กลางดึก
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ทุกคนคิดว่ากำลังซ่อนตัวอยู่เพราะกลัวจะอับอายนั้น เพิ่งจะสร้างอาวุธชิ้นสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์ นางเหยียดตัวเล็กน้อย ก่อนจะนวดคอของตนเอง และหมุนตัวอย่างสง่างามเพื่อดูอาวุธทั้งห้าชิ้นที่ส่องประกายแวววาวอยู่บนโต๊ะ หลังจากทำงานสำเร็จแล้ว นางก็ยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้าน และเอ่ยถาม “เฮยเจ๋ออยู่ที่ใดหรือ เขายังมาไม่ถึงอีกหรือ”
“คุณชายถูกนายท่านเฮยกักบริเวณขอรับ ข้าเกรงว่าเขาจะไม่สามารถออกมาข้างนอกได้อีกสองสามวันขอรับ” ผู้ดูแลจางตอบ และรู้สึกทึ่งกับความงดงามของอาวุธเหล่านั้น ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พร้อมกับหยิบแว่นขยายในมือมาตรวจสอบพวกมันอย่างถี่ถ้วน
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ และนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ทันใดนั้น ก็มีคนยื่นน้ำชาให้กับนาง หลังจากที่กล่าวขอบคุณ นางก็พูดต่อ “ช่วงนี้เขาไม่ค่อยทำตัวเกเร แล้วนายท่านเฮยยังจะกักบริเวณเขาอย่างใกล้ชิดอยู่อีกหรือ”
“ดูเหมือนว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างขอรับ องค์ชายสามจึงส่งคนมาตรวจสอบ” ผู้ดูแลจางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางไม่รู้ว่าองค์ชายสามจะมีปัญหากับเฮยเจ๋อ ดูเหมือนว่านางจะต้องหาเวลาเพื่อปรึกษาหารือกับองค์ชาย นี่คือพันธมิตรของนาง และเขาไม่สามารถกวัดแกว่งดาบอย่างไร้ทิศทางเช่นนี้ได้
“เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามก่อนจะเช้า พวกเราควรจะไปนอนพักผ่อนกันได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยชาลง ราวกับกำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่ และกล่าวว่า“อ้อ จริงสิ เว้นที่ไว้ให้ข้าสามที่ด้วย”
ผู้ดูแลจางขมวดคิ้วและพูดขึ้น “สามที่หรือขอรับ ข้านึกว่าคุณหนูยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของท่านในฐานะนายหญิงเสียอีก”
“ยังไม่ถึงเวลาเปิดตัวหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากบางของตนเอง และพูดต่อ “แต่ข้าก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษนี้ได้อย่างเต็มที่ ข้าจะไปกับเพื่อนๆ ของข้า”
ดวงตาของผู้ดูแลจางเป็นประกาย “เพื่อนของคุณหนูหรือขอรับ เป็นคุณชายหรือคุณหนูจากตระกูลใดหรือขอรับ”
“ไม่ใช่คุณชายคนใดหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวอย่างเกียจคร้าน “ข้าไม่แน่ใจว่าตระกูลของคนๆ นั้นมีภูมิหลังเป็นเช่นไร แต่เขาดูดีใช้ได้เลย หากพวกเราสามารถทำให้เขารับรองอาวุธของพวกเราได้ ในอนาคต เงินจะไหลมาเทมาอย่างแน่นอน”
ผู้ดูแลจางรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจในคำพูดของนายหญิงนัก เขาจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “รับรองหรือขอรับ”
“หมายถึง แค่ให้เขานำอาวุธของเราไปใช้ในการต่อสู้” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดถึงเพื่อนร่วมโต๊ะของนางที่สำนักไท่ไป๋ แล้วรอยยิ้มตรงมุมปากของนางก็กว้างขึ้น “เอาเป็นว่าเขาเป็นคนที่สามารถครอบครอง และควบคุมอาวุธชนิดใดก็ได้”
เมื่อผู้ดูแลจางได้ยินคำพูดของนาง ก็รู้สึกประหลาดใจ และอุทานขึ้นว่า “อาวุธชนิดใดก็ได้หรือขอรับ”
