ในรถม้า เฝิงจือกับหร่วนจู๋เห็นเหนียงจื่อไม่พูดอะไร ก็คิดว่านางอารมณ์ไม่ดีจึงไม่กล้าพูด
รถม้าแล่นตรงมาถึงบ้านตระกูลเซี่ย เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เพิ่งเลิกเรียนