คุณนายสี่หยุดพูดถึงเรื่องช่วยสือเหนียงทันที ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง ไปพูดถึงเรื่องของอี๋เหนียงห้ากับสืออีเหนียงแทน
“…เมื่อก่อนไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน แค่เคยได้ยินว่าอี๋เหนียงห้าไม่ค่อยสนใจคนอื่น คิดว่าอี๋เหนียงชอบอยู่คนเดียว ตอนนี้รู้จักกันแล้วถึงรู้ว่า อี๋เหนียงห้าแค่เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง แท้จริงแล้วนางใจดีกับคนอื่นมาก”
“ขอบคุณคุณนายสี่ที่ชื่นชม” สืออีเหนียงพูดกับนางอย่าอ่อนโยน “อี๋เหนียงแค่เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ตอนนี้ต้องชะตากับคุณนายสี่ ช่างถือว่าเป็นพรมลิขิตที่หาได้ยาก”
คุณนายสี่พยักหน้า นางยิ้มแล้วพูดว่า “จะว่าไปแล้ว ที่ทุกคนเข้าใจผิด บางครั้งก็แค่ไม่ยอมพูดคุยกัน บางครั้งก็ต้องไปมาหาสู่กันบ้าง”
“ใช่แล้ว…”
พวกนางสองพูดคุยหัวเราะกัน ไม่นานก็มาถึงจวนเม่ากั๋วกง
ตอนนี้ศพของหวังหลังยังอยู่ที่ศาลว่าการ สกุลหวังยังจัดงานศพไม่ได้ ยังแจ้งให้สกุลญาติๆ รู้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใส่ชุดขาว แต่ผ้าม่านและเครื่องตกแต่งสีแดงพวกนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแล้ว บ่าวรับใช้ต่างก็ใส่ชุดสีเข้ม
หลัวเจิ้นซิ่งและคนอื่นๆ ถูกผู้ดูแลต้อนรับไปที่ห้องโถง ส่วนคุณนายใหญ่ สืออีเหนียงและคุณนายสี่กลับถูกท่านป้าผู้ดูแลของสกุลหวังพาไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
“…พวกท่านอย่าได้ตกใจไปเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินข่าวนี้ก็ล้มป่วยทันที คุณนายใหญ่ก็ไม่สบาย พอดีว่าฮูหยินหกกลับมาเยี่ยมที่เมืองหลวง นางสงสารท่านพ่อท่านแม่และพี่สะใภ้ จึงช่วยดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อาจจะไม่รอบคอบสักเท่าไร พวกท่านโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”
ท่านป้าผู้ดูแลคนนั้นอายุราวสามสิบต้นๆ หน้าตาดูดี สวมเสื้อผ้าไหมสีน้ำเงิน แต่งตัวเรียบๆ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนไม่ใช่บ่าวรับใช้ของสกุลหวัง สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
ท่านป้าผู้ดูแลคนนั้นเห็นว่าสืออีเหนียงมองมาที่ตัวเอง นางก็ไม่หลบ แล้วยังยิ้มคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจ นางรู้สึกว่าท่านป้าผู้ดูแลคนนี้ดูเป็นมิตรกับนางเป็นพิเศษ
คุณนายใหญ่ก็มองออก แล้วยังเห็นว่านางพูดจาทำสิ่งใดก็พอเหมาะพอควรจึงไม่กล้าดูถูกนาง พูดด้วยความเกรงใจ “ท่านป้ามีนามว่าอันใดหรือ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว น่าจะเป็นท่านป้าคนสนิทของเจียงฮูหยิน”
“ไม่กล้าเจ้าค่ะ” ท่านป้าตอบกลับอย่างสุภาพ “บ่าวแต่งงานกับคนแซ่หยวน เป็นภรรยาของเป่าจู้ คุณนายเรียกบ่าวว่าสะใภ้หยวนเป่าจู้ก็ได้เจ้าค่ะ เพราะว่าจวนเม่ากั๋วกงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฮูหยินหกจึงให้บ่าวมาช่วยดูแลเจ้าค่ะ”
เช่นนี้ก็หมายความว่าเป็นคนของเจียงฮูหยิน ไม่แปลกที่มีท่าทีเช่นนี้
คุณนายใหญ่เข้าใจทันที “ที่แท้ก็เป็นป้าหยวน จู่ๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ใครก็รับไม่ได้ โชคดีที่เราไม่ใช่คนนอก ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
ป้าหยวนยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็พาพวกนางไปที่เรือนหลักของไท่ฮูหยิน
ทันทีที่เดินมาถึงใต้ชายคา สาวใช้ยังไม่ทันได้เปิดม่าน ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังออกมาจากในห้อง
“…คำพูดของคุณหนูใหญ่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว ก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว ท่านมาเป็นแขกของเรา เราต้องต้อนรับท่าน ที่บ้านเกิดเรื่องแต่ก็ยังมีพี่ชายน้องชายของท่านเป็นคนจัดการ คงไม่จำเป็นต้องให้คุณหนูใหญ่มาชี้นั่นชี้นี่ สกุลหวังไม่ใช่ว่าไร้ทายาท”
นางพูดอย่างไม่เกรงใจ
“ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้าพูด” หญิงอีกคนหนึ่งโต้กลับด้วยเสียงสูง “อย่าลืมนะว่านี่คือจวนเม่ากั๋วกง เม่ากั๋วกงคือท่านพ่อของข้า”
คนที่พูดคือเจียงฮูหยิน หวังหลิน
ทั้งสามกำลังค้นหาความหมายของประโยคนี้ พวกนางอดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากันแล้วยืนตกใจอยู่ที่หน้าประตู
คิดไม่ถึงว่ากระดูกของหวังหลังยังไม่ทันเย็น สกุลหวังก็เกิดความขัดแย้งกันขึ้นเสียแล้ว
ป้าหยวนคนนั้นหน้าแดง จากนั้นก็รีบตะโกนรายงานว่า “ฮูหยินหก คุณนายสกุลหลัวมาแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินหย่งผิงโหวก็มาด้วยเจ้าค่ะ”
ในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีคนมาเปิดม่าน
“เชิญเข้ามาเร็วเข้า”
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าเจียงฮูหยินเป็นคนเปิดม่านเอง
ดวงตาของนางแดงก่ำ เห็นริ้วรอยใต้ตาอย่างชัดเจน สีหน้าซีดเซียว นางฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
คุณนายใหญ่ คุณนายสี่และสืออีเหนียงชำเลืองมองกัน จากนั้นคุณนายใหญ่ก็พูดเบาๆ ว่า “ลำบากเจียงฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พาคุณนายสี่และสืออีเหนียงเดินเข้าไปข้างใน
เรือนหลักของหวังฮูหยินผู้เฒ่ามีห้าห้อง แต่ละห้องมีห้องเอ่อร์ฝัง ตรงกลางคือห้องโถง ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คน บางคนก็สวมเสื้อผ้าสง่างาม บางคนก็สวมเสื้อผ้าธรรมดา คนชรามีอายุประมาณหกสิบกว่า คนหนุ่มสาวมีอายุประมาณยี่สิบกว่า ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาเย็นชา ดูไม่ออกว่าเมื่อครู่ใครเป็นคนถกเถียงกับเจียงฮูหยิน
บรรยากาศในห้องหดหู่
เห็นว่ามีคนเดินเข้ามา บางคนมีสายตาหวาดระแวง แล้วยังมีหญิงสองสามคนที่ห่อไหล่ ท่าทางดูหวาดกลัว
เจียงฮูหยินชี้ไปยังผู้คนในห้อง “ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับน้องหลัง พวกนางมาไว้อาลัย” พูดจบนางก็ไม่แนะนำ พาพวกนางไปที่ห้องข้างในทางทิศตะวันตกทันที “ท่านแม่ไม่สบาย มาต้อนรับพวกท่านไม่ได้”
พวกนางสามคนรีบเดินตามเจียงฮูหยินเข้าไปห้องข้างใน
ในห้องไม่เหมือนนอกห้อง
ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาสมุนไพร มีสาวใช้อายุราวสิบห้าสิบหกสองคนและท่านป้าที่อายุราวห้าสิบคอยรับใช้อยู่หน้าเตียงอย่างระมัดระวัง พวกนางทั้งสามคนตาแดง สีหน้าเป็นมิตร
เมื่อเห็นเจียงฮูหยินเข้ามา พวกนางก็เดินมาคำนับด้วยท่าทีที่เคารพ
เจียงฮูหยินสะบัดมือแล้วพูดเบาๆ “ท่านแม่ดีขึ้นหรือยัง!”
ท่านป้าคนนั้นตอบกลับเบาๆ “พึ่งทานยาแล้วหลับไปเจ้าค่ะ”
เจียงฮูหยินทำสีหน้ารู้สึกผิด
คุณนายใหญ่ไม่รอให้เจียงฮูหยินพูดอะไรนางก็พูดเบาๆ ว่า“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่รบกวนดีกว่า เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าตื่นแล้วก็รบกวนท่านคารวะนางแทนพวกข้าด้วยนะเจ้าคะ”
เจียงฮูหยินครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน ข้าไปหาสือเหนียงกับพวกเจ้า จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้นางก็ไม่ค่อยสบายใจ” พูดจบ นางก็น้ำตาคลอ
พวกนางสามคนเห็นท่าทีของเจียงฮูหยิน ก็รู้สึกโล่งใจ ออกไปกับเจียงฮูหยิน เดินไปที่เรือนของสือเหนียง
*****
เรือนของสือเหนียงอยู่ตรงข้ามกับเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า เรือนหลักสามห้องดูว่างเปล่า หน้าประตูมีสาวใช้อายุราวแปดเก้าขวบยืนอยู่อย่างไม่มีชีวิตชีวา เห็นว่าเจียงฮูหยินพาคนเข้ามา นางก็รีบคำนับอย่างกระวนกระวายแล้วเข้าไปรายงาน
เมื่อพวกนางเดินเข้ามาใกล้ อิ๋นผิงก็เปิดม่านออก
“คุณหนูใหญ่ คุณนายสะใภ้ใหญ่ คุณสะใภ้นายสี่ ฮูหยิน”
“คุณนายใหญ่ของพวกเจ้า…” เจียงฮูหยินพูดเบาๆ
ตาของอิ๋นผิงพลันแดงก่ำ นางพูดเบาๆ “นั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าต่างเจ้าค่ะ”
เจียงฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ หันหน้าไปอธิบายให้พวกนางฟัง “ตั้งแต่รู้ว่าน้องหลังเกิดเรื่อง น้องสะใภ้ก็เอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าต่าง หากเสียมารยาท คุณนายทั้งสองและฮูหยินก็อย่าได้ถือสานางเลย”
สือเหนียงจะเสียใจกับการตายของหวังหลัง?
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกสับสน
แต่คุณนายใหญ่กลับพูดว่า “นางยังเด็ก เจอเรื่องแบบนี้ก็คงจะเสียใจไม่น้อย เราเป็นสกุลเดิมของนาง จะโทษนางได้เช่นไรกัน”
พวกนางสองคนพูดคุยกันสองสามประโยค แล้วเดินเข้าไปข้างใน
มีสตรีที่ผอมแห้งแรงน้อยนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง นางสวมผ้าฝ้ายสีเขียว กระโปรงผ้าไหมสีขาวพระจันทร์ นั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างอย่างเงียบๆ นิ่งงันราวกับหุ่นเชิดที่ไร้ชีวิต
จินเหลียนที่ตาแดงก่ำคอยรับใช้อยู่ข้างๆ
“คุณนายใหญ่เจ้าคะ คุณหนูใหญ่ คุณนายสะใภ้ใหญ่สกุลหลัว คุณนายสะใภ้สี่สกุลหลัวและฮูหยินหย่งผิงโหวมาหาท่านแล้วเจ้าค่ะ!”
อิ๋นผิงเดินเข้าไปรายงานอย่างระมัดระวัง
คนที่นั่งอยู่บนเตียงเตาก็หันหน้ามา
ใบหน้าของนางทั้งผอมทั้งซีด จมูกแหลม ดวงตาที่มีรอยคล้ำที่ใต้ตาดวงใหญ่ ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
สืออีเหนียงเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
นี่คือสือเหนียง? สือเหนียงที่เย่อหยิ่งราวกับนกยูงรำแพน งดงามราวกับดอกไม้ในฤดูร้อน?
“คุณหนูสิบ…” คุณนายใหญ่พูดกระอึกกระอัก
สือเหนียงปรายตามองพวกนางอย่างว่างเปล่า จากนั้นก็หันหน้ากลับไป มองตรงออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่านอกหน้าต่างมีทิวทัศน์ที่สวยงามจนทำให้นางลืมไม่ลง
“คุณนายใหญ่สกุลหลัว” จินเหลียนเดินเข้าไปคำนับนาง “สองสามวันนี้คุณนายใหญ่อารมณ์ไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปยกเก้าอี้เข้ามา “คุณนายใหญ่สกุลหลัว คุณนายสี่สกุลหลัว ฮูหยินหย่งผิงโหว คุณหนูใหญ่ เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
พวกนางสี่คนนั่งลง อิ๋นผิงและจินเหลียนก็ยกชาเข้ามา
คุณนายใหญ่เอ่ยถามอิ๋นผิงและจินเหลียนถึงเรื่องของสือเหนียง
“…ถึงแม้ว่าจะทานข้าวสามมื้อต่อวัน แต่ทานน้อยลงกว่าเดิมมากเจ้าค่ะ แล้วก็ไม่พูดไม่จา มักจะนั่งอยู่คนเดียวทั้งวัน”
ทานได้ก็ถือว่าไม่แย่!
สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ
จากนั้นทุกคนก็พูดไม่ออก ดื่มชากันอย่างเงียบๆ
เจียงฮูหยินจึงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “คุณนายทั้งสองและฮูหยินอย่าได้หัวเราะเยาะ สกุลไม่มีวาสนา ศพของน้องหลังยังไม่ได้ลงโลง คนที่อยากได้ส่วนแบ่งก็นั่งไม่ติดแล้ว” นางทำท่าทีอยากจะพูดคุยกับพวกนาง
คุณนายใหญ่เป็นห่วงสือเหนียงมากจริงๆ เห็นว่าเจียงฮูหยินพูดเช่นนี้ นางก็ไม่หลบ ถามตรงๆ ว่า “คนพวกนั้นคือใครกัน พูดอะไรกัน”
เจียงฮูหยินเห็นคนสกุลหลัวพูดเช่นนี้ นางก็รู้สึกโล่งใจ
“ตั้งแต่รุ่นของท่านปู่ก็มีทายาทแค่คนเดียวมาตลอด มาถึงรุ่นของน้องหลัง ล้วนแต่มีชุดไว้ทุกข์ตามฐานะลําดับชั้นทางเครือญาติ ปกติก็มักจะได้รับความช่วยเหลือจากท่านพ่อ ใครจะรู้ว่าพอน้องหลังเกิดเรื่องขึ้น ไม่มีใครสนใจว่าฆาตกรคือใคร น้องหลังตายอย่างยุติธรรมหรือไม่ รู้แค่แย่งชิงกันกระโดดออกมาบอกว่าตัวเองสนิทสนมกับเรามากที่สุด อยากให้ท่านพ่อเลือกพวกเขาเป็นบุตรบุญธรรม เรื่องสำคัญคือต้องเชิญกรมพิธีกรรมเขียนฎีกาให้เร็วที่สุด” นางพูดด้วยสายตาที่เฉียบแหลมราวกับลูกธนู “คนที่ศาลว่าการจับไปคือใคร คือบ่าวรับใช้ของเริ่นคุน คนชั้นต่ำอย่างเขาจะกล้าทำแบบนี้ได้เช่นไร กล้าฆ่าทายาทของจวนเม่ากั๋วกง หากไม่ใช่เริ่นคุนเป็นคนสั่งให้เขาทำ แสดงว่าเขาก็เป็นแพะรับบาป ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ฆาตกรก็คือเริ่นคุน ข้าจะปล่อยให้เขาลอยนวลได้อย่างไรเล่า”
นางกัดฟัน “คนเหล่านั้นเห็นแก่ผลประโยชน์ บอกว่าศาลว่าการตัดสินคดีแล้ว รอประหารหลังฤดูใบไม้ร่วง ไม่มีอะไรต้องสอบสวน ทำเช่นนี้เพราะกลัวว่าหากทายาทของจวนเม่ากั๋วกงไม่ใช่น้องชายของข้าแล้วก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์จากสกุลหลัก…”
พูดถึงตรงนี้ นางก็ตาแดง “แต่ว่าท่านพ่อก็หูเบา ฟังคำพูดของคนพวกนั้น กลัวว่าสกุลหวังจะเสียตำแหน่งไปเพราะไม่มีทายาท เขาตกลงที่จะเลือกบุตรบุญธรรมจากสกุลเหล่านั้น หากไม่ใช่เพราะว่าสกุลเหล่านั้นมีแผนของตัวเองอยู่แล้ว เกรงว่าฎีกาเรื่องทายาทก็คงจะไปถึงกรมพิธีตั้งนานแล้ว”
นางมองสืออีเหนียงแล้วเช็ดน้ำตา “แค่สงสารน้องสะใภ้ของข้า ต้องมาลำบากเช่นนี้…”
สืออีเหนียงกลับได้ยินกลิ่นอายอะไรบางอย่าง
นางมองไปที่คุณนายใหญ่และคุณนายสี่
คุณนายใหญ่กำลังเช็ดน้ำตากับเจียงฮูหยิน
คุณนายสี่มองมาที่นาง
สายตาของพวกนางสบกันกลางอากาศ
คุณนายสี่พยักหน้าให้สืออีเหนียงเบาๆ แล้วพูดกับเจียงฮูหยิน “ฟังจากที่คุณหนูใหญ่พูดแล้ว ท่านกั๋วกงอยากจะรับบุตรบุญธรรมจากสกุลญาติมาเลี้ยงหรือเจ้าคะ”