สาวใช้ถูกสืออู่และมั่วเหนียงตบคนละหนึ่งฉาก จากนั้นถูกพ่อบ้านสั่งให้บ่าวรับใช้โบยยี่สิบที แล้วจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร
หัวหน้าตระกูลมั่วหลบตาลง เงียบอยู่นานครู่หนึ่ง พูดขึ้น “ดูเหมือนว่าข้าต้องเจอนางด้วยตนเอง”
ทางด้านหนิงเซ่าชิงฟังรายงานจากหน่วยลับ ขมวดคิ้วเป็นปม ฟาดม้วนกระดาษในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง แม้วันนี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่ลงมือ ขอเพียงขอทานพวกนั้นกล้าเข้าใกล้นาง คนของเขา ก็จะสังหารขอทานพวกนั้นจนหมดสิ้น
เขาจะทอดทิ้งและไม่สนใจนางได้อย่างไร
เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่อาจออกหน้า หากเขาออกหน้าปกป้องนาง รังแต่จะนำพาอันตรายให้นางมากยิ่งขึ้น
โชคดี มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยทำให้ตนผิดหวังมาก่อน
คุณชายใหญ่ซูออกจากวังหลวงกลับมาที่จวนในตอนบ่าย เขาตรงไปที่ห้องของซูชี
ซูชีกำลังหยิบภาพวาดน่ารักๆ แผ่นนั้นออกมา เขาจับจ้องภาพวาดนั่น
เขานึกว่าการที่เขาไปจากนาง เขาจะค่อยๆ ลืม…
เขาอยากจะลืมหญิงสาวที่หัวเราะเสียงดัง อยากจะลืมหญิงสาวผู้สวมอาภรณ์สีฟ้า แต่ว่า…
กลับมีภาพของนางฉายในความคิดของเขาโดยไม่รู้ตัว ภาพวันนั้นในรถม้า…
เขาลูบจับคอของตนโดยไม่รู้ตัว
แววตาของเขาฉายรอยยิ้มอ่อนโยน หยิบปิ่นเงินออกมาจากอก
นี่คือปิ่นที่นางเคยปัก ตัวปิ่นมีเลือดของนาง และมีเลือดของเขา
ซูชีวางปิ่นลงบนริมฝีปาก รอยเลือดบนปิ่นเหือดแห้งแล้ว ทว่าเขายังคงสัมผัสกลิ่นของนางได้ ยังสัมผัสความร้อนของนางได้
ได้ยินว่าหนิงเซ่าชิงจะกลับเมืองหลวง ไม่รู้ว่านางตามหนิงเซ่าชิงกลับมาหรือไม่ ไม่รู้ว่านางจะถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ แล้วจะยอมถูกกลั่นแกล้งหรือไม่
ตอนคุณชายใหญ่ซูจิ่นอวี้เดินเข้ามาในห้อง ซูชีได้ยินเสียงจึงรีบเก็บปิ่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นใช้ตำราเล่มหนึ่งบังภาพวาดน่ารักแผ่นนั้น
ขณะที่ซูชีกำลังจะลุกขึ้นต้อนรับ ซูจิ่นอวี้เดินเข้ามาในห้องหนังสือแล้ว “วันนี้น้องเจ็ดช่างน่าสนใจนัก คิดไม่ถึงว่าน้องจะไม่ออกไปขี้ม้าและไม่ออกไปพบเจอมิตรสหาย แต่อยู่ในห้องหนังสือของจวน ฝึกตนดัดนิสัยเช่นนั้นหรือ” ก่อนที่คุณชายใหญ่ซูจะเดินเข้ามา ซูชีปรับรอยยิ้มบนใบหน้าแล้ว
“พี่ใหญ่มีเวลาว่างได้อย่างไรขอรับ” เขาพูดแล้วเดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกมา เชิญซูจิ่นอวี้ไปนั่งเก้าอี้ด้านล่างถัดจากโต๊ะหนังสือ ส่วนตนนั่งเก้าอี้อีกตัว
“อาลู่ ยกน้ำชามา” หลังจากสั่งอาลู่เสร็จ เขาก็หันไปยิ้มหน้าระรื่นให้ซูจิ่นอวี้ “ขี่ม้าทุกวันจนข้าเบื่อแล้ว อุตส่าห์มีเวลาว่าง ข้าจึงอยากจะดูว่ากลอนกวีที่น่าเบื่อเหล่านี้มีแรงดึงดูดใด จึงทำให้พวกหนอนหนังสือจับจ้องทั้งวัน”
ซูจิ่นอวี้ได้ยินซูชีพูดเช่นนี้ ย่อมไม่เชื่อ ทว่าเบื้องหน้าเขายังคงยิ้มแล้วพูดหยอกล้อ “แล้วเจ้าหาเจอหรือยัง”
เขาพูดแล้วลุกขึ้น อยากดูว่าซูชีอ่านตำราอะไรกันแน่ เล่นอะไรอยู่
เมื่อครู่ตอนเขาเข้ามา เขาเห็นซูชีจับบางอย่างเอาไว้ในมือทั้งยังมองราวกับเป็นของล้ำค่า เมื่อเห็นว่าเขาเดินเข้ามา ก็รีบใช้ตำราเล่มหนึ่งปิดเอาไว้
ซูชีลุกขึ้น ขวางซูจิ่นอวี้ไม่ให้เข้าใกล้โต๊ะหนังสือคล้ายตั้งใจและคล้ายไม่ตั้งใจขวาง “พี่ใหญ่หัวเราะเยาะข้าอีกแล้ว ข้าเลื่องชื่อเรื่องไม่ร่ำเรียน แล้วจะเข้าใจกลเม็ดในตำราได้อย่างไร” ซูจิ่นอวี้ยิ้มแล้วดันซูชีออกห่าง เดินเข้าไปด้านใน ยิ่งอยากปิดบัง ยิ่งต้องมีอะไรแน่นอน!
น้องชายคนนี้ของเขา เขารู้จักเป็นอย่างดี น้อยนักที่จะมีสิ่งของเข้าตาเขา อย่ามองว่าปกติชูชียิ้มหน้าระรื่นไม่สนใจสิ่งใด ทว่าความเป็นจริงเขาหัวรั้นยิ่งนัก หากมีใครเข้าตาเขา ย่อมเข้าไปในดวงใจของเขาด้วย
ความรักของเขา ไม่แปรเปลี่ยนชั่วชีวิต
นี่คือสิ่งที่ตนชื่นชมและอิจฉา ทั้งยังเป็นสิ่งที่ตนกังวล
ซูจิ่นอวี้เดินอ้อมซูชี มองไปที่ชั้นหนังสือด้านหลังโต๊ะ ทว่าเขากลับยื่นมือไปหยิบตำราเสียอย่างนั้น
ภาพวาดซูชีฉบับน่ารักประจักษ์อยู่ในสายตาของซูจิ่นอวี้
เดิมทีคิดว่าเป็นของแปลกใหม่อะไร ทว่าเมื่อเห็นซูชีหัวโตทำหน้าตาตลกๆ เขากลั้นหัวเราะไม่ไหว หัวเราะร่วนออกมา กำลังจะยื่นมือไปหยิบภาพวาดนั้นมาดูอย่างถี่ถ้วน ทว่าซูชีเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่งพับภาพวาดเก็บเข้าไปในอ้อมแขนแล้ว
ซูจิ่นอวี้เองก็ไม่ได้สนใจ ยิ้มราวกับจับชู้ได้อย่างไรอย่างนั้น “ผู้กลั่นแกล้งเจ้าคนใดวาดกัน ช่างตลกยิ่งนัก…” ซูชีหน้าเปลี่ยนสี “พี่ใหญ่ รบกวนพี่พูดจาสุภาพหน่อย”
“เจ้าปกป้องเช่นนั้นหรือ” ซูจิ่นอวี้หรี่ตาลง เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย น้องเจ็ดเคารพเขาที่เป็นพี่ใหญ่คนนี้มาโดยตลอด เขาเพียงบอกว่าคนวาดภาพนี้กลั่นแกล้งน้องเจ็ด ไม่ได้ดูถูกคนวาดเสียหน่อย น้องเจ็ดก็หน้าเปลี่ยนสี ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะครอบครองพื้นที่ในใจน้องเจ็ดไม่น้อย
แม้จะรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าเบื้องหน้าเขากลับหยอกล้อแล้วพูดอย่างผ่อนคลาย “ให้พี่ใหญ่คิดหน่อย แม้จะเป็นภาพวาดแนวพิลึก ทว่าแรงกดพู่กันบางเบา เห็นชัดว่าสตรีเป็นคนวาด แม้…แม้จะวาดน้องเจ็ดได้ ‘น่ารัก’ ยิ่งนัก ทว่าจำสีหน้าของน้องเจ็ดได้เป็นอย่างดี เห็นชัดว่าสนิทสนมสนมกับน้องเจ็ด…”
ซูชีอดไม่ได้ที่จะคิด นางสนิทสนมกับตนหรือ
ซูจิ่นอวี้ยากนักที่จะเห็นซูชีหุบยิ้มระรื่นของเขา ซูจิ่นอวี้จึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าบอกพี่ใหญ่มา คุณหนูตระกูลใด พี่ใหญ่จะไปสู่ขอให้เจ้าเอง ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูตระกูลใด ตระกูลซูของเราไปสู่ขอย่อมไม่มีวันปฏิเสธ”
น่าเสียดายที่ตอนนี้นางไม่ใช่คุณหนูตระกูลใดแล้ว แต่เป็นสตรีที่รักของผู้อื่น
แม้ซูชีจะปวดใจ ทว่าสีหน้าของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม เขายิ้มร่า คล้ายคำพูดของซูจิ่นอวี้เป็นเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น “คุณหนูอะไรกัน ไม่มีทั้งนั้น พี่ใหญ่อย่ากังวลเลยขอรับ อีกไม่กี่วัน ข้าอยากไปรายงานตัวที่ค่ายทหาร ที่นั่นเต็มไปด้วยปืนผาหน้าไม้ ที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงเกือกม้า ที่นั่นมีสุราและมีเนื้อ ที่นั่นต่างหากคือสวรรค์ของข้า”
เดิมทีคิดว่าหลังจากกลับเมืองหลวง ตนจะยอมทำตามความต้องการของพวกเขา แต่งงานให้พวกเขาสบายใจ แต่ว่า…
เขาจับแผงอกของตน ที่ตรงนี้ไม่ยินยอม ที่นี่ยังมีความปรารถนา…เขาทำไม่ได้จริงๆ ไม่อาจเผชิญหน้ากับสตรีที่ไม่รู้จัก แม้เพียงคิด เขาก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้ว
หนิงเซ่าชิงจะกลับเมืองหลวงแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็จะมาด้วย เขาหลบไปก่อนดีกว่า
ไม่ใช่ว่าไม่อยากพบเจอ อยากเจอนางจนแทบขาดใจ แต่ว่า เมื่อเจอแล้วอย่างไรเล่า…เมื่อเจอแล้ว หัวใจรังแต่จะเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม แม้ซูชีจะยิ้มแย้ม ทว่าซูจิ่นอวี้สัมผัสได้ว่าท่ามกลางรอยยิ้มนั้นคือความเจ็บปวด เขาไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม ความมุ่งมั่นที่จะจับคู่ให้ซูชีมากยิ่งขึ้น
กลับไปนั่งบนเก้าอี้ ยกถ้วยน้ำชาหอมกรุ่นที่อาลู่เพิ่งชงเสร็จขึ้นมาจิบ พูดราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น “น้องเจ็ดพูดแล้วว่า กลับเมืองหลวงครั้งนี้จะแต่งงานตามความต้องการของท่านย่า แล้วพูดว่าจะไปค่ายทหารได้อย่างไร”
“…” พวกเขาหาคู่ให้ตนนั้นเป็นเรื่องของพวกเขา อย่างมากเมื่อถึงเวลา ตนไม่กลับมาก็สิ้นเรื่อง ถึงอย่างไรแต่งงานก็แค่แต่งให้พวกเขาดูเท่านั้น
“น้องเจ็ด…” ซูจิ่นอวี้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “วันนี้พี่ใหญ่เพิ่งหาคู่ให้เจ้าคนหนึ่ง บุตรีจวนเจิ้นกั๋วกง รูปโฉมงดงาม เป็นสตรีหัวรั้น เจ้าลองไปพบเจอนาง หากถูกใจ พี่ใหญ่จะบอกท่านพ่อ แล้วขอให้ท่านย่าจัดการเรื่องนี้ให้เจ้า…”
ซูชีรำคาญเล็กน้อย “พวกท่านอยากจะแต่งงานกับใครก็แต่ง ถึงอย่างไรอีกสองวันข้าก็จะไปแล้ว”