จ้าวหลิงเฟิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าใช้ได้ ลองพินิจเอ้อร์เป่าให้ละเอียดต่อ ก็พบว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่หน้าตาดี แต่แววตายังกระจ่างใส จิตใจดำรงปณิธาน โตไปก็คงไม่แย่สักเท่าไร
ที่สำคัญที่สุดก็คือบุตรสาวเขาชอบเจ้าหมอนี่ วันๆ เอาแต่เอ้อร์เป่าอย่างนั้น เอ้อร์เป่าอย่างนี้ ในเมื่อชอบก็ไม่สู้เลี้ยงดูให้เติบโตไปด้วยกัน หากทำเช่นนี้ได้ย่อมไม่เลวอย่างมาก
จ้าวหลิงเฟิงครุ่นคิดแล้วก็พลันก้าวเข้าไปหาเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่เดินเคียงคู่อยู่กับลู่เจียว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองจ้าวหลิงเฟิงด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร จ้าวหลิงเฟิงเผยสีหน้าอ่อนโยน “เซี่ยซิ่วไฉ ข้าพลันคิดเรื่องดีๆ ขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นชะงักกึก ลู่เจียวก็พาเด็กๆ ชะงักตาม
จ้าวหลิงเฟิงกล่าวทันทีว่า “หรือว่าพวกเราสองตระกูลมาเกี่ยวดองกันดีไหม ข้ายกบุตรสาวให้หมั้นหมายกับเอ้อร์เป่าเจ้า ดีไหม”
ยามนี้ทุกคนต่างตกตะลึงมองไปยังเอ้อร์เป่า เอ้อร์เป่าตั้งสติได้คนแรกสุด หันไปมองจ้าวอวี้หลัวปฏิเสธทันที “ไม่ได้ ข้าไม่ชอบแบบนาง ข้าต้องการเด็กผู้หญิงชอบยิ้ม อ้วนๆ ขาวๆ เหมือนท่านแม่ข้า”
จ้าวอวี้หลัวมองเอ้อร์เป่าด้วยสีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็หันไปมองลู่เจียว สุดท้ายถามเอ้อร์เป่า “ข้าสวยไม่เท่าท่านน้าลู่หรือ”
เอ้อร์เป่าส่ายหน้าจริงจัง “เจ้าจะสวยเหมือนท่านแม่ข้าได้อย่างไร ท่านแม่ข้าสวยกว่าเจ้าเยอะ”
“ดังนั้นเพราะข้าไม่ได้สวยเหมือนท่านแม่เจ้า เจ้าก็เลยไม่ยอมรับข้าเป็นภรรยาเจ้า”
“ใช่ เจ้ายังเอาแต่ร้องไห้”
“เช่นนั้นวันหน้าข้าไม่ร้องไห้แล้ว”
“ไม่ร้องก็ไม่ได้ เจ้าผอมไปอีกด้วย”
เอ้อร์เป่ามีสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์
จ้าวอวี้หลัวได้ฟังเอ้อร์เป่าก็รีบกล่าวว่า “เช่นนั้นวันหน้าข้ากินให้มาก ข้าจะขุนตัวเองให้อ้วนอีกหน่อย เช่นนั้นก็ได้แล้วใช่ไหม”
เอ้อร์เป่าได้ฟังคำพูดนาง ก็มองนางอย่างจริงจัง สุดท้ายก็ยังคงยืนยัน “ไม่ได้ ข้าไม่ชอบเจ้า เจ้าชอบรังแกผู้อื่น”
จ้าวอวี้หลัวกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นหากข้าจะปรับปรุงเล่า”
ทุกคนในที่นั้นพากันตกตะลึงนิ่งอึ้งไปกันหมด
จ้าวหลิงเฟิงยิ่งพูดไม่ออก บุตรสาวอยากแต่งงานขนาดไหนกันนี่
ยามนี้ทำเอาจนเป็นอะไรไปแล้ว
จ้าวหลิงเฟิงครุ่นคิดแล้วก็รีบเอ่ยว่า “ลูกพ่อ คนเขาไม่เอาก็ไม่เอา แล้วไปเถอะนะ”
ทำเอาท่านพ่อเช่นเขาขายหน้าไปหมดแล้ว
