เฉินอีเฟิงมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่อยากเชื่อ รอยยิ้มของนางมีเสน่ห์อย่างชั่วร้ายและขี้เล่น หญิงสาวมองคุณหนูและคุณชายด้วยสายตาเย้ยหยัน “ดูเหมือนว่างานประมูลของเวยเจ๋อจะเป็นที่นิยมมาก”
“แน่นอน” กลุ่มคนหยิ่งยโสเหล่านั้นชำเลืองมองนาง “เจ้าไม่รู้ว่าเวยเจ๋อคืออะไรใช่หรือไม่ แต่ข้าก็ไม่แปลกใจหรอก คนอย่างเจ้าคงไม่เคยเห็นอาวุธใดๆ ในเวยเจ๋อเลยด้วยซ้ำ”
ดวงตาของเฉินอีเฟิงแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น “ทำไมลูกพี่ของพวกเราจะต้องไปดูอาวุธที่เวยเจ๋อด้วย อาวุธที่เหล่าท่านปรมาจารย์สร้างขึ้นก็มีคุณภาพยอดเยี่ยมเช่นกัน”
“โธ่ คนบ้านนอกก็ยังคงเป็นคนบ้านนอกอยู่วันยังค่ำ ข้าไม่สามารถพูดคุยกับพวกเขาได้จริงๆ” คนๆ นั้นถือผ้าเช็ดหน้า “ข้าว่าแล้ว พี่สาวทั้งหลาย อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย พวกเราควรไปหาซื้อที่นั่งแถวหลังผ่านคุณหนูเจียวเอ๋อร์จะดีกว่า อย่าคิดว่าจะไปหาซื้อที่นั่งแถวหน้าเลย เพราะมันคงถูกจองหมดแล้ว”
“นั่นสิ ข้าได้ยินมาว่างานประมูลจะเริ่มขึ้นในตอนค่ำ พวกเราขอตัวไปหาคุณหนูเจียวเอ๋อร์ก่อนว่านางจะสามารถพาพวกเราเข้าไปด้านในได้หรือไม่ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
“ข้าเห็นด้วย!”
คนกลุ่มนั้นพูดคุยกันแล้วหัวเราะ ก่อนจะเดินไปทางลานสำนัก แม้แต่สองสามคนที่อยู่ล้อมรอบเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังเดินออกมาอย่างอับอาย สถานการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่ในยุคสมัยใหม่ก็ตาม
อาจเป็นเพราะลึกๆ แล้ว พวกเขาต่างก็ดูถูกเฮ่อเหลียนเวยเวย อย่างที่คนพวกนั้นพูด นางไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลใดๆ ดังนั้น ไม่ว่านางจะทำอะไร ก็จะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่คนเหล่านั้นไม่เคยคิดเลยว่า อีกไม่นาน พวกเขาจะต้องเสียใจกับความคิดนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูผู้คนที่อยู่รอบตัวนาง นอกจากเฉินอีเฟิงแล้ว ก็ยังมีเด็กสาวสองคน และเด็กหนุ่มอีกหนึ่งคน หนึ่งในเด็กสาวนั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องเลิกคิ้วขึ้น เพราะนางคือเด็กสาวที่เฮยเจ๋อหลงรักมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่กล้าที่จะสารภาพรักออกไป
น่าหลานหงเย่เห็นว่าเฮ่อเหลียเวยเวยมองนางอยู่ นางจึงมองกลับอย่างกล้าหาญ “มีอะไรหรือ”
“เจ้าสนใจจะไปกับข้าหรือไม่” แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะถาม แต่นางก็ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ปฏิเสธ นิ้วมือของหญิงสาวจับข้อมือของน่าหลานหงเย่ไว้ นางต้องรับมันเอาไว้ ว่าที่นายหญิงแห่งตระกูลเฮย ตั๋วจากเวยเจ๋อนั้นไม่มีค่าอะไรเลย และนางยังสามารถบอกให้ผู้ดูแลจางเก็บเงินจากบัญชีที่ร้านของเฮยเจ๋อได้ในภายหลัง
ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่ นางก็ยิ่งคิดว่ามันเป็นความคิดที่สุดยอดมากขึ้นเท่านั้น และรอยยิ้มของนางก็กว้างมากขึ้นเช่นกัน
