“กระโดดร้อยเชือกดีกว่า!” สืออีเหนียงรอดูท่าที “เตะลูกขนไก่เป็นของเล่นที่เด็กๆ เล่นกัน”
“เตะลูกขนไก่ดีกว่า” สวีซื่อเจี่ยนยิ้มใบหน้าเบิกบาน “กระโดดร้อยเชือกต้องใช้กำลังมาก พวกเราจะมีแรงเยอะขนาดนั้นได้อย่างไรกันขอรับ”
“เตะลูกขนไก่ กระโดดเชือก หรือแม้กระทั่งเตะลูกหนังก็เพื่อเป็นการออกกำลังกายไม่ใช่หรือ มิเช่นนั้นทำไมพวกเราต้องเล่นกันจนเหงื่อออกขนาดนี้ ไม่สู้ไปนั่งอ่านหนังสือในห้องยังจะดีกว่า” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อไม่ได้แตกต่างกัน เช่นนั้นจะเป็นอะไรไปหากจะเตะลูกขนไก่หรือว่ากระโดดร้อยเชือก”
สวีซื่อเจี่ยนรีบพูดขึ้นมาว่า “เป็นอย่างที่ท่านอาสะใภ้สี่พูด ในเมื่อไม่ได้แตกต่างกัน ข้าว่าเรามาเตะลูกขนไก่กันดีกว่า”
ทั้งสองคนตอบโต้กันไปมา
จุนเกอรีบพูดขึ้นมาว่า “เอาเป็นว่าข้าจะเตะลูกขนไก่แข่งกับพี่สามแทนท่านแม่เองขอรับ!” พยายามไกล่เกลี่ยให้ทั้งสอง “ทุกคนหยุดเถียงกันได้แล้ว!”
สายตาของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สวีซื่อเจี่ยนกลับพูดขึ้นมาว่า “ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องตกลงกันให้ชัดเจนก่อนถึงจะถูก” ต้องการถกเถียงกับสืออีเหนียงเรื่องเตะลูกขนไก่กับกระโดดร้อยเชือกว่าอันไหนน่าสนใจกว่ากัน
สืออีเหนียงก็อยากจะหยอกล้อสวีซื่อเจี่ยนต่อ
ทั้งสองคนถกเถียงกันอย่างดุเดือด
ตอนแรกจุนเกอคอยฟังอยู่ข้างๆ อย่างเป็นห่วง แต่ต่อมาเห็นทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจึงนั่งเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ มีเพียงสวีซื่อเจี้ยที่เดินไปเตะสวีซื่อเจี่ยน “ห้ามทะเลาะกับท่านแม่ของข้า ห้ามทะเลาะกับท่านแม่ของข้า…” สวีซื่อเจี่ยนคิดไม่ถึงว่าจะโดนเตะ จึงเอามือกุมขาแล้วร้อง “โอ้ย”
สืออีเหนียงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงสติกลับมา รีบเข้าไปอุ้มสวีซื่อเจี้ย “สุภาพบุรุษใช้วิธีพูดจา ส่วนคนถ่อยใช้กำลัง เจ้าจะไปตีคนมั่วซั่วไม่ได้”
สวีซื่อเจี้ยมองสืออีเหนียง สีหน้าเผยให้เห็นถึงความน้อยใจ
จุนเกอรีบเข้าไปขอโทษสวีซื่อเจี่ยน “เขายังเด็ก ไม่รู้ความ…ไม่เจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”
สวีซื่อเจี่ยนเห็นสวีซื่อเจี้ยหน้าตาหม่นหมอง แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ เลิกคิ้วแล้วพับแขนเสื้อขึ้น “เจ้ารอก่อนเถอะ ข้าจะไปพาพี่ใหญ่กับพี่สองมา เจ้าได้เห็นดีแน่”
“พี่สามอย่าโกรธ พี่สามอย่าโกรธ” ไม่ได้ทำให้สวีซื่อเจี้ยตกใจแต่อย่างใด แต่กลับเป็นจุนเกอที่ตกใจแทน เขาจับมือสวีซื่อเจี่ยนแล้วพูดเกลี่ยกล่อมว่า “พี่สามอยากได้กรงไม้ไผ่ไม่ใช่หรือ พี่สามลองไปดูไผ่เซียงเฟยของข้าดีหรือไม่ ข้ายังมีเครื่องสังคโลกสีม่วงอีกด้วย ให้พี่สามเลือกได้ตามสบาย”
จุนเกอรู้จักติดสินบนคนแล้ว!
