หยางจิ้งกลับไปถึงจวนหลังจากถูกขับไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน เขาบอกกับบิดาและพี่ชายตามคำแนะนำของสหายร่วมสำนัก ให้พวกเขาไปร้องขอให้ที่ว่าการอธิบายเรื่องการเข้าคุกของตนเองต่อกั๋วจื่อเจี้ยน
แต่นายท่านตระกูลหยางและคุณชายใหญ่ตระกูลหยางจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร มิฉะนั้นก็คงไม่ทิ้งคุณชายรองตระกูลหยางไว้ในคุกเป็นเวลานานโดยไม่หาคนช่วยออกมา การส่งเงินในแต่ละเดือนล้วนเป็นฝีมือของฮูหยินตระกูลหยาง
ไม่เพียงเท่านี้ พวกเขายังเกลี้ยกล่อมให้คุณชายรองยอมรับการตัดสินของกั๋วจื่อเจี้ยน ไปหาสถานศึกษาแห่งอื่น จากนั้นเข้าร่วมการทดสอบและได้จดหมายแนะนำอีกครั้ง ก่อนจะกลับมายังกั๋วจื่อเจี้ยน
“แต่ข้าถูกใส่ร้าย” คุณชายรองตระกูลหยางตะโกนอย่างโกรธเคืองต่อบิดาและพี่ชาย “ข้าถูกเฉินตันจูใส่ร้าย”
คุณชายใหญ่ตระกูลหยางอดตะโกนกลับไม่ได้ “เรื่องนี้คือประเด็นสำคัญ หลังจากเรื่องของเจ้า คนที่ถูกเฉินตันจูใส่ร้ายมีมากมาย แต่ไม่มีผู้ใดทำอันใดได้ ที่ว่าการไม่สนใจ ฮ่องเต้ก็ปกป้องนาง”
หยางฮูหยินที่รักใคร่หยางจิ้งจับแขนของเขาเกลี้ยกล่อม “จิ้งเอ๋อร์เจ้าไม่รู้ เฉินตันจูนั้นทำเรื่องร้ายกาจมากมาย เจ้าอย่าได้เกี่ยวพันกับนางอีก อย่าให้ผู้อื่นรู้ว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง หากคนของที่ว่าการรู้เข้า พวกเขาเกิดสร้างความลำบากแก่เจ้าเพื่อประจบนาง คงจะเป็นการแย่”
หยางจิ้งไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะเวลานี้ เมืองอู๋เปลี่ยนแปลงไป คนที่พบเห็น เรื่องที่ได้ยินล้วนแปลกใหม่
ตอนที่เขาเดินเข้าสำนักการศึกษา คนที่พบเจอมีคนคุ้นเคยไม่มากนัก
เขารู้ว่าเรื่องในอดีตของตนเองผ่านไปแล้ว เพราะอย่างไรเวลานี้ก็เป็นแผ่นดินใต้พระบาทโอรสสวรรค์ แต่ไม่คิดว่าเฉินตันจูยังไม่ผ่านไป
หยางจิ้งให้บ่าวรับใช้ในตระกูลเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉินตันจูทั้งหมดให้ฟัง หลังจากฟังจบ เขาสงบลง ไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้บิดาและพี่ใหญ่ของตนเองไปหาที่ว่าการอีก แต่คนก็สิ้นหวังตามไปด้วยเช่นกัน
เฉินตันจูเจริญก้าวหน้าด้วยการทรยศท่านอ๋องอู๋ ช่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่เขามีอำนาจน้อยนิดจะทำสิ่งใดได้
เขาอยากออกจากเมืองหลวง เพื่อแสดงความไม่เที่ยงธรรมต่อท่านอ๋อง ไปรับใช้ท่านอ๋อง แต่…
“ข้างตัวท่านอ๋องนอกจากขุนนางเก่าที่ตามไปในเวลานั้น ขุนนางอื่นล้วนได้รับการคัดเลือกจากราชสำนัก ท่านอ๋องไม่มีอำนาจ” คุณชายใหญ่ตระกูลหยางพูด “ดังนั้นถึงแม้เจ้าต้องการเดินทางไปรับใช้ท่านอ๋อง เจ้าต้องมีจดหมายแนะนำก่อน ถึงจะรับหน้าที่ได้”
โลกเปลี่ยนไปแล้วอย่างแท้จริง
หยางจิ้งทั้งสิ้นหวังทั้งโกรธแค้น โลกเปลี่ยนไปเช่นนี้ เขามีชีวิตอยู่จะมีความหมายอันใดอีก เขายืนอยู่ริมแม่น้ำฉินหวายหลายครั้ง คิดจะกระโดดลงไปเพื่อจบสิ้นชีวิต…
แต่ เฮ้อ ใจของเขาไม่ยอมทนดูคนชั่วร้ายลอยนวลอยู่บนโลก
ในขณะที่กำลังสิ้นหวังอยู่นั้น เขาได้รับจดหมายฉบับหนึ่งอย่างกะทันหัน จดหมายโยนเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง เวลานั้นเขากำลังเมาจากการดื่มสุรา มองไม่ชัดว่าผู้ใดเป็นคนส่งจดหมาย แต่บนจดหมายบอกเขาเรื่องหนึ่งว่า คุณชายหยางท่านผู้เป็นนักเรียนจากตระกูลชั้นสูงถูกขับไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนเพราะเฉินตันจู แต่ท่านนักปราชญ์สวีลั่วจือ กลับรับนักเรียนจากตระกูลเล็กคนหนึ่งเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนเพื่อเอาใจเฉินตันจู
คุณชายหยาง ท่านรู้ว่านักเรียนผู้นี้เป็นใครหรือไม่
หยางจิ้งถือจดหมาย อ่านจนตัวเย็นเฉียบ
นักเรียนผู้นี้เป็นชายรูปงามที่เฉินตันจูต้องตาตามท้องถนนและลักพาตัวกลับไปเลี้ยงดู
กระทำการเหิมเกริมก็แล้วไป แต่เวลานี้แม้แต่สถานที่ของนักปราชญ์ก็ถูกเฉินตันจูละเมิด ถึงแม้เขาต้องตายก็ไม่อาจให้เฉินตันจูละเมิดลัทธิหยูได้ เขาสามารถตายเพื่อชื่อเสียงของนักปราชญ์หยู เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หยางจิ้งสงบอย่างมาก เขาสืบอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าเมื่อสองเดือนก่อนเฉินตันจูลักพาตัวชายรูปงามผู้หนึ่งกลางท้องถนนจริง…
เขาเดินทางมากั๋วจื่อเจี้ยนโดยใช้ข้ออ้างมาหาสหายร่วมสำนัก จากนั้นสืบทราบว่าระยะนี้สวีจี้จิ่วรับนักเรียนใหม่คนหนึ่งจริง อีกทั้งดูแลอย่างดี ถ่ายทอดวิชาด้วยตนเอง
เพียงแต่นักเรียนใหม่นี้มักหลบอยู่ในหอพัก ไปมาหาสู่กับเหล่าผู้คุมสอบน้อยนัก มีเพียงนักเรียนที่ใกล้ชิดกับสวีจี้จิ่วไม่กี่คนเคยสนทนากับเขา ตามที่พวกเขาเล่า คนผู้นี้มีชาติกำเนิดที่ยากจน
แต่ในเมื่ออยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยน อีกทั้งกั๋วจื่อเจี้ยนไม่กว้างมากนัก หยางจิ้งยังคงมีโอกาสได้พบนักเรียนผู้นี้ รูปลักษณ์ไม่ได้งดงามดุจดั่งเทพสวรรค์ แต่ก็มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่น้อย
หยางจิ้งนึกขึ้นได้ วันที่เขาถูกขับไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน ตอนที่ไปขอเข้าพบสวีจี้จิ่ว สวีจี้จิ่วไม่ยอมพบเขา เขาเดินวนเวียนไปมาอยู่นอกประตู พบเห็นสวีจี้จิ่ววิ่งออกมาต้อนรับนักเรียนผู้หนึ่ง กระตือรือร้น ประจบ เอาใจอย่างมาก…เขาคือคนผู้นี้!
หยางจิ้งไม่ได้บุกเข้าไปถามสวีลั่วจือ หากแต่จับตาดูนักเรียนผู้นี้ นักเรียนผู้นี้หลบอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยนตลอดเวลา แต่ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสําเร็จอยู่ที่นั่น ในที่สุดวันนี้เขาก็รอจนได้
เขาพบเห็นอีกฝ่ายเดินออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน พบหน้ากับหญิงสาวคนหนึ่งกับตาของตนเอง เขารับสิ่งของที่หญิงสาวมอบให้ จากนั้นส่งหญิงสาวนั้นจากไป…
หญิงสาวนั้นแม้จะกลายเป็นผุยผงหยางจิ้งก็จำได้ นางคือสาวรับใช้ของ…เฉินตันจู!
หยางจิ้งกำมือแน่น เล็บมือของเขาทิ่มแทงเข้าไปในฝ่ามือ เขาเงยหน้าหัวเราะด้วยความโศกเศร้าอย่างไร้เสียง จากนั้นจัดระเบียบหมวกและเสื้อผ้าเดินเข้าไปภายในกั๋วจื่อเจี้ยนท่ามกลางสายลมหนาว
“สวีลั่วจือ...เจ้าไร้คุณธรรม…ยึดมั่นในคำเยินยอ…ทำลายมโนธรรม…เสื่อมเสียชื่อเสียง…มีหน้าอันใดในการถือตนเป็นศิษย์ของนักปราชญ์!”
กั๋วจื่อเจี้ยนที่ไม่ใหญ่นักมีคนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างมองคนที่กำลังเงยหน้าก่นด่าเสียงดังอยู่ด้านหน้าห้องเรียนด้วยความตกตะลึง เหตุใดจึงกล้าต่อว่าสวีซินแสเช่นนี้
ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะของสวีซินแส เพียงแค่ความรู้และการวางตัวของสวีซินแส คนของต้าเซี่ยต่างชื่นชม และนับถืออย่างเต็มใจ
เขาเสียสติไปแล้วหรือ
มีคนจำหยางจิ้งได้ ทั้งตกตะลึงทั้งระอา คิดว่าหยางจิ้งเสียสติไปแล้ว เนื่องจากถูกขับไล่ออกจาก
กั๋วจื่อเจี้ยนไป จึงเกิดความแค้นภายในใจ ดังนั้นจึงมาก่อเรื่อง
สวีลั่วจือเดินออกมาอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้ช่วยต่างสืบถามตัวตนของหยางจิ้ง รวมทั้งคาดเดาถึงสาเหตุการก่นด่าของเขาได้
“หยางจิ้ง เจ้าในฐานะบัณฑิตของสำนักการศึกษา มีคดีและโทษติดตัว การยึดจดหมายแนะนำของเจ้าเป็นไปตามกฏ” ผู้ช่วยคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ “เจ้าบังอาจมาเหยียดหยามกั๋วจื่อเจี้ยนอย่างเสียสติ ผู้ใดก็ได้ จับเขาเอาไว้ ส่งไปรับโทษที่ที่ว่าการ ฐานเหยียดหยามวิชาปราชญ์”
กั๋วจื่อเจี้ยนมีองครักษ์ประจำการ เมื่อได้ยินคำสั่งจึงเดินขึ้นหน้าทันที หยางจิ้งกระชากหมวกลงมา ผมของเขาแผ่สยาย จ่อปลายปิ่นเข้าหาตนเอง ตะโกนเสียงดัง “ผู้ใดกล้าแตะข้า!”
นักเรียนผู้นี้เสียสติไปแล้ว! คนรอบด้านต่างก้าวถอยหลัง องครักษ์มองไปทางผู้ช่วยอย่างลำบากใจ
“หยางจิ้ง” สวีลั่วจือห้ามปรามผู้ช่วยที่โกรธจัด พูดอย่างสงบ “คดีของเจ้าส่งมาจากที่ว่าการ หากเจ้ารู้สึกไม่เป็นธรรม เจ้าไปร้องทุกข์ยังที่ว่าการ หากพวกเขาเปลี่ยนคำพิจารณา เจ้ามาแสดงความบริสุทธิ์ของตนเองย่อมได้ โทษของเจ้า ข้าไม่ได้เป็นผู้ตัดสิน เจ้าถูกขับไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนเป็นไปตามกฎที่กำหนดเอาไว้ เหตุใดเจ้าจึงมาพูดจาไม่ดีต่อข้า”
หยางจิ้งถือปิ่นปักผมยิ้มอย่างเศร้าโศกและขุ่นเคือง “สวีซินแส ท่านไม่ต้องใช้คำพูดดูดีพูดกับข้า ท่านขับไล่ข้าใช้ข้ออ้างกฎหมาย ท่านรับศิษย์สามัญชนเป็นกฎหมายอันใดกัน”
นอกเสียจากการแต่งงาน ชนชั้นสูงและชนชั้นสามัญชนไม่อาจก้าวข้ามผ่านกันได้ อีกทั้งความแตกต่างนี้ยิ่งแสดงให้เห็นชัดในขุนนาง ราชสำนักคัดเลือกขุนนางมีผู้ควบคุมดูแลการคัดเลือกและแนะนำ การเข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยนมีเงื่อนไขที่เข้มงวดอย่างยิ่งต่อชนชั้นและจดหมายแนะนำ
ชนชั้นสามัญชนยากที่จะเข้าศึกษา