“อืม” น่าหลานหงเย่ไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อน รอยยิ้มของนางทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ และนางก็มีสายตาที่ดูลึกลับ นางมักจะทำตัวเหมือนกับผู้ชาย เพราะที่บ้านของนางมีผู้ชายหลายคน นางจึงถูกเลี้ยงดูราวกับเป็นผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก
พูดกันตามตรงแล้ว นางไม่เข้าใจพวกผู้หญิงเลยจริงๆ แม้ว่านางจะเป็นผู้หญิงก็ตาม ตัวอย่างเช่น เวลากินข้าว ประเด็นการสนทนาของพวกนางก็มักจะเกี่ยวข้องกับเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่นางไม่อยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ ดังนั้น คนพวกนั้นจึงค่อยๆ ตีตัวออกห่าง เพราะนางทำตัวแปลกแยก บ้าจริง! นางก็แค่อยากจะเป็นหญิงรูปงามที่กินข้าวอย่างสงบสุขก็เท่านั้น มันยากนักหรืออย่างไร นอกจากนี้ จดหมายที่เขียนถึงเฮยเจ๋อก็ยังส่งมาหานางตลอดเวลาอีกด้วย
จดหมายเหล่านั้นส่งผลต่อการแต่งงานในอนาคตของนางอย่างมาก ทุกครั้งที่นางพูดเรื่องนี้กับเฮยเจ๋อ เขาก็จะทำเพียงแค่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย้ยหยัน และบอกให้นางส่งจดหมายเหล่านี้ไปที่จวนตระกูลเฮย นางไม่ควรไปหาเขาอีก แต่พอนางไม่ไปหาเขา เขาก็จะโกรธ และบอกว่านางใจร้ายที่ไม่นำอาหารมาให้เขาในตอนที่เขาถูกกักบริเวณ
นางรู้สึกว่าเฮยเจ๋อมีนิสัยเหมือนกับหญิงสาวเหล่านั้น ราวกับเป็นเข็มที่อยู่ก้นทะเล ยากที่จะหาเจอ และมีความรู้สึกซับซ้อนอยู่ตลอดเวลา พวกเขาช่างเข้าใจได้ยากจริงๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองใบหน้าด้านข้างของน่าหลานหงเย่ นางไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะมาอยู่เคียงข้างนางอย่างรวดเร็วเช่นนี้ นางคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบนางเพราะได้รับอิทธิพลจากเฮยเจ๋อ เรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
“ทำไมเจ้าถึงไม่ถามก่อนว่าข้าจะพาเจ้าไปที่ใด” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ใบหน้าของน่าหลานหงเย่ดูมีเสน่ห์และเฉลียวฉลาด ขณะที่นางตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ “ข้าคุ้นเคยกับเมืองหลวงดี”
“ข้าสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้” เฉินอีเฟิงยกมือขึ้น “นางรู้จักพวกเจ้ายุทธ์ท้องถิ่นทุกคน อาวุธที่พวกเขาทำก็มีพลังอย่างมาก แต่ข้าไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถูกจัดให้มาอยู่ในหอชั้นดี”
น่าหลานหงเย่มองเฉินอีเฟิงอย่างสงสัย “ทำไมเจ้าถึงรู้จักข้าดีขนาดนี้”
ใบหน้าของเฉินอีเฟิงแดงขึ้น เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาและไม่พูดจาอะไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน น่าหลานหงเย่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ที่น่ารัก ผิวของนางงดงามและอ่อนโยน และนางก็ไม่ใช่คนเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย ใครก็ตามที่มองเห็นความดีงามในตัวนาง พวกเขาก็จะต้องตกหลุมรักนางแบบโงหัวไม่ขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่ นางต้องบอกว่าเฮยเจ๋อควรจะระวังตัวเอาไว้ให้ดี มิเช่นนั้น คนรักของเขาก็อาจจะหนีไปกับคนอื่น และเขาก็จะไม่เหลือใครเลย
“เฮยเจ๋อไม่ยอมให้ข้าอยู่หอชั้นเยี่ยม เขาบอกว่าเวลาที่เห็นข้าแล้วเขาจะอารมณ์เสีย” น่าหลานหงเย่เอ่ย “อาจเป็นเพราะนิสัยของข้าที่ทำให้เขาต้องรู้สึกอับอาย มันเป็นความผิดของข้าเองที่เป็นคนเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดชะงัก ดวงตารูปหงส์เบิกกว้าง หญิงสาวกำลังปิดบังอยู่ จริงๆ แล้ว นางรู้ทุกอย่างดีกว่าใคร แต่นางแค่ไม่อยากเข้าร่วมก็เท่านั้น
“เจ้ามาที่หอสามัญของพวกเราได้ ข้าเองก็มักจะเบื่ออยู่เสมอ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงจับมือนางและเดินไปข้างหน้า พร้อมกับยิ้มให้เด็กสาวคนนั้น “นอกจากที่พวกเราตั้งใจเรียนในห้องแล้ว ก็ไม่มีความบันเทิงอื่นใดอีก”
เฉินอีเฟิง: “…”
น่าหลานหงเย่ “…”
‘ตั้งใจเรียนในห้อง’ คำห้าคำนั้นคู่ควรกับนางจริงๆ หรือ เด็กสาวที่เอาแต่นอนทั้งวัน จนเกือบจะถูกไล่ออก
“ว่าแต่ ลูกพี่ พวกเราจะไปที่ไหนกันหรือ” แม้ว่าน่าหลานหงเย่จะไม่อยากรู้ แต่คนอื่นๆ ก็อยากรู้อยู่ดี การที่พวกเขาจะออกไปที่อื่นนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างแผ่วเบา และพูดว่า “พวกเราจะไปที่เวยเจ๋อ”
—
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลังจากที่พระอาทิตย์ตก การแสดงก็เริ่มขึ้น ท้องถนนเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนต่างก็เข้ามาและจากไป การจราจรก็ติดขัดอย่างมาก มีทั้งผู้คนที่ขายขนม ขายยา และขายเครื่องสำอาง รวมถึงการทำนายและดูดวงชะตาต่างๆ มีครบทุกอย่างเลยทีเดียว
เดิมที เมืองหลวงแห่งนี้ก็เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในจักรวรรดิจ้านหลงอยู่แล้ว ที่นี่มีประชากรหนาแน่น รวมถึงอาคารที่หรูหรา และในวันนี้ ท้องถนนแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่หนาแน่นมากกว่าปกติ ทุกคนต่างเบียดเสียดกัน และรถม้าราคาแพงต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่ด้านหน้าประตูของเวยเจ๋อเพื่อรอที่จะเข้าไปด้านใน
ดูเหมือนว่ามีคนเพียงไม่กี่คนที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบจากสำนักไท่ไป๋ หากมองจากระยะไกล ก็จะเห็นประมาณหกถึงเจ็ดคน เด็กหนุ่มและเด็กสาวที่อยู่รอบข้างเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ต่างพูดคุยและหัวเราะกัน พวกเขาต่างก็หวังว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะสามารถพาพวกเขาเข้าไปด้านในกับนางได้
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะไม่รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร แต่การใช้เงินเพียงเล็กน้อยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับนาง เพราะนางเห็นว่าท่านพ่อของคนเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ในราชสำนัก ดังนั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จึงไม่ปฏิเสธ และแสดงความมีน้ำใจ นางทำตัวราวกับว่าตระกูลของนางเป็นเจ้าของเวยเจ๋อก็ไม่ปาน