หลิวเวยนั่งรถเข้าประตูจวน สาวรับใช้ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูไม่อยู่เล่นในจวนท่านยายหลายวันหรือเจ้าคะ”
ก่อนหน้านี้หลิวเวยเดินทางไปตระกูลฉาง แทบจะอยู่เป็นสิบวันครึ่งเดือน ท่านยายรักใคร่ ตระกูลฉางกว้างขวาง ร่ำรวย คุณหนูในตระกูลมีมาก หญิงสาวใดไม่ชื่นชอบชีวิตที่อยู่อย่างสุขสบาย
เวลานี้ไม่รู้เหตุใด อาจเพราะในเมืองมีสหายคนใหม่ อาทิเฉินตันจู อาทิองค์หญิงจินเหยา นอกจากนี้ยังมีคุณหนูหลี่เหลียน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาเหมือนพี่น้องตระกูลฉาง แต่นางไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเมื่ออยู่ในจวนคับแคบของตนเอง
อีกทั้ง เรื่องงานแต่งที่กีดขวางอยู่ระหว่างทั้งสามคนก็ถูกแก้ไขไปแล้ว ท่านพ่อและท่านแม่ไม่โต้เถียงกันอีก ระหว่างนางกับท่านพ่อก็หมดสิ้นความทุกข์ เมื่อเห็นผมของบิดาที่ขาวมากขึ้น ใบหน้าของมารดาที่มีรอยย่นมากขึ้น เมื่อนางพักอยู่ด้านนอกเป็นเวลานาน ย่อมระลึกถึงบิดามารดา
อีกทั้ง ในจวนมีพี่ชายเพิ่มขึ้นอีกคน สร้างเสริมความคึกคักมากขึ้น ถึงแม้พี่ชายผู้นี้จะเข้าศึกษาใน
กั๋วจื่อเจี้ยน ห้าวันกลับจวนมาหนึ่งครั้ง
หลิวเวยรู้สึกอยากกลับจวนอย่างกะทันหัน นางไม่อาจทนอยู่ในจวนของผู้อื่นได้อีก
เวลานี้ท่านยายในใจของนางเป็นคนของตระกูลอื่นแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยแอบไปขอพรในวัด ให้ท่านยายเป็นของนาง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิวเวยอดหัวเราะไม่ได้ หัวเราะความเด็กของตนเอง จากนั้นนึกถึงตอนที่พบเฉินตันจูครั้งแรก เฉินตันจูยื่นขนมน้ำตาลให้นาง พลางเอ่ย “บางทีเรื่องที่ท่านคิดว่าทุกข์ยากจนไม่อาจผ่านไปได้นั้น อาจไม่หนักหนาเหมือนที่ท่านคิด”
ใช่ เวลานี้นึกย้อนกลับไปถึงน้ำตาลที่เคยหลั่งไหลความโกรธแค้นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ช่างเป็นความทุกข์ที่มากเกินไป
“ท่านแม่กำลังทำสิ่งใด ท่านพ่อไปร้านยาแล้วหรือไม่” หลิวเวยพยุงมือของสาวรับใช้พลันถาม
สาวรับใช้เป็นคนเก่าแก่ที่เห็นมารดาหลิวเวยเติบโตมา เมื่อเห็นบุตรสาวระลึกถึงบิดามารดาจึงดีใจ “ล้วนอยู่ในจวนเจ้าค่ะ คุณชายจางก็อยู่เจ้าค่ะ”
หลิวเวยประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านพี่กลับมาแล้วหรือ” ฝีเท้าไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย หากแต่เดินไปทางโถงอย่างดีใจ “เรียนหนังสือไม่เห็นต้องลำบากเพียงนั้น เขาควรกลับมาบ่อยๆ กั๋วจื่อเจี้ยนจะสบายเท่าในจวนได้อย่างไร…”
นางก้าวเท้าเข้าไปภายในโถง ตะโกนเรียกขานท่านพ่อ ท่านแม่และท่านพี่…เสียงยังไม่ทันจบ นางก็พบว่าบรรยายกาศภายในห้องโถงผิดปกติ ท่านพ่อสีหน้าโกรธเคือง ท่านแม่กำลังหลั่งน้ำตา จางเหยาสีหน้าเรียบเฉย เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา จึงทักทายด้วยรอยยิ้ม “กลับมาแล้วหรือ”
หลิวจั่งกุ้ยเค้นยิ้มให้บุตรสาว มารดาของหลิวเวยเอียงหน้าซับน้ำตา “เหตุใดเจ้าจึงกลับมาแล้ว เจ้าเพิ่งไป…กินข้าวแล้วหรือไม่ ไปเถิด พวกเราไปกินข้าวทางด้านหลัง”
นางต้องการพาหลิวเวยกลับออกไป แต่หลิวเวยไม่ยอมไป เอ่ยถาม “เกิดเรื่องใดขึ้น พวกท่านอย่าปิดบังข้า”
