประการแรกก็เพื่อฝึกความกล้าของเขา ประการที่สองหู่พั่วเป็นสาวใช้ใกล้ชิดของนางที่มีความเฉลียวฉลาด สาวใช้พวกนั้นท่าทางเย่อหยิ่ง แต่อย่างไรเสียก็ต้องเห็นแก่หน้านางอยู่บ้าง สามารถรับประกันความสำเร็จในเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าหากเรื่องนี้ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น หู่พั่วก็สามารถคิดหาวิธีเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของจุนเกอได้ แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดคือผลลัพธ์ต้องเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อเพิ่มความมั่นใจในตัวเองให้กับจุนเกอ…
ส่วนที่ให้ปินจวี๋ไปด้วยนั้นก็เพื่อหาผู้ช่วยให้หู่พั่ว
หู่พั่วเฉลียวฉลาด รู้ใจสืออีเหนียง จึงเข้าใจความหมายของนางในทันที ยิ้มพลางย่อเข่าตอบรับ “เจ้าค่ะ ฮูหยินวางใจได้ คุณชายน้อยสี่มีเจตนาที่จะไป ก็ย่อมต้องทำให้เรื่องชัดเจนและไปด้วยความสุภาพอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่านางเข้าใจแล้วจึงยิ้มพลางพยักหน้า ช่วยจุนเกอสวมเสื้อคลุมด้วยตัวเอง “ไปอย่างเงียบๆ หากใครกล้าไม่เชื่อฟัง เจ้าก็แสดงท่าทางของคุณชายน้อยออกมา”
บางครั้งการที่คนอยู่ร่วมกันก็ต้องดูว่าใครมีอำนาจมากกว่า
แต่สิ่งที่จุนเกอได้รับการอบรมสั่งสอนมากลับเป็นการต้องทำดีต่อผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพ เมื่อได้ฟังสืออีเหนียงพูดเช่นนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก
ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรก เมื่อมีประสบการณ์จึงจะรู้ว่าควรทำอย่างไร
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มพลางช่วยผูกเสื้อคลุมให้เขา
สวีซื่อเจี้ยเห็นดังนั้นกลับโวยวายอยากจะตามไปด้วย
จุนเกอดีใจเป็นอย่างมาก
มีคนไปเป็นเพื่อน เขาก็จะมีความกล้ามากขึ้น
มองสืออีเหนียงอย่างใจจดใจจ่อ “ให้น้องห้าไปกับข้าเถิด!”
แต่อย่างไรก็ต้องให้เขาไปเผชิญหน้าคนเดียว
สืออีเหนียงมองสวีซื่อเจี้ยด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “หากเจ้าไป เช่นนั้นข้าก็ต้องอยู่คนเดียว”
สวีซื่อเจี้ยมองจุนเกอ แล้วหันไปมองสืออีเหนียง ค่อยๆ เอื้อมมือไปจูงมือสืออีเหนียง “ท่านพี่รีบกลับมาเล่านิทาน”
จุนเกอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เมื่อคิดว่าจะไปแอบสืบว่าพวกสวีซื่อฉินกำลังทำสิ่งใดอยู่ ก็คิดได้ว่าอาจจะมีความเสี่ยงเล็กน้อย จึงได้สลัดความไม่สบายใจทิ้งไป แล้วให้หู่พั่วไปหาสวีซื่อฉินเป็นเพื่อน
สืออีเหนียงกับสวีซื่อเจี้ยเล่านิทานกันต่อ
เขาฟังอย่างสนุกสนาน จนลืมความเหงาที่จุนเกอไม่ได้อยู่ด้วย
******
เสียงระฆังดังขึ้นในยามเซิน เท้าของจุนเกอก็ได้ก้าวเข้ามา
สีหน้าของเขาดูเบิกบาน เต็มไปด้วยความสุข “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้วว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดกันอยู่” เขาตะโกนเสียงดัง ยังไม่ทันได้ถอดเสื้อคลุมก็วิ่งไปหาสืออีเหนียง “ท่านแม่ ข้ารู้แล้วว่าพี่ใหญ่กับพี่รองจะทำอะไรขอรับ”
“จริงหรือ” สืออีเหนียงมองจุนเกอด้วยรอยยิ้ม แต่สายตากลับเหลือบไปมองหู่พั่วกับปินจวี๋ที่ตามจุนเกอเข้ามา
ทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อย
“ท่านพี่ ท่านพี่” สวีซื่อเจี้ยทักทายจุนเกอด้วยความดีใจ
จุนเกอจับมือเล็กๆ ของเขาไว้ พลางพูดกับสืออีเหนียงอย่างเบิกบานใจว่า “พวกเขากำลังปรึกษาเรื่องไปเดินปัดเป่าโรคภัย”
เทศกาลโคมไฟมีประเพณีลูบหมุดประตูหลังพลบค่ำกับเดินปัดเป่าโรคภัย ในยามนั้นชายหญิงจะเดินปะปนกัน มักมีคุณหนูถูกลักพาตัวและมีเด็กสูญหาย อย่าว่าแต่คนในสกุลสวีเลย แม้แต่สกุลหลัว หากมองในแง่ความปลอดภัยก็ไม่มีทางให้คุณหนู ฮูหยิน หรือนายหญิงไปร่วมเดินปัดเป่าโรคภัย และแน่นอนว่าข้อจำกัดของบุรุษนั้นย่อมน้อยกว่า ถ้าหากอยากไป ก็แค่เอาบ่าวรับใช้และองครักษ์ไปด้วยก็พอแล้ว
