เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นว่าไม่มีปัญหา เพราะข้าเองก็รู้สึกว่าเจียวเจียวเป็นสาวงามที่สุดในใต้หล้านี้
ลู่เจียวค้อนใส่เขา วันทั้งวันเอาแต่ล่อหลอกหญิงสาว ยังมีหน้ามาพูดอีก
ในรถม้า เอ้อร์เป่ายังคงต้องการแสดงความคิดของตนเอง
“พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าหญิงผู้นั้นน่าเกลียดหรือ หน้าขาวซีดไร้สีเลือด ไม่ได้แดงระเรื่อเหมือนท่านแม่ข้า ท่านแม่ข้างามขนาดไหน เจ้าดูหญิงผู้นั้นสิเอาแต่ทำหน้าทำตาร้องไห้กระซิกๆ น่าเกลียดจะตาย ยังเอาแต่เสแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร ทำให้ผู้ใดดูกัน”
เอ้อร์เป่ากล่าวจบก็พลันนึกขึ้นมาได้ทันที “คงไม่ได้เสแสร้งทำให้ท่านพ่อข้าดูกระมัง ข้าคิดได้แล้ว ท่านแม่หลัวเสี่ยวเฉ่าก็ไม่ใช่อย่างนี้หรือ นางคิดจะเป็นอนุท่านพ่อข้าล่ะสิ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพอได้ฟังก็มีสีหน้าก็ดำทะมึน เจ้าหมอนี่อะไรไม่เอ่ยมาเอ่ยเรื่องนี้ได้
“เอ้อร์เป่า อย่าเอาแต่พูดคำว่า อนุ อนุ เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าไม่ควรเอาแต่พูดคำว่า อนุ”
ลู่เจียวเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่น เผยสีหน้าเคร่งขรึมมองไปยังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ กล่าวว่า “วันหน้าอย่าเอาแต่พูดคำว่า อนุ อะไรพวกนี้ไม่น่าฟัง การจะเป็นเด็กผู้ชายที่รู้ความและมีมารยาท ไม่ควรเอาแต่พูดถึงคนอื่นว่าไม่ดี”
“ในเมื่อท่านพ่อรับปากพวกเจ้าแล้วว่าจะไม่รับอนุ วันหน้าก็ย่อมจะไม่รับอนุ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวถึงตรงนี้ก็ฉวยโอกาสอบรมบุตรชาย “ตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกไม่ดีกับการที่พ่อจะรับอนุ ก็อย่าลืมว่าวันหน้าตนเองก็ห้ามรับอนุ”
ลู่เจียวได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็มองเขาอย่างไร้วาจาจะกล่าว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่อายุเท่าไรเอง ถึงกับพูดจาแบบนี้กับเด็กน้อยได้
ผู้ใดจะรู้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็แสดงท่าทีกันทันที
ต้าเป่าสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า “ท่านพ่อวางใจ วันหน้าข้าจะไม่รับอนุ แต่งภรรยาเพียงคนเดียวและดีกับนาง”
เอ้อร์เป่าพยักหน้าเต็มแรงตาม “ใช่ ข้าจะแต่งกับภรรยาที่อ้วนๆ ขาวๆ แบบท่านแม่ข้า และยังต้องชอบยิ้ม มองแล้วสบายใจ”
บนรถม้าทุกคนต่างส่งสายตาจ้องใส่เอ้อร์เป่า เจ้าแต่งภรรยาเกี่ยวอะไรกับท่านแม่
ซานเป่ากล่าวทันทีว่า “ข้าเองก็ไม่รับอนุ ข้าโตแล้วจะดีกับภรรยาเหมือนกับท่านพ่อ”
ซื่อเป่ากลับตัดสินใจได้สุดยอดยิ่งกว่า ยื่นมือออกไปโอบคอลู่เจียว “ข้าไม่แต่งภรรยา ข้ากับหาเงินเลี้ยงดูท่านแม่กับน้องสาวข้า ท่านแม่ว่าดีไหม”
ลู่เจียวได้ฟังก็นึกอยากจะหยอกเขาเล่น “เจ้าลูกชาย ตอนนี้เจ้าพูดได้น่าฟัง รอไว้เจ้าแต่งภรรยาก็จะไม่กล่าวเช่นนี้แล้ว”
ซื่อเป่าได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็ไม่พอใจทันที ใบหน้าเล็กบึ้งตึง “ท่านแม่ ท่านไม่เชื่อคำพูดข้าหรือ ข้าบอกว่าไม่แต่งก็ไม่แต่ง ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าก็ดำทะมึน ท่านแม่เจ้ามีข้าเป็นเพื่อน เจ้ามาเป็นเพื่อนทำไม เจ้าไปเป็นเพื่อนภรรยาเจ้าเถอะ เซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันนึกถึงสถานะแท้จริงของซื่อเป่าขึ้นมา
หากวันหน้าซื่อเป่ากลับวัง วันหน้าได้เป็นท่านอ๋องหรืออะไร ย่อมไม่อาจแต่งภรรยาเพียงคนเดียวได้
แต่ เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังไม่อาจกล่าววาจานี้ได้ในตอนนี้
ลู่เจียวเห็นซื่อเป่าทำท่าจะร้องไห้ก็รีบยื่นมือออกไปกอดเขาไว้ พลางปลอบใจว่า “แม่เชื่อ ซื่อเป่าจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ วันหน้าพวกเราแม่ลูกก็จะอยู่ด้วยกัน”
ยามนี้ต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่าเองก็ไม่เอาแล้ว ต่างแสดงท่าทีว่า “ท่านแม่ พวกเราเองก็ไม่แต่งแล้ว วันหน้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่”
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นดำคล้ำจนไม่อาจดำคล้ำลงได้อีก กวาดสายตาเย็นเยียบใส่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่
วาจาทุกคนทำเอาลู่เจียวนึกขำอย่างมาก
พวกเด็กๆ ตอนนี้ยังเล็ก ไหนเลยจะรู้ว่าภรรยาคืออะไร รอไว้โตก็รู้ความเอง
รถม้าแล่นมาถึงหน้าประตูใหญ่สำนักศึกษาอำเภอชิงเหอ ละครที่เกิดก่อนหน้านี้ทำให้ทุกคนลืมไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกม่านขึ้นคิดบอกคนเฝ้าประตูให้พวกเขาเข้าไป
ไม่คิดว่า เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นด้านหลัง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองพบว่าเป็นรถม้าตระกูลจ้าว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดว่าจ้าวหลิงเฟิงมีธุระมาหาพวกเขา ดังนั้นจึงหยุดหันไปมองรถม้าด้านหลัง
รถม้าตระกูลจ้าวมาถึง จ้าวหลิงเฟิงก็เลิกม่านขึ้น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถามว่า “เจ้ามีธุระอันใดหรือ”
จ้าวหลิงเฟิงไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเงาร่างเล็กในรถม้าโผล่ออกมายืนอยู่หน้าประตูรถม้าตะโกนว่า “เอ้อร์เป่า เอ้อร์เป่า ข้ามาแล้ว”
เอ้อร์เป่าโผล่มาทางด้านหลังเซี่ยอวิ๋นจิ่น มองไปยังจ้าวอวี้หลัวบนรถม้าตรงข้าม ถามว่า “เจ้ามาทำไม”
“มาเล่นกับพวกเจ้าไง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังจะมีอะไรไม่เข้าใจอีก พ่อลูกตระกูลจ้าวแล่นมาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นกับพวกเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่อยากเห็นสองพ่อลูกเที่ยวเล่นหรือเกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวเขา
ชายหนุ่มมองจ้าวหลิงเฟิง “ท่านจ้าว คือว่าพวกเรามาเที่ยวกันในครอบครัว พวกเจ้าพ่อลูกก็ไปหาที่เที่ยวกันเองเถอะ”
จ้าวหลิงเฟิงยิ้ม “เซี่ยซิ่วไฉช่างกล่าววาจาเหินห่าง ความสัมพันธ์พวกเราระดับใดแล้ว ไยต้องแยกแยะเจ้าข้าชัดเจน สองตระกูลเที่ยวด้วยกันก็ยิ่งครึกครื้นไหม”
จ้าวอวี้หลัวด้านหลังจ้าวหลิงเฟิงปรบมือยิ้ม “ใช่ เที่ยวเล่นด้วยกันครึกครื้น”
นางกล่าวจบก็ทักทายเอ้อร์เป่า “เอ้อร์เป่า เจ้ารีบมานั่งรถม้าข้าสิ รถม้าบ้านข้าทั้งใหญ่ทั้งดี คนก็น้อย”
เอ้อร์เป่าค้อนใส่นาง หันหลังกลับเข้ารถม้าตนเองไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองจ้าวหลิงเฟิง ไม่อยากให้สองพ่อลูกนี่มาเที่ยวเล่นร่วมกับครอบครัวเขาจริงๆ
แต่ท่าทางเจ้าหมอนี่เห็นชัดว่าคงตามตื้อไม่เลิก เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่อยากให้พวกเขาสองพ่อลูกเอาแต่ตื้ออยู่เช่นนี้ ได้แต่บอกให้ยามเฝ้าประตูสำนักศึกษาอำเภอชิงเหอให้พวกเขาเข้าไป
จ้าวหลิงเฟิงรีบตามเข้าไป ผู้คุ้มกันคิดว่ามาด้วยกัน ย่อมปล่อยเข้าไป
รถม้าสองคันเข้ามาในสำนักศึกษาอำเภอชิงเหอ
แม้สำนักศึกษาอำเภอชิงเหอไม่นับว่ากว้าง แต่ด้านในตกแต่งได้ดูดีมาก ภูเขาจำลองก้อนหินวางเรียงราย และศาลารับลม ด้านหน้าสุดยังมีลำธารสายหนึ่ง ริมลำธารปลูกไผ่เขียวและดอกไม้นานาพรรณ มองแล้วให้ความรู้สึกงามอย่างมีระดับ
อำเภอชิงเหออยู่ค่อนมาทางใต้ แม้ปลายเดือนเก้าแล้ว แต่อากาศยังคงอบอุ่น
อย่าว่าแต่พวกลูกทั้งสี่ชอบที่นี่ ลู่เจียวเดินรอบหนึ่งก็รู้สึกชอบที่นี่มาก
ทั้งครอบครัวเดินชมรอบสำนักศึกษาอำเภอชิงเหออย่างตื่นเต้น เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดินนำเหมือนมัคคุเทศก์นำเที่ยว อธิบายสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาอำเภอชิงเหออย่างละเอียด
“นี่คือสถานที่สอนและอ่านตำราของที่นี่ แยกเป็นห้องถงเซิงกับห้องซิ่วไฉ แต่ละห้องก็แยกออกเป็นสามระดับ ก ข และค”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบ ต้าเป่าก็ถามขึ้นทันทีว่า “ท่านพ่ออยู่ชั้น ก ใช่หรือไม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นอมยิ้มพยักหน้า ต้าเป่าภาคภูมิใจ “ท่านพ่อเก่งกาจมาก”
เอ้อร์เป่าชมหนักกว่า “ท่านพ่อข้าย่อมต้องเก่งกาจที่สุด วันหน้าข้าเองก็ต้องเก่งกาจที่สุด”
จ้าวหลิงเฟิงมองเอ้อร์เป่าพลางพยักหน้าเห็นด้วย เด็กคนนี้มีปณิธานไม่เลว…ไม่เลว เหมือนบุตรสาวเขาจะชอบเจ้าเด็กนี่มาก กลับบ้านก็เอาแต่เล่าเรื่องเอ้อร์เป่าอย่างนั้น เอ้อร์เป่าอย่างนี้
ในใจจ้าวหลิงเฟิงพลันมีความคิดหนึ่งขึ้นมา หากได้เกี่ยวดองกับตระกูลเซี่ยก็นับว่าไม่เลว
แม้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นตอนนี้เป็นแค่ซิ่วไฉ แต่ด้วยสติปัญญาความสามารถของเขา วันหน้าย่อมต้องเป็นขุนนาง และด้วยสติปัญญาของเขาสุดท้ายย่อมก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางระดับสูง
บุตรสาวเขาแต่งเข้าตระกูลเซี่ย ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลมีคุณธรรม ยังมีนายหญิงมีเมตตาเช่นลู่เจียว บุตรสาวแต่งเข้าตระกูลเซี่ยย่อมไม่ต้องทนรับทุกข์