หลิวจั่งกุ้ยไม่พูด ราวกับไม่รู้ต้องพูดสิ่งใด
มารดาของหลิวเวยถอนหายใจ “ข้าบอกแล้ว มีความเกี่ยวพันกับนางเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก ย่อมต้องมีความเดือดร้อนตามมา”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้” หลิวจั่งกุ้ยตำหนิ “นางไม่ได้ทำสิ่งใด”
มารดาของหลิวเวยขุ่นเคือง “เรื่องที่นางทำยังน้อยหรือ”
จางเหยาเรียกขานท่านป้า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง”
มารดาของหลิวเวยสะบัดแขนเสื้อ “พวกเจ้า…ข้าไม่สนแล้ว”
หลิวเวยฟังด้วยความงุนงง ถามอย่างรีบร้อน “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ นางคือผู้ใด”
“เวยเวย เรื่องนี้…” หลิวจั่งกุ้ยกำลังจะพูด
มารดาของหลิวเวยคิดจะห้ามปราม ส่งสายตาให้สามีอยู่ด้านข้าง เรื่องนี้บอกเวยเวยมีประโยชน์อันใด อีกทั้งยังจะทำให้นางเสียใจ รวมถึงหวาดกลัว…จางเหยาถูกขับไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน เสื่อมเสียชื่อเสียง อนาคตพังทลาย หากอนาคตแต่งงานไม่ได้ เขาจะกลับคำหรือไม่ การพูดเรื่องงานแต่งอีกครั้งเป็นเรื่องที่
หลิวเวยกลัวที่สุด
หลิวจั่งกุ้ยเห็นสายตาของมารดาหลิวเวย แต่เขายังคงพูดอย่างแน่วแน่ “เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังเวยเวย เรื่องในตระกูลนางควรรู้” ก่อนจะเล่าเรื่องที่จางเหยาถูกขับไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนให้นางฟัง
หลิวเวยฟังด้วยความตกตะลึงและขุ่นเคือง
“พวกเขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร!” นางตะโกน ก่อนจะวิ่งออกไป “ข้าจะไปซักถามพวกเขา!”
มารดาของหลิวเวยลุกขึ้นด้วยความรีบร้อน จางเหยารั้งหลิวเวยเอาไว้ “น้องอย่าใจร้อน อย่าใจร้อน”
หลิวเวยมองเขา ทั้งโกรธทั้งร้อนใจทั้งน้อยใจ หันหน้าไปเห็นชั้นวางตำราที่วางอยู่มุมห้อง ทันใดนั้นน้ำตาหลั่งไหลลงมา “เหลวไหลสิ้นดี รังแกคนเกินไปแล้ว น่าอับอาย”
สำหรับเรื่องนี้ นางไม่เกรงกลัวหรือกังวลว่าจางเหยาจะมีผลกระทบต่อนางหรือไม่ นางเพียงแค่รู้สึกขุ่นเคืองและไม่เป็นธรรม หลิวจั่งกุ้ยทั้งดีใจและภาคภูมิใจ บุตรสาวของเขา มีจิตใจกว้างขวาง
จางเหยาเกลี้ยกล่อมให้หลิวเวยนั่งลง พูดขึ้นอีกครั้ง “เรื่องนี้แค่บังเอิญ ประจวบเหมาะกับที่บัณฑิตผู้นั้นถูกขับไล่ เขาจึงจับจ้องข้าด้วยความโกรธแค้น ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่คุณหนูตันจูทำให้ข้าเดือดร้อน หากแต่ข้าทำให้นางเดือดร้อน”
หลิวเวยเช็ดน้ำตา “ท่านพี่พูดเช่นนี้ได้ ข้าขอบคุณท่านแทนตันจูด้วย”
หลิวจั่งกุ้ยมองจางเหยา อ้าปากก่อนจะถอนหายใจ “เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว กินข้าวก่อนเถิด”
มารดาของหลิวเวยลุกขึ้นเดินไปเรียกขานให้สาวรับใช้เตรียมอาหาร หลิวจั่งกุ้ยเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างเหม่อลอย จางเหยาและหลิวเวยรั้งท้าย หลิวเวยเรียกขานจางเหยา
“เหตุใดท่านจึงไม่อธิบายกับคนของกั๋วจื่อเจี้ยน” นางถามเสียงเบา “พวกเขาถามว่าเหตุใดท่านจึงไปมาหาสู่กับเฉินตันจู เหตุใดเฉินตันจูดีต่อท่าน เรื่องนี้อธิบายง่ายมาก เพราะว่าข้ากับคุณหนูตันจูสนิทกัน ข้าไปมาหาสู่กับคุณหนูตันจู หรือจะเป็นหญิงโฉดชายชั่วด้วย?”