มันเป็นนิสัยมาแต่กำเนิดหรือว่าเป็นเพราะการเลี้ยงดู?
สืออีเหนียงหัวเราะ
เมื่อสวีซื่อเจี่ยนเห็นจุนเกอเป็นกังวลก็อดหัวเราะไม่ได้
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะในห้องก็ทำให้บรรยากาศอบอุ่นและมีชีวิตชีวา
******
เมื่อถึงวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง สวีลิ่งอี๋ ไท่ฮูหยิน และสืออีเหนียงก็แต่งกายเข้าวัง สวีลิ่งอี๋ไปที่พระตำหนักเฉียนชิง ส่วนไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงไปที่พระตำหนักคุนหนิง
ด้านหน้าพระตำหนักมีเหลยกงกงเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงเขาก็รีบเดินเข้ามาคารวะ พูดเสียงเบาว่า “พระสนมเสียนเฟย พระสนมจิ้งเฟย ซ่งเจี๋ยอวี๋กับองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงอานเฉิง องค์หญิงหย่งอาน และโจวฮูหยินอยู่ด้านใน” แล้วพูดต่อว่า “เมื่อวานตอนเที่ยงฝ่าบาททรงเสวยมื้อเที่ยงที่ตำหนักหวงกุ้ยเฟย หวงกุ้ยเฟยชงชาปี้หลัวชุนถวายด้วยตัวเอง ใครจะไปรู้ว่าชานั้นร้อนเกินไปจึงลวกพระโอษฐ์ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่พอพระทัยอย่างมาก จึงไม่ได้เชิญหวงกุ้ยเฟยมาชมดอกไม้ไฟในวันนี้”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ใจเต้นแรง
อย่าว่าแต่หวงกุ้ยเฟยถวายชาให้ฝ่าบาทเลย แม้แต่ตัวเองที่ชงชาให้สวีลิ่งอี๋ยังต้องระวังอุณหภูมิของชา จะเป็นไปได้อย่างไรที่น้ำชาจะร้อนเกินไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าราชโองการได้ให้สวีลิ่งอี๋ ไท่ฮูหยิน และตัวเองเข้าวังมาชมดอกไม้ไฟโดยเฉพาะ…การกระทำของฮ่องเต้มีจุดประสงค์อะไรอย่างนั้นหรือ
นางรีบหันไปมองไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนไม่แตกต่างจากปกติ นางยัดสิ่งของบางอย่างใส่มือเหลยกงกง “ขอบคุณเหลยกงกงมาก ในอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ ลำบากเหลยกงกงแล้ว”
เหลยกงกงยิ้ม แล้วเก็บของใส่แขนเสื้อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินหย่งผิงโหวเชิญตามข้ามา” เดินนำพาพวกนางเข้าไปในห้องหน่วนเก๋อทางทิศตะวันออก
สืออีเหนียงไม่กล้าคิดมาก เดินตามหลังไท่ฮูหยินไปคารวะฮองเฮา จากนั้นก็ไปคารวะเสียนเฟยและสตรีอีกสามคน จากนั้นก็คำนับโจวฮูหยิน
“ไม่ต้องมากพิธี” สีหน้าของฮองเฮาดีกว่าครั้งก่อนมาก รอยยิ้มของนางอ่อนโยน น้ำเสียงฟังดูผ่อนคลาย ใช้น้ำเสียงสบายๆ ของสตรีสูงศักดิ์กำชับให้นางกำนัลยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินกล่าวขอบพระทัยแล้วนั่งลง
สืออีเหนียงยืนอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยิน นางลอบมองพระสนมทั้งสามที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮองเฮาด้วยความรวดเร็ว
พวกนางอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี มีส่วนเว้าส่วนโค้งและใบหน้าที่งดงาม พวกนางเพียงแค่แต่งกายให้ดูเย้ายวนและมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษอะไร ไม่สู้ฮองเฮาที่สวมมงกุฎอย่างสง่างาม ดูมีสง่าราศี
ฮองเฮาทรงตรัสถามถึงสภาพร่างกายของไท่ฮูหยินในช่วงนี้
ไท่ฮูหยินค่อยๆ ตอบทีละคำถาม
โจวฮูหยินที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงใหญ่พยายามกลั้นยิ้ม
ไม่รู้ทำไมสืออีเหนียงถึงไม่กล้าขยับตัวเอาแต่ก้มหน้า
มีนางกำนัลมารายงาน ฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวกับฮูหยินหย่งชังปั๋วมาแล้ว
ฮองเฮารับสั่งให้เข้ามา ทุกคนคำนับซึ่งกันและกัน ฮองเฮาเรียกให้นางกำนัลยกเก้าอี้จิ่นอู้มาเช่นเคย
ทั้งสองกล่าวขอบพระทัยแล้วพึ่งจะนั่งลงก็มีนางกำนัลเข้ามารายงานว่าองค์หญิงฉังหนิงมาแล้ว
คนอื่นๆ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืน ยกเว้นฮองเฮากับองค์หญิงใหญ่
สืออีเหนียงอดมองผู้มาใหม่ไม่ได้
องค์หญิงฉังหนิงดูแล้วน่าจะอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี ผิวพรรณขาวสะอาด ท่าทางดูมีสง่าราศี คิ้วและดวงตาคล้ายกับฮ่องเต้สี่ถึงห้าส่วน แม้ว่าจะแต่งกายงดงามมาก แต่ใบหน้าของนางดูตึงเครียดและเคร่งขรึม
ด้านหลังนางมีสตรีอายุราวๆ ยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี รูปร่างผอมสูง มวยผมขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ปักปิ่นสีทองฝังเม็ดทับทิม สวมเสื้อกั๊กยาวสีม่วง ใบหน้าเหลืองซีดดูหม่นหมอง ท่าทางเหมือนพึ่งหายจากอาการป่วยหนัก
องค์หญิงอานเฉิงยิ้มพลางทักทายองค์หญิงฉังหนิง “ฉังหนิง ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว ได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้าสุขภาพไม่ดี ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือ”
องค์หญิงฉังหนิงคำนับ “ขอบคุณพี่หญิงที่เป็นห่วง อากาศหนาวเย็นจึงทำให้เป็นไข้เล็กน้อย ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว” พูดพลางฝืนยิ้ม
องค์หญิงอานเฉิงมองสตรีที่อยู่ด้านหลังองค์หญิงฉังหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าทางแล้ว เจ้าซูบผอมลงไปไม่น้อย คงดูแลฉังหนิงจนเหนื่อยกระมัง”
สตรีผู้นั้นย่อเข่าคำนับ พูดพึมพำว่า “เปล่า เปล่าเพคะ…”
เมื่อองค์หญิงฉังหนิงได้ฟัง หางตาก็ดูเยือกเย็นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของสตรีนางนั้นมากนัก
“จิ่นขุย ข้าไม่ได้เห็นเจ้ามาหลายวัน” องค์หญิงใหญ่ยิ้มพลางกวักมือเรียกสตรีผู้นั้น “มาให้ข้าดูหน่อย”
สตรีที่ถูกเรียกว่าจิ่นขุยมององค์หญิงฉังหนิงด้วยความหวาดกลัว
องค์หญิงฉังหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดเสียงเข้มว่า “องค์หญิงใหญ่เรียกเจ้าแล้ว!”
“เพคะ!” นางตอบรับเสียงเบาราวกับยุง แล้วเดินขดตัวไปหาองค์หญิงใหญ่ด้วยความหวาดกลัว
องค์หญิงใหญ่จับมือนางไว้ “วันนี้แต่งตัวดูดี ลวดลายดอกเป่าเซียง เป็นแบบใหม่ของปีนี้”
จิ่นขุยใบหน้าแดงระเรื่อ พูดเสียงเบาว่า “องค์หญิงเป็นคนประทานให้เพคะ”
องค์หญิงใหญ่ยิ้มพลางพยักหน้า “ฉังหนิง เจ้าช่างดีกับสะใภ้เหลือเกิน”
สืออีเหนียงมองจิ่นขุยด้วยความประหลาดใจ
นางคิดไม่ถึงว่าภรรยาของเริ่นคุนจะเป็นเช่นนี้ ท่าทางของนางดูเคร่งขรึม เมื่อมองไปทางองค์หญิงฉังหนิงอีกครั้ง ดูท่าทางนางจะไม่ค่อยพอใจสะใภ้คนนี้มากเท่าไร
“ข้าก็มีลูกสะใภ้คนนี้เพียงคนเดียว แน่นอนว่าย่อมเห็นนางเป็นเหมือนบุตรสาว” องค์หญิงฉังหนิงมีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย เดินเข้าไปคารวะฮองเฮาและองค์หญิงใหญ่ แล้วโจวฮูหยินกับสืออีเหนียงก็เข้าไปคารวะองค์หญิงฉังหนิง
องค์หญิงฉังหนิงพยักหน้า จิ่นขุยกลับอ้าปากค้าง มองสืออีเหนียงด้วยความตกใจ
นางกำนัลยกเก้าอี้จิ่นอู้เข้ามาให้องค์หญิงฉังหนิงนั่งพอดี นางอาศัยโอกาสนี้เดินไปอยู่ข้างๆ องค์หญิงฉังหนิง ก้มหน้ายืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงฉังหนิง ใช้ผ้าม่านสีแดงข้างหลังปิดบังร่างกายผอมบาง
ทุกคนในห้องต่างก็เล่าเรื่องสนุกๆ ที่เกิดขึ้นในวันตรุษจีน พอคนหนึ่งพูดจบอีกคนหนึ่งก็พูดต่อ แต่กลับไม่มีใครพูดถึงเด็กน้อยที่พึ่งเข้ามาในสกุลสวี และไม่มีใครพูดถึงการหายตัวไปของเริ่นคุน ราวกับว่าเรื่องราวนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าจะดูเหมือนจงใจให้เป็นเช่นนี้ แต่ก็ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
ในช่วงบ่ายยามเซิน ฮองเฮาได้ประทานขนมบัวลอยให้กับทุกคน เมื่อใกล้ค่ำก็ได้เวลาแยกย้ายกัน พาทุกคนไปส่งที่ตำหนักเจียวไท่
พึ่งจะมาถึง ไทเฮาก็เสด็จมาพอดี
ทุกคนพากันเข้าไปคารวะ ขันทีได้เชิญทุกคนไปนั่งลงตามลำดับขั้นตำแหน่ง
สืออีเหนียงกับโจวฮูหยินนั่งอยู่หน้าโต๊ะยาวด้านหน้าตำหนัก
“ข้ากลัวการเข้าวังมากที่สุด” โจวฮูหยินเห็นไทเฮากำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวและฮูหยินโซ่วชังปั๋ว จึงกระซิบกับสืออีเหนียงว่า “ทุกครั้งต้องนั่งอยู่หน้าประตูตำหนัก พอเปิดผ้าม่านลมหนาวก็จะพัดเข้ามาด้านใน ทำให้คนหนาวแทบจะทนไม่ไหว อาหารที่ยกมาก็เย็นชืดไปหมด”
สืออีเหนียงกลั้นหัวเราะ นั่งอยู่หน้าโต๊ะยาวด้วยสีหน้าจริงจัง พูดเสียงเบาว่า “ใจคอพี่หญิงโจวกะจะทานอาหารในงานเลี้ยงจนอิ่มเลยหรือ”
เมื่อโจวฮูหยินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเริงร่า พูดว่า “ก็จริง” จากนั้นก็กระซิบว่า “เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าหวงกุ้ยเฟยถูกฝ่าบาทตำหนิ…”
เป็นเพราะโจวฮูหยินได้รับข่าวเร็วหรือเรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว หากเป็นเพราะเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว เช่นนั้นก็คงต้องเก็บกลับไปคิดอย่างละเอียด
“พี่หญิงโจวไปได้ยินใครพูดมาหรือ” สืออีเหนียงมีท่าทางตกใจ…
“ใครๆ ต่างก็รู้” โจวฮูหยินพูดต่อว่า “เจ้าก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านโหวของเจ้าด้วย”
บางทีการเคลื่อนไหวของวังในก็เหมือนกับทิศทางลม
สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดขอบคุณนาง มีขันทีพาคนมา ทั้งสองคนจึงรีบหยุดบทสนทนาแล้วยืดตัวนั่งตรงสายตามองตรงไปข้างหน้า เมื่อมีคนมานั่งก็ได้ยินเสียงเรียกว่า “พี่หญิงโจว” สืออีเหนียงพึ่งสังเกตเห็นว่าที่แท้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกนางคือจิ่นขุย
“น้องจิ่นขุย!” โจวฮูหยินชำเลืองมองไปที่พระที่นั่ง เห็นไทเฮากับฮองเฮานั่งอยู่ด้านข้างซ้ายขวา ทุกคนกำลังกระตือรือร้นพากันนั่งลง ไม่มีใครสังเกตเห็นนาง จึงได้ทักทายจิ่นขุยเบาๆ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับสดใสยิ่งกว่าเมื่อครู่
จิ่นขุยยิ้มอย่างเขินอาย
โจวฮูหยินชี้ไปที่สืออีเหนียงแล้วพูดเสียงเบาว่า “เจ้าคงไม่รู้จักกระมัง นี่คือฮูหยินหย่งผิงโหว!”
ทันทีที่นางพูดจบจิ่นขุยก็พูดขึ้นมาว่า “ข้ารู้ นางคือน้องสาวของสือเหนียง”
โจวฮูหยินประหลาดใจ
แต่สืออีเหนียงกลับยิ้มเจื่อนๆ
จิ่นขุยไม่พูดว่านางเป็นภรรยาของสวีลิ่งอี๋แต่กลับพูดว่านางเป็นน้องสาวของสือเหนียง เห็นได้ชัดว่านางมองความสัมพันธ์ระหว่างนางกับสืออีเหนียงในมุมมองของหวังหลัง ดูเหมือนว่าจิ่นขุยจะรู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามีของนางกับหวังหลัง
นางพยักหน้าให้จิ่นขุยด้วยท่าทางอึดอัดใจ “เริ่นฮูหยิน!”
จิ่นขุยพูดขึ้นมาว่า “ข้าเป็นคนตงหยาง เดิมแซ่เจียง”
ตงหยางกับอวี้หังอยู่ที่เจียงหนาน จะว่าไปแล้วทั้งสองก็เป็นคนบ้านเดียวกัน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ การพูดสิ่งเหล่านี้ออกไปจะมีประโยชน์อะไร หรือว่าตัวเองจะต้องรู้สึกละอายใจต่อนางเพราะเรื่องนี้ หรือว่าทั้งสองสกุลจะต้องปล่อยวางความบาดหมางเพราะเรื่องนี้
นางพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่
สืออีเหนียงพึมพำอยู่ในใจ แต่ในหัวกลับมีประกายแสงวาบขึ้นมา
ตงหยาง สกุลเจียง…ก็คือตอนที่ตัวเองได้นั่งเรือจากอวี๋หังมายังเยี่ยนจิงแล้วอู่เหนียงได้พูดถึงคนที่ได้แต่งงานกับตระกูลที่รับราชการในเยี่ยนจิงมาหลายชั่วอายุคน และยังมีไท่เฟยที่ถือกำเนิดในสกุลเจียงเมืองตงหยาง!
นางพยายามไม่แสดงท่าทีใดๆ
โลกใบนี้ช่างเล็กเสียจริง