จ้าวอวี้หลัวส่ายหน้ายืนยันว่า “ไม่ได้ ข้าต้องการเป็นภรรยาเขา วันหน้าจะจูงมือกับเขา”
เอ้อร์เป่าพอได้ฟังก็คัดค้าน “ไม่ได้ ข้าไม่จูงมือกับเจ้า”
เขากล่าวจบก็กลัวจ้าวอวี้หลัวเข้ามาจูงมือตน ก็รีบเก็บสองมือไปด้านหลัง
ลู่เจียวเห็นท่าทางเขาก็นึกขำ ก่อนหน้านี้นางกำลังฟังจนอึ้ง
เพราะสุดท้ายคนที่จ้าวอวี้หลัวต้องตาต้องใจก็คือบุตรชายอ๋องเยียน นางคือว่าที่ฮองเฮาในวันหน้า ตัวละครเอกในนิยาย นางจะมาต้องตาต้องใจเอ้อร์เป่าได้อย่างไร เหมือนยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจว่า ‘หากไม่ใช่ผู้นี้ก็จะไม่ยอมแต่งอีก’
นิยายนี้แท้จริงจะบิดเบี้ยวไปถึงระดับใดกัน หากเป็นเช่นนี้ ภรรยาเดิมในนิยายของเซี่ยอวิ๋นจิ่นจะยังมีตัวตนอยู่ไหม จะได้เป็นภรรยาเขาอีกไหม
ลู่เจียวคิดแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
นางหันไปมองจ้าวหลิงเฟิง ส่งสายตาจ้องใส่เขาอย่างไม่พอใจ “วันๆ เอาแต่พูดจาเหลวไหลอะไรกัน เด็กๆ ยังเล็ก รอไว้พวกเขาโตค่อยคุยเรื่องพวกนี้กัน”
ลู่เจียวไม่เห็นด้วยที่จะให้บุตรชายหมั้นหมายในตอนนี้อย่างเด็ดขาด แม้ว่ายุคสมัยนี้นิยมแต่งตามคำสั่งบิดามารดาและการชักนำของแม่สื่อแม่ชักก็ตาม
แต่สำหรับนางนั้น นางจะต้องรอให้บุตรชายโตพอจะมีความรู้สึกชอบได้ จึงจะคุยเรื่องนี้
แต่ลู่เจียวคิดขึ้นมาได้ทันทีว่า สุดท้ายตนเองก็ไม่รู้ว่าจะได้จัดการเรื่องพวกนี้ให้พวกลูกๆ ไหม
ลู่เจียวคิดไปก็กล่าวเตือนจ้าวหลิงเฟิงไปว่า “วันหน้า ห้ามพูดจาเหลวไหลอีก”
จ้าวหลิงเฟิงจะกล่าวอันใดได้ ได้แต่เลิกรา “ได้ ได้ รู้แล้ว”
แม้เขารู้ว่าไร้ประโยชน์ เห็นได้ชัดจ้าวอวี้หลัวปักใจแล้ว นางไล่ตามเอ้อร์เป่าพลางถามว่า “เอ้อร์เป่า ทำไมเจ้าไม่ยินดีจะรับข้าเป็นภรรยา เจ้าว่ามา ข้าจะแก้ไข วันหน้าข้าจะดีกับเจ้า และจะมอบของเล่นข้า ของกินข้า ให้เจ้าหมด เช่นนี้ไม่ได้อีกหรือ”
เอ้อร์เป่าท่าทางยืนยันเด็ดเดี่ยว “ไม่ได้ ”
“เช่นนั้นเจ้าว่ามาว่าแบบไหนจึงจะได้”
จ้าวอวี้หลัวเกือบจะร้องไห้แล้ว เอ้อร์เป่าเห็นนางจะร้องไห้ก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าดู เจ้าร้องไห้อีกแล้ว”
จ้าวอวี้หลัวรีบปาดน้ำตาทิ้ง “เช่นนั้นวันหน้าข้าไม่ร้องแล้ว”
ทุกคนมองกันตาค้าง จ้าวหลิงเฟิงรู้สึกบุตรสาวตนฉีกใบหน้าตนเองหมดสิ้นแล้ว
“ลูกพ่อ เจ้าอย่าเอาแต่ไล่ตามได้ไหม ผู้หญิงเราต้องรักนวลสงวนตัว ห้ามไล่ตามผู้ชาย เช่นนั้นผู้ชายจะไม่รักและทะนุถนอมเจ้านะ”
ลู่เจียวยกมือกุมขมับ นี่มันอะไรกัน ผู้ชายสอนลูกไม่เป็นจริงๆ
ลู่เจียวค้อนใส่จ้าวหลิงเฟิง ดึงจ้าวอวี้หลัวมากล่าวว่า “อวี้หลัว ตอนนี้พวกเจ้ายังเล็ก ไม่เข้าใจอะไรเท่าไร ไว้รอพวกเจ้าโตก็จะเข้าใจนะ ถึงตอนนั้นเอ้อร์เป่าชอบเจ้า เจ้าชอบเขา จึงจะอยู่ด้วยกันได้”