จางเหยายิ้มให้นาง “เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องดึงพวกเจ้าเข้ามาด้วย”
หลิวเวยผงะ ทันใดนั้นกระจ่าง หากจางเหยาอธิบายว่าเป็นเพราะนาง เฉินตันจูจึงจับเขามารักษาโรค หลิวจั่งกุ้ยย่อมต้องเดินทางไปเป็นพยาน พวกเขาทั้งตระกูลต้องถูกซักถาม เรื่องการหมั้นของจางเหยากับนางย่อมต้องถูกพูดถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…หมั้นหมายแล้วถอนหมั้น ถึงแม้จะสมยอม แต่ย่อมต้องถูกคนวิจารณ์ลับหลัง
จางเหยาไม่ยอมให้ตระกูลของนาง รวมทั้งตัวนางถูกคนวิจารณ์ หากแบกรับภาระเช่นนี้ เขายอมไม่เอาอนาคต
ช่างโง่เขลาเสียจริง หลิวเวยตาแดงก่ำ พูดด้วยความโกรธ “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ สิ่งใดเบาสิ่งใดหนัก ท่านทำเช่นนี้ อนาคตของท่านพังทลายหมดแล้ว”
จางเหยายิ้ม ส่ายหัวเบาๆ “อันที่จริงถึงแม้ข้าพูดเรื่องนี้ก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าสวีซินแสไม่คิดจะถามสาเหตุของเรื่องตั้งแต่แรก เขาเพียงแค่ได้ยินว่าข้ารู้จักกับเฉินตันจู เขาก็ไม่คิดจะรับข้าแล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่ซักถามข้า หากแต่ไม่พูดถึงสาเหตุที่รับข้าเอาไว้ ทั้งๆ ที่จดหมายของอาจารย์ข้าเป็นเรื่องสำคัญ”
หลิวเวยผงะ ดวงตาแดงมากขึ้น “เหตุใดเขาจึง…”
“เขาอาจอยากให้ข้าปฏิเสธว่ารู้จักกับคุณหนูตันจูเสียมากกว่า” จางเหยาพูด “แต่คุณหนูตันจูมีบุญคุณกับข้า ข้าจะไม่ยอมรับว่าเป็นสหายกับนางเพื่อผลประโยชน์ของตนเองได้อย่างไร หากกระทำเช่นนี้ถึงจะมีอนาคต อนาคตนี้ข้าไม่เอาเสียดีกว่า”
น้ำตาของหลิวเวยหลั่งไหลลงมา ต้องการพูดบางสิ่งแต่ก็รู้สึกว่าไม่ต้องพูดแม้แต่น้อย
“น้องสาว” จางเหยากำชับเสียงเบา “เรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องบอกคุณหนูตันจู มิฉะนั้น นางคงรู้สึกผิด”
หลิวเวยพูดอย่างสะอึกสะอื้น “จะปิดบังได้อย่างไร”
“เหตุผลมีมากมาย ข้าสามารถพูดได้ว่า ข้าเข้าไปศึกษาหลายวันรู้สึกไม่เหมาะสมกับข้า” จางเหยาสะบัดแขนเสื้อ ทำท่าผ่าเผย “อีกทั้งไม่ได้ศึกษาเรื่องการจัดการน้ำที่ข้าชื่นชอบ อย่าได้สิ้นเปลืองเวลา ไม่เรียนเสียดีกว่า”
หลิวเวยมองดูการกระทำของเขา หลุดหัวเราะออกมา นางสูดจมูก พยักหน้าอย่างจริงจัง “ได้ พวกเราไม่บอกนาง”