มีคนแบบนั้นในจักรวรรดิจ้านหลงด้วยเช่นนั้นหรือ
หากพูดตามหลักเหตุและผลแล้ว พลังปราณในอาวุธและผู้ฝึกปราณนั้นจะส่งเสริมซึ่งกันและกัน เป็นไปได้หรือที่จะมีใครบางคนที่สามารถควบคุมอาวุธชนิดใดก็ได้
ผู้ดูแลจางเกาศีรษะของตนเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับไปแล้ว ขณะที่นางเอนกายพิงเก้าอี้ไม้ ผมของนางยาวสยายไปจนถึงพรม นอกจากนี้ ในตอนนี้ นางยังแต่งตัวเป็นผู้ชายอีกด้วย หญิงสาวดูราวกับเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่หลุดออกมาจากการ์ตูนก็ไม่ปาน
ท่านี้นางก็ผล็อยหลับได้
ผู้ดูแลจางส่ายศีรษะอย่างไม่มีทางเลือก เขาเหลือบมองเด็กรับใช้ที่อยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว และชี้ไปทางประตู
ตลอดทั้งวันนี้ ในบรรดาพวกเขาทุกคน นายหญิงคือคนที่เหนื่อยที่สุด นางเป็นคนทำทุกอย่างเองทั้งหมด ตั้งแต่การออกแบบตั๋วไปจนถึงเรื่องของอาวุธ นางกินอาหารเย็นเพียงสองสามคำเท่านั้น ก่อนจะกลับไปทำงานต่ออย่างไม่หยุดหย่อน
ตอนนี้ ในที่สุด ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลจางจึงไม่รบกวนนางอีก และเดินออกไปกับเด็กรับใช้อย่างเงียบๆ ก่อนที่จะออกไป เขายังสั่งงานบางอย่างให้กับคนที่อยู่ชั้นล่างด้วย
ผู้ดูแลจางมองดูแสงไฟในร้านประมูลที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ทุกๆ ที่นั่งในนี้จะต้องจองเอาไว้ก่อน แม้แต่ที่นั่งที่อยู่ด้านหลัง ก็ยังมีราคาถึงหนึ่งหมื่นตำลึง ไม่ต้องพูดถึงคนที่นั่งแถวหน้าเลยด้วยซ้ำ ผู้คนเหล่านี้ทำงานอยู่ในตำแหน่งใดบ้างหรือ
ไม่เคยมีธุรกิจในรูปแบบเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน เห็นได้ชัดว่านายหญิงของพวกเขาได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาแล้ว
แต่ใครจะไปคิดว่าคนที่สร้างปาฏิหาริย์นี้ จะเป็นคนๆ เดียวกับที่ทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นคนไร้ค่ามาโดยตลอด…
วันรุ่งขึ้น บรรยากาศทั่วทั้งเมืองหลวงนั้นพลุกพล่านไปด้วยผู้คน เพราะงานประลองยุทธ์ที่กำลังจะจัดขึ้น ถนนต่างๆ เต็มไปด้วยผู้เยี่ยมชมจากทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้ มีงานประมูลอาวุธเกิดขึ้นอีก และมันก็ดึงดูดให้เหล่าผู้ฝึกปราณหลั่งไหลเข้ามาจนนับไม่ถ้วน
มีบางคนบอกว่าอาวุธในงานประมูลแห่งนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธที่คุณชายอู๋ซวงเป็นคนสร้างเลย
ดังนั้น ในบรรดาผู้เข้าชมทั้งหมด จึงไม่ได้มีเพียงเหล่าบุคคลสำคัญที่ต้องการเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเหล่าเจ้ายุทธ์ที่มีชื่อเสียงอีกมากมายด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่ายังมีบรรดาปรมาจารย์ทั้งหลายที่ไม่ได้เห็นเวยเจ๋ออยู่ในสายตา พวกเขาเป็นผู้อาวุโส และมีชื่อเสียงในเมืองหลวงมานานหลายปี เมื่อจู่ๆ ก็มีคู่แข่งปรากฏตัวขึ้น มันก็เหมือนกับเป็นการยั่วยุพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่หรือ
ไม่ว่าจะมองมุมไหน เวทีอันยิ่งใหญ่ที่เวยเจ๋อกำลังจะทำให้เกิดขึ้นนั้นก็ยอดเยี่ยม และยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และเพื่อที่จะเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็สวมชุดสีม่วงอ่อนอย่างพิถีพิถัน ลายปักอย่างประณีตนั้นมีโทนสีคล้ายคลึงกับแขนเสื้อของนาง ด้ายสีเงินทอเป็นลายเมฆและทำเป็นพู่เล็กน้อย นอกจากนี้ นางยังมีผ้าคลุมหน้าสีขาวบริสุทธิ์ ทำให้ดูน่าค้นหาและงดงามมากขึ้น จนดึงดูดสายตาได้ตั้งแต่ที่นางก้าวออกจากรถม้า
น่าเสียดายที่สาวงามมักจะสวมผ้าคลุมหน้า อย่างไรก็ตาม มันก็มีเสน่ห์ในตัวเองที่น่าเย้ายวนยิ่งนัก
มือของนางจับแขนของฮูหยินซูอย่างแผ่วเบา ในขณะที่สาวใช้เสี่ยวเฉี่ยวเดินอยู่ด้านข้าง ฮูหยินซูเริ่มทักทายขุนนางผู้สูงศักดิ์และมีชื่อเสียงจำนวนมากในขณะที่นางเดินผ่านไป
ผู้คนเหล่านั้นต่างก็ต้องการจะประจบประแจงนางด้วยเช่นกัน และไม่ได้พูดถึงตอนที่นางอยู่ในวัดเลยแม้แต่น้อย พวกเขาพูดคุยกันทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ และต้องการที่จะพึ่งพานางเพื่อให้ได้ที่นั่งในตำแหน่งที่ดีขึ้น
ดังนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และบางคนถึงขั้นดึงมือนางเข้ามา และกล่าวว่า “ในที่สุด พี่สาวสุดที่รักของข้าก็มาถึง ข้าได้ยินมาว่าตระกูลของท่านกับเวยเจ๋อนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ข้าจึงอยากขอให้พี่สาวช่วยจัดหาที่นั่งที่ดีกว่านี้ให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”
“พวกเราก็แค่พูดคุยผ่านทางจดหมายกันเท่านั้น” ฮูหยินซูพูดอย่างถ่อมตัว แต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นางพูดต่อ พร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “น้องสาว เจ้าก็รู้ว่าช่วงนี้ข้าไม่ค่อยได้อยู่ในเมืองหลวงนัก แต่ข้าก็พอจะสามารถจัดหาที่นั่งที่ดีกว่านี้ให้เจ้าได้”
คนๆ นั้นหัวเราะคิกคักและพูดว่า “เป็นไปอย่างที่ข้าพูดเลย ยังเป็นพี่โม่ที่มีความสามารถยิ่งนัก”
“เอาเถอะ เข้าไปด้านในกันก่อนดีกว่า ข้างนอกแดดแรงมาก และผิวของลูกสาวข้าก็บอบบางยิ่งนัก พวกเราควรรีบเข้าไปในที่ร่มจะดีกว่า” ฮูหยินซูส่ายศีรษะ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็มองไปทางเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์
“นั่นจะต้องเป็นเจียวเอ๋อร์อย่างแน่นอน ความงดงามของนางสามารถล่มเมืองได้เลย และยังงามจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา อีกด้วย”
“ไม่มีใครสามารถเทียบเท่ากับนางได้เลย ไม่ว่าลูกสาวของข้าจะอยู่บ้านทั้งวัน หรือจะใช้เวลาทั้งวันฝึกปราณในสำนักไท่ไป๋ แต่หลังจากใช้เวลาฝึกฝนมานาน นางก็ยังไม่แตกต่างไปปจากเดิมเลยด้วยซ้ำ แล้วดูเจียวเอ๋อร์สิ นอกจากรูปลักษณ์ของนางจะงดงามแล้ว นางยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย ในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ นางจะต้องนำพามาซึ่งความรุ่งโรจน์ และทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน ข้าได้ยินมาว่ามีเหล่าผู้ฝึกปราณจากแคว้นอวิ๋นลั่วเดินทางมาที่นี่เพื่อนางโดยเฉพาะด้วย”
“แม้แต่ผู้คนคนจากแคว้นอวิ๋นลั่วก็ยังได้ยินชื่อเสียงของนางเช่นนั้นหรือ นางเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ”
“พูดก็พูดเถอะ ข้าได้ยินมาว่าท่านอาจารย์อู๋ซวงเป็นคนเชิญชวนพวกเขามาด้วยตัวเองเลย และในบรรดาคนกลุ่มนี้ ก็มีองค์ชายจากแคว้นเพื่อนบ้านมาด้วย และยังมีองค์หญิงจากแคว้นใกล้เคียงอีกแห่งหนึ่ง พวกเขาล้วนต้องการจะเห็นความงามของเจียวเอ๋อร์กันทั้งนั้น”