พวกเขาจำเป็นต้องปิดบังจุนเกอด้วยหรือ
นอกเสียจากว่าพวกเขาคิดที่จะทิ้งบ่าวรับใช้และองครักษ์ไว้
สืออีเหนียงช่วยจุนเกอถอดเสื้อคลุมด้วยความสับสน เห็นหน้าเขาแดงระเรื่อจึงลูบหลังของเขาดู เมื่อเห็นว่าไม่มีเหงื่อจึงได้วางใจ
“พี่หู่พั่วกับพี่ปินจวี๋เก่งมาก” เห็นได้ชัดว่าจุนเกอยังรู้สึกดีใจที่รู้ความลับของสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ปล่อยให้นางจัดแจงเสื้อผ้าให้ ขณะที่พูดดวงตาก็เป็นประกาย “พวกเราแอบเข้าไปทางประตูหลัง สาวใช้น้อยที่เฝ้าประตูจะวิ่งไปรายงาน แต่ถูกพี่หู่พั่วเรียกไว้ บอกว่านางมีท่าทางตื่นตระหนก ดูไม่เหมาะสมจึงได้สั่งสอนอย่างเข้มงวด พี่ปินจวี๋อาศัยโอกาสนี้พาข้าไปที่เรือนหลัก ทันใดนั้นสาวใช้ที่เฝ้าประตูก็มองเห็นพวกเรา ตะลึงอยู่นานกว่าจะเข้าไปรายงาน กว่าพี่ใหญ่ พี่สอง และพี่สามจะออกมาต้อนรับ พวกเราก็เข้าไปในห้องโถงแล้ว ข้าถามพี่ใหญ่ตรงๆ ว่าพวกเขากำลังปรึกษาเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงไม่บอกข้า พี่ใหญ่อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออก พี่ปินจวี๋จึงบอกว่าห้องโถงอากาศเย็น ให้เข้าไปนั่งที่ห้องด้านใน พี่ใหญ่ลังเลเล็กน้อย แต่พี่สองกลับยิ้มแล้วพาข้าเข้าไปที่ห้องด้านใน” เมื่อพูดถึงตรงนี้ จุนเกอก็หัวเราะคิกคัก “พอพี่ปินจวี๋เข้าไปที่ห้องด้านในก็ถามพี่ใหญ่ว่าพวกเขาคิดจะปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้แล้วแอบออกไปเที่ยวใช่หรือไม่ พี่ใหญ่ พี่สอง และพี่สามต่างพากันตกใจจนพูดไม่ออก”
สืออีเหนียงเองก็ตกใจเช่นกัน
ปินจวี๋รู้ได้อย่างไร
“ข้าเห็นชุดผ้าไหมสีเขียวที่บ่าวรับใช้สวมใส่กันอยู่บนไม้แขวนเสื้อที่ห้องด้านใน” ปินจวี๋ปิดปากหัวเราะ “ท่านลืมไปแล้วหรือ ตอนนั้นท่านก็เคยให้บ่าวหาเสื้อผ้าแบบนี้มาให้ท่านนะเจ้าคะ”
ความทรงจำผุดขึ้นมาเหมือนกระแสน้ำ
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
ตอนนั้นนางคิดว่าตัวเองจะสามารถออกไปได้ ใครจะไปรู้ว่าแม้แต่ขอบประตูฉุยฮวาก็ไม่ได้สัมผัส หากไม่ใช่เพราะได้โอกาส เกรงว่าคงจะถูกคนจับได้ไปแล้ว
“แล้วต่อจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” วีรบุรุษไม่พูดถึงเรื่องความกล้าหาญที่ผ่านมาของตัวเอง นางไม่อยากพูดถึงเรื่องในตอนนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“พี่ใหญ่ก็อ้ำๆ อึ้งๆ” จุนเกอยิ้มตาหยี “ส่วนพี่สองยอมรับแล้ว บอกว่าอยากไปร่วมเดินปัดเป่าโรคภัยตอนเทศกาลโคมไฟ ไม่อยากให้มีคนมากมายมาเดินตามหลังเขา เขาอยากไปด้วยตัวเอง”
หู่พั่วยิ้มพลางอุ้มจุนเกอมานั่งบนเตียงเตา แล้วช่วยเขาถอดรองเท้า
“มิน่าล่ะ พวกเขาถึงได้ปิดบังเจ้า” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอายุยังน้อย พวกเขาเกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะดูแลเจ้าไม่ได้”
ถ้าพวกเขาอยากจะออกไปเที่ยวจริงๆ ไม่ก็สามารถพาจุนเกอที่ไท่ฮูหยินรักและหวงแหนไปด้วยได้ คนเราไม่กลัวเรื่องที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหนึ่งหมื่นครั้ง แต่มักจะกลัวเรื่องที่คาดไม่ถึงที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ใครจะรับผิดชอบได้
“พี่สองก็พูดเช่นนี้” จุนเกอยู่ปาก สีหน้าเศร้าหมอง “ยังบอกอีกว่าปีที่แล้วมีคนทำเด็กหาย…แต่พวกเขากลับพาพี่สามไปด้วย!” เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
“บ่าวว่าไม่ไปจะดีกว่านะเจ้าคะ” ปินจวี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนเด็กๆ บ่าวได้ยินว่ามีคนหายจากการเดินปัดเป่าโรคภัย”
จุนเกออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป หู่พั่วอุ้มจุนเกอที่มีสีหน้าเศร้าหมองไปนั่งบนเตียงเตา ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อครู่ได้มลายหายไป