“อย่างนี้เองหรือ”
ในที่สุดจ้าวอวี้หลัวก็ปล่อยเอ้อร์เป่าไป “งั้นไว้รอโตแล้วค่อยว่ากัน”
“อืม เช่นนี้สิถูกต้อง แต่วันหน้าเจ้าต้องเป็นเด็กผู้หญิงที่ดี เด็กผู้หญิงที่ดีจะมีคนมาชอบมากมาย”
“เอ้อร์เป่าก็จะชอบใช่หรือไม่”
ใบหน้าลู่เจียวราวกับมีแสงสีดำพาดผ่าน เจ้าหนูนี่ทำไมไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้เสียที
“ใช่ เอ้อร์เป่าย่อมต้องชอบเด็กผู้หญิงที่ดี”
จ้าวอวี้หลัวยืดอกกล่าวว่า “วันหน้าข้าจะเป็นเด็กผู้หญิงที่ดี”
ตอนเที่ยงกินปิ้งย่าง พวกลูกทั้งสี่พากันลงมือช่วยงาน จ้าวอวี้หลัวเองก็ช่วยด้วยด้วยมือไม้ที่เก้กังไปหมด ปกตินางไม่เคยทำอะไรด้วยตนเอง จึงทำให้มือไม้เก้กังไปหมด ถูกเอ้อร์เป่ากล่าววาจารังเกียจไปหลายที
จ้าวอวี้หลัวรีบบอกว่าวันหน้านางจะทำอะไรเอง และจะต้องทำได้ดี
สองตระกูลกินปิ้งย่างกันทำเอานักเรียนในสถานศึกษาแตกตื่น นักเรียนหลายคนเข้ามาทักทาย สุดท้ายถึงกับเข้าร่วมวงด้วย งานเลี้ยงปิ้งย่างตระกูลเซี่ยจึงครึกครื้นอย่างมาก
ตอนกินกัน พวกลูกทั้งสี่ก็ออกมาขอเปิดการแสดงตนเอง
ซื่อเป่านำแคนมาเป่าแสดงให้ทุกคนชมก่อนคนแรก
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่อายุน้อยเกินไป หากจะบอกว่าการแสดงของพวกเขาเป่าเป็นบทเพลงก็ล้วนเป็นเรื่องเท็จ ในอายุตอนนี้ก็แค่สามารถเป่าติดต่อกันได้เท่านั้น
แต่ผู้ใหญ่ล้วนให้หน้าเด็กน้อย พากันตกมือกล่าวชมว่าไม่เลว
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่แสดงจบ จ้าวอวี้หลัวก็ไม่พอใจ เพราะนางเรียนพิณ แต่นางไม่ได้เอาพิณมาด้วย
จ้าวหลิงเฟิงบอกว่าครั้งหน้าจะพานางออกมาอีกและจะเอาพิณของนางมาด้วย แต่ปรากฏว่านางยังคงไม่พอใจ สุดท้ายจ้าวหลิงเฟิงบอกว่าจะเชิญครอบครัวเอ้อร์เป่ามาด้วย นางจึงได้พอใจ
ยามนี้จ้าวหลิงเฟิงมีเพียงความคิดเดียว บุตรสาวเป็นคนนิสัยเปิดเผย ตัวแค่นี้ก็อยากจะแต่งงานแล้ว
หลังกินปิ้งย่างเสร็จ พวกผู้ชายก็ไปนั่งคุยกัน ลู่เจียวพาเด็กๆ ไปเล่นว่าว
ลู่เจียวเล่นว่าวเก่งมาก นำว่าวขึ้นท้องฟ้าได้อย่างรวดเร็ว เด็กๆ ดีใจตื่นเต้นกันมาก วิ่งตามหลังนางไปพลางตะโกนไปด้วย
“ท่านแม่ ร้ายกาจมาก”
“ท่านน้าลู่ ร้ายกาจมาก”
เอ้อร์เป่าได้ฟังจ้าวอวี้หลัว รีบเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน ไม่ดูเสียบ้างว่าท่านแม่ผู้ใด”
จ้าวอวี้หลัวหันหน้าไปมองเอ้อร์เป่า เหมือนเดาใจเอ้อร์เป่าได้ นางรีบยิ้มมองลู่เจียวตรงหน้า กล่าวชมว่า “โอ้โห ท่านน้าลู่ ไม่เพียงแต่เล่นว่าวเก่ง หน้าตาก็สวย ทั้งขาวทั้งอ้วนท้วนราวกับนางงามในภาพวาด”