แต่ว่า ไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป หากคนผู้นั้นมีความสามารถ ได้รับการเมตตาจากอาจารย์หยู ย่อมเป็นข้อยกเว้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาดอันใด
โดยเฉพาะสวีลั่วจือผู้เป็นอาจารย์หยูชั้นเอก เขาต้องการรับลูกศิษย์แบบใดย่อมสามารถตัดสินใจเองได้
หยางจิ้งนี้อิจฉาจนบ้าคลั่ง พูดจาเหลวไหล
คนรอบข้างต่างส่ายหัว สีหน้าเหยียดหยาม
สวีลั่วจือไม่อยากสนใจ คนอย่างเขาไม่เกรงกลัวคำต่อว่าจากผู้อื่น การที่เขาออกมาถาม เพราะสงสารบัณฑิตอายุน้อยผู้นี้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีคุณค่าแก่การสงสารก็แล้วไป
เขาพูดเสียงเย็น “ความรู้ของข้า ข้าตัดสินใจเอง” พูดพลางทำท่าจะเดินจากไป
หยางจิ้งหัวเราะเยาะอยู่ด้านหลัง “ความรู้ของท่าน คือการประจบเอาใจหญิงสาว รับคนรักของนางเป็นลูกศิษย์หรือ”
อันใด หญิงสาว? คนรัก? คนที่ดูเหตุการณ์อยู่รอบด้านผงะอีกครั้ง สวีลั่วจือชะงัก ขมวดคิ้ว “หยางจิ้ง เจ้าพูดเหลวไหลอันใด”
หยางจิ้งไม่พูดสิ่งอื่นอีก เพียงแค่กล่าว “พวกเจ้าตามข้ามา” พูดพลางเดินไปทางด้านหลังของห้องเรียน
ผู้ช่วยทำท่าจะรั้ง แต่ถูกสวีลั่วจือห้ามเอาไว้ “ดูว่าเขาต้องการทำอันใด” ก่อนจะเดินตามไป เหล่านักเรียนที่มุงดูต่างหลั่งไหลตามกันไป
หยางจิ้งพุ่งตรงไปยังที่พักของเหล่าผู้คุมสอบที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นยกขาถีบประตูห้องหนึ่งออก
นักเรียนที่อ่านตำราอยู่ภายในห้องตกใจ มองนักเรียนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงผู้นี้ ถามขึ้น “ท่าน…”
เขายังพูดไม่ทันจบ นักเรียนที่บ้าคลั่งผู้นี้เหลือบเห็นกล่องเล็กบนโต๊ะ ก่อนจะพุ่งไปหยิบขึ้นมาราวกับเสียสติ เปล่งเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่า ฮ่า จางเหยา เจ้าบอกมา สิ่งนี้คืออันใด”
จางเหยาลุกขึ้น มองนักเรียนที่บ้าคลั่งผู้นี้ ก่อนจะมองคนที่หลั่งไหลมาบริเวณด้านนอกประตู
สวีลั่วจือก็อยู่ภายในนั้น สีหน้าสงสัย
“สิ่งนี้คือ” เขาพูด “กล่องสำรับ”
ผู้คุมสอบท่านนี้หิวจนบ้าคลั่งไปแล้วหรือ
หยางจิ้งตะโกนเสียงดัง “เจ้าอย่าได้หลีกเลี่ยงเรื่องสำคัญ ข้าถามเจ้า ผู้ใดให้เจ้ามา!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ จางเหยาราวกับนึกบางอย่างได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย อ้าปากแต่ไม่ได้พูด
สวีลั่วจือเห็นสีหน้าของเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย “จางเหยา มีเรื่องใดพูดไม่ได้หรือ”
จางเหยาลังเล “ไม่มีขอรับ สิ่งนี้…”
หยางจิ้งตะโกน “บอกมา ผู้ใด นางเป็นผู้ใด เจ้าสาบานต่อหน้านักปราชญ์ ไม่พูดเท็จแม้แต่คำเดียว!”
จางเหยาถอนหายใจภายในใจ กระจ่างถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นคร่าวๆ สีหน้าของเขาเงียบสงบ
“สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สหายของข้า” เขาพูดอย่างเปิดเผย “…เฉินตันจูมอบให้ข้า”
เฉินตันจู…
เมื่อผู้คนที่เบียดเสียดอยู่ด้านนอกได้ยินชื่อนี้ ต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที