‘ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ผู้จัดการส่วนตัวของคุณอูยอนคือใครเหรอคะ เป็นเด็กใหม่ที่บริษัทเลี้ยงไว้หรือเปล่า ดูสนิทกันมากเลย’
คำถามของดีไซเนอร์ที่เดินผ่านมาทำให้อีอูยอนรีบลุกขึ้นทันที แล้วเขาก็เห็นว่าคิมคังอูนั่งติดกับชเวอินซอบอย่างที่คิด
คังอู
น้ำขมๆ พุ่งขึ้นมาในลำคอทุกครั้งที่ชเวอินซอบเรียกคิมคังอูแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะกรรมการผู้จัดการคิม เขาคงได้หักคอคิมคังอูฝังภูเขาไปแล้ว
“ทรงนี้เป็นไงครับ”
ชเวอินซอบเอารูปจากนิตยสารที่ถ่ายที่ปารีสเมื่อไม่นานนี้ให้ดูพลางเอ่ยถาม
“ไม่เลวครับ”
อีอูยอนเอ่ยตอบโดยไม่มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ อินซอบทำสีหน้าท้อแท้ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ถูกใจกับทรงผมที่ตัวเองเสนอ และเริ่มค้นหารูปอีกครั้งอย่างตั้งใจ
“กระดุม”
อีอูยอนชี้ที่แผ่นอกของอินซอบ ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าตัวเองติดกระดุมผิดตั้งแต่ส่วนกลาง
“ขอโทษครับ ผมจะติดใหม่”
อีอูยอนทอดสายตามองอินซอบที่หน้าแดง และเอ่ยขอโทษแม้ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องขอโทษก็ตาม อินซอบใช้เวลาสักพักในการแกะกระดุมเม็ดหนึ่ง ตอนนั้นเองใครบางคนก็หมุนลูกบิดประตูเพื่อที่จะเปิดประตูห้องเปลี่ยนเสื้อ
“มีคนอยู่ครับ”
อีอูยอนเอ่ยตอบ อินซอบรีบขยับมืออย่างรวดเร็ว แต่ยิ่งรีบเท่าไร มือของเขาก็ไม่ยอมขยับไปตามที่ใจคิด สุดท้ายเสื้อคลุมตัวนอกที่เขาพาดไว้กับแขนก็หล่น
“ผมช่วยครับ”
“มะ ไม่ต้องครับ ผมทำดะ…ผมจะทำเองครับ”
อีอูยอนทำเป็นไม่ได้ยิน และแกะกระดุมให้ ยอดอกเล็กๆ ปรากฏออกมา ขณะที่จินตนาการว่าตนจับอินซอบนอนลงบนโต๊ะ แหวกเสื้อเชิ้ตออก และโลมเลียยอดอกของอีกฝ่าย อีอูยอนก็แกะกระดุมลงมาทีละเม็ด
อินซอบทำตัวไม่ถูก และขยับอย่างครึ่งๆ กลางๆ โดยที่ไม่สามารถเอามือขึ้นหรือลงได้
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“ขอบคุณครับ”
อินซอบก้มหัวขอบคุณ เนื่องจากเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่มาก จึงทำให้เห็นหน้าอกได้อย่างชัดเจนทุกครั้งที่ก้มหัว
“ใหญ่มากเลยนะครับ”
อีอูยอนขมวดคิ้ว
“ถ้าใส่เสื้อคลุมตัวนอกก็ไม่เป็นไรแล้วครับ”
เสื้อเชิ้ตของอีอูยอนตัดมาพอดีตัวทุกตัว เนื่องจากเสื้อเชิ้ตสำเร็จรูปไม่พอดีกับเขาเพราะไหล่ อินซอบจับชายเสื้อและเริ่มใส่เข้าไปในกางเกงเพื่ออำพรางเสื้อเชิ้ตที่ไม่พอดีตัว
อีอูยอนประเมินว่าถ้าเขาถอดกางเกงของอินซอบออก และจับขาของอีกฝ่ายอ้าออกในสภาพที่สวมแค่เสื้อเชิ้ต เขาจะเสร็จเมื่อไรก่อนจะยื่นมือออกไป
“มานี่ครับ ผมจะจับข้างหลังให้”
อีอูยอนดึงอินซอบมาด้วยน้ำเสียงสุขุมต่างกับความคิดลามกที่เกิดขึ้นในหัว เขาจับชายเสื้อเชิ้ตที่ไม่พอดี และพับอย่างเรียบร้อยก่อนจะใส่ลงไปในกางเกงให้ เนื่องจากเอวที่บาง แม้จะใส่เสื้อเชิ้ตลงไปแล้วกางเกงก็ยังไม่พอดีตัวอยู่ดี อีอูยอนข่มความต้องการที่อยากจะล้วงมือเข้าไป และแทรกผ่านช่วงล่างของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ช่วงนี้ได้กินข้าวบ้างไหมครับ”
“ครับ?”
อินซอบเบิกตาโพลงให้กับคำถามที่ไม่ทันได้คาดคิด
“ก็คุณดูเหมือนจะผอมลง”
เอวขนาดหนึ่งกำมือ หากเขาบีบมือที่กำเอวนี้ไว้ ก็เหมือนว่าเอวจะหักไปตามนั้น
“มะ ไม่รู้เหมือนกันครับ ดูเหมือนช่วงนี้จะผอมลงนิดหน่อย…ทำไมเหรอครับ”
อินซอบรู้สึกว่าสายตาของอีอูยอนหยุดอยู่ที่หน้าท้องของตนจึงเอ่ยถาม
“ยังไม่ท้องสินะครับ”
อีอูยอนพึมพำด้วยท่าทีเสียดาย
“ว่าอะไรครับ”
อินซอบถามซ้ำหลังจากสำรวจบริเวณเอวของตน เพราะคิดว่าใส่ชายเสื้อเข้าไปไม่เรียบร้อย
“ถ้าทำขนาดนั้นก็น่าจะท้องแล้วนะครับ”
“มะ หมายถึงท้องลูกน่ะเหรอครับ”
อีอูยอนตีท้องของอินซอบ ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้เข้าใจความหมายของคำที่บอกว่าท้อง
ล้อเล่นหรือเปล่า ต้องหัวเราะไหม
อินซอบครุ่นคิด และนึกถึงเรื่องลูกที่อีอูยอนพูดหลายครั้งก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“อยากมีลูกเหรอครับ”
เขาไม่เคยเห็นอีอูยอนแกล้งทำเป็นรัก หรือสนใจเด็กเลย ตอนที่ถ่ายภาพยนตร์หรือละคร เขาก็แค่ทำตัวมีมารยาทกับนักแสดงที่ร่วมแสดงด้วยเท่านั้น และไม่เคยทำมากหรือน้อยกว่านั้นเลย
แต่อินซอบคิดว่าเขาไม่ควรตัดสินอีกฝ่ายด้วยอคติ เพราะเคยมีประเด็นที่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียเพราะเรื่องแมวมาแล้ว
“เด็กเหรอครับ ใคร? ผมเหรอ”
อีอูยอนชี้ตัวเองก่อนจะถามกลับ พออินซอบพยักหน้า เขาก็กลั้นขำ
“ถ้าผมอยากได้จะคลอดให้เหรอครับ”
และเอียงคอก่อนจะเอ่ยถาม
“…ขอโทษครับ”
“ขอโทษเรื่องอะไรครับ”
“เพราะผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้…ถ้าเป็นเรื่องอื่น ผมจะทำให้ครับ”
แขนยาวๆ ของอีอูยอนถูกค้ำลงกับโต๊ะ ด้วยเหตุนั้นอินซอบก็ถูกขังอยู่ระหว่างโต๊ะกับอีอูยอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ผมอยากมีลูก”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ที่อ้อนของให้แม่ซื้อของให้ อินซอบก้มหน้าและพูดว่า “ขอโทษครับ” อีกครั้ง
อีอูยอนระลึกได้ถึงความจริงที่ว่าตัวเองสามารถมีอารมณ์ได้แม้กระทั่งกับรอยแสกผมของอินซอบ และกลั้นขำเอาไว้
เขาคิดว่าจะไม่แตะต้องอีกฝ่ายจนกว่าพิธีมอบรางวัลจะจบ และไม่คิดที่จะทำตัวอ่อนโยนกับอีกฝ่ายด้วย เขาวางแผนจะปล่อยอีกฝ่ายไว้กับความกังวลใจ
แต่พออินซอบผู้ซึ่งเอ่ยขอโทษที่มีลูกให้ไม่ได้ด้วยท่าทีเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรมาอยู่ตรงหน้า เขาก็เปลี่ยนความคิด
ขอชิมแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวจริงๆ ไม่ได้เหรอ
อีอูยอนหรี่ตาและโน้มตัวไปข้างหน้า
ตอนนั้นเอง
เขาได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูอย่างรีบร้อน อีอูยอนไม่ขยับ แต่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
“คุณนักแสดง คุณนักแสดง”
น้ำเสียงที่รีบร้อนดังตามมาติดๆ อีอูยอนขมวดคิ้วราวกับไม่พอใจและยืดตัวขึ้น อินซอบถอนหายใจเบาๆ พอเห็นสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดของอีกฝ่าย อีอูยอนก็ไม่สบอารมณ์
“คุณนักแสดง! มีเรื่องด่วนครับ!”
อีอูยอนเดินไปที่ประตูอย่างไม่มีทางเลือก พอประตูถูกเปิด คิมคังอูก็พูดโดยไม่หายใจราวกับรออยู่แล้ว
“โปรดรับโทรศัพท์จากกรรมการผู้จัดการด้วยครับ เป็นสายด่วน”
จากนั้นเขาก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ อีอูยอนรับโทรศัพท์ของคิมคังอูด้วยสีหน้าเหมือนได้ของขวัญเป็นแมลงสาบที่ถูกห่อเป็นอย่างดี
“ครับ ผมพูดอยู่ครับ”
อีอูยอนมองไปทางอินซอบในระหว่างที่คุยโทรศัพท์
[อีอูยอน! ทำไมนายไม่รับโทรศัพท์]
“ไม่ใช่ไม่รับครับ แต่ผมรับไม่ได้”
[ทำไมถึงรับมะ อ๋อ จริงด้วย เมื่อวานโทรศัพท์พังนี่นา ไอ้คนหัวร้อนเอ๊ย]
“โทรศัพท์มาพูดเรื่องความอารมณ์ร้อนของผมเหรอครับ”
อีอูยอนตั้งใจว่าถ้าโทรศัพท์มาเพื่อที่จะพูดเรื่องนั้น คุณก็จะต้องรับผิดชอบ และผมจะฝังน้องชายเมียของคุณซะพร้อมกับเอียงหัว
[ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องนั้น ดูเหมือนวันนี้นายจะไปพิธีมอบรางวัลไม่ได้แล้ว]
“เราคุยเรื่องนั้นกันจบแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ถึงชเวอินซอบจะเป็นแบบนั้น แต่กรรมการผู้จัดการคิมกลับคัดค้านการเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์คราวนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่ารูปการณ์ไม่ค่อยดี
[ยังไม่จบ ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ นายห้ามไปพิธีมอบรางวัล ห้ามโดยเด็ดขาด]
“ทำไมครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ
ถ้าเป็นเหตุผลที่ไม่สำคัญอะไร เขาจะได้ขุดหลุมสักสองหลุม
[…ข่าวลือเรื่องการคบหาดูใจของแชยอนซอหลุดน่ะ]
“คิดว่าผมไม่รู้เหรอครับถึงได้โทรศัพท์มา ถ้าความจำแย่ลงขนาดนั้นเรื่อยๆ ก็น่าจะไปโรงพยาบาลนะครับ”
อีอูยอนเดาะลิ้นราวกับสงสารจากใจจริงๆ
[ไม่ใช่นาย! กับผู้ชายคนอื่น!]
“อืม งั้นเหรอครับ”
อีอูยอนพึมพำอย่างเย็นชาก่อนจะเบนสายตาไปที่อินซอบ และมองไปที่คิมคังอูที่ยืนอยู่ข้างๆ และกำลังเกาะแกะอินซอบ
“ฮยองนิม ไม่สบายหรือเปล่าครับ หน้าแดงเชียว”
“ปะ เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
มือของคิมคังอูแตะหน้าผากของอินซอบอย่างไม่ลังเล
“ตัวอุ่นๆ หรือเปล่าครับ”
เมื่อกี้เขาน่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และหักข้อมือของไอ้หมอนี่ทิ้งไปซะ
ในระหว่างที่อีอูยอนคิดแบบนั้น น้ำเสียงที่จริงจังของกรรมการผู้จัดการคิมก็ดังอย่างต่อเนื่องจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์
[ยังไม่ได้หลุดออกมาอย่างแน่ชัดหรอก เพราะหัวหน้ากองบรรณาธิการที่ทำสกู๊ปเป็นรุ่นน้องที่บัณฑิตวิทยาลัยน่ะ ก็เลยขอให้ปิดไว้จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ กลายเป็นว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยล่ะ เพราะถูกถ่ายรูปที่เข้าไปในโรงแรมไว้ด้วย]
“โอ๊ย อีผู้หญิงไร้หัวคิด”
[เฮ้ย! ระวังคำพูดหน่อย]
กรรมการผู้จัดการคิมตกใจและร้องตะโกน อีอูยอนยักไหล่ก่อนจะตอบไปว่า “ไม่มีใครได้ยินหรอกครับ”
[…ถึงจะไม่มีหัวคิดจริงๆ ก็เถอะ]
กรรมการผู้จัดการคิมหายใจแรงก่อนจะเริ่มพูดเอะอะว่าทำแบบนี้ได้ยังไง ไม่แคร์อะไรเลยเหรอถึงได้ทำแบบนั้นในสถานการณ์แบบนี้ ไปโรงแรมเหรอ ยังมีสติดีอยู่หรือเปล่า ไม่ได้เพิ่งทำธุรกิจกันวันสองวันนะ มาทำตัวเหมือนมือสมัครเล่นแบบนี้ได้ยังไง เป็นต้น
[ถึงจะเป็นกรรมตามสนองในเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเอง แต่ภาพลักษณ์ของนายจะเป็นยังไงล่ะ]
“ภาพลักษณ์ของผมทำไมเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามราวกับพูดเรื่องคนอื่น
[ลองคิดดูสิ นายยอมทะเลาะอย่างกับหมาแบบนั้นเพราะแฟนสาว แต่แฟนสาวดันนอกใจไปกับชายอื่น คงจะดูน่าสงสารมากเลยนะ]
“น่าสงสารมากเลยเหรอครับ”
พอการคุยโทรศัพท์นานขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของอีอูยอนที่มองมาทางนี้ด้วยสีหน้าเป็นห่วงก็เข้ามาในสายตา
[แน่นอนสิ เหอะ ฉันไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่ตาของนายดูเหมือนจะมีเรื่องราวอยู่ในนั้นอย่างเปล่าประโยชน์อยู่แล้ว ก็เพิ่มเรื่องราวจริงๆ เข้าไปในนั้นเลยสิ]
อีอูยอนมองตาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกหน้าต่าง และยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะดูน่าสงสารยิ่งกว่าสุนัขไร้เจ้าของ ถ้าเขาเป็นแบบนั้น อินซอบก็น่าจะเก็บเขาไปเลี้ยงโดยไม่ลังเล
[…ขอโทษนะ ฉันอับอายมากเลย ถึงมาพูดเรื่องนี้เอาตอนนี้จะไม่มีความหมายแล้วก็เถอะ แต่ฉันคิดว่าฉันทำเกินไปเพราะความโลภของตัวเองน่ะ]
ข้อดีที่สุดของกรรมการผู้จัดการคิมคือความตรงไปตรงมา การที่คนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นยอมรับความผิดของตัวเองได้อย่างง่ายดาย เป็นคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ อีอูยอนเองก็ให้ค่ากับจุดนั้นของกรรมการผู้จัดการคิมเช่นกัน
“โชคดีนะครับที่รู้ตัว”
[…]
การยกโทษให้กับการให้ค่าที่สูงส่งเป็นเรื่องที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเขาจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เรื่อยๆ
“ชเวอินซอบรู้เรื่องนี้ไหมครับ”
เขาลดเสียงและเอ่ยถาม
ไม่มีทางรู้ เพราะถ้ารู้ อินซอบไม่มีทางเลือกทรงผมสำหรับพิธีมอบรางวัลให้อย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเรียบเฉยหรอก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะต้องยืนยันให้แน่ใจ
[ไม่ มีแค่นายที่รู้ หัวหน้าทีมชาก็ไม่รู้]
“ดีครับ อย่าพูดอะไรจนกว่าข่าวจะออกนะครับ”
ชเวอินซอบเป็นคนบังคับเขาเองเรื่องแชยอนซอ ถ้าอินซอบรู้ความจริงนี้ อีกฝ่ายจะต้องห้ามไม่ให้เขาเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลเหมือนกรรมการผู้จัดการคิมอย่างแน่นอน เขาต้องการถ้วยรางวัลมาเป็นกระดาษห่อของขวัญแสนสวยที่จะห่อหุ้มจิตใจอันดำมืดของตนให้สวยงาม
เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาอยากให้วันนี้สมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง ไม่สิ จะต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง
[เข้าใจแล้ว ฉันจะไม่บอก ยังไงวันนี้เราบอกไปว่านายป่วยอย่างกะทันหันเถอะ หรือไม่จู่ๆ ก็ล้มพับลงไปเลยก็ได้ นายแสดงเก่งอยู่แล้วนี่]
“สั่งให้คนที่ได้รับรางวัลใหญ่ใช้ความสามารถในการแสดงไปกับเรื่องแบบนั้นเหรอครับ”
[นายยังไม่ได้รับรางวัลใหญ่สักหน่อย!]
“เพราะฉะนั้นผมถึงจะไปรับไงครับ แล้วก็ห้ามติดต่อกับชเวอินซอบด้วยเรื่องนี้โดยเด็ดขาด จำใส่ใจไว้ด้วยนะครับว่าผมกำลังอยู่ใคร”
อีอูยอนที่พูดถึงตรงนั้นตะโกนราวกับจะสั่งให้ฟังว่า “คุณคังอู ผมขอน้ำหน่อยได้ไหมครับ”
“ครับ! คุณนักแสดง!”
คิมคังอูวิ่งไปทางเครื่องกรองน้ำ
[อีอูยอน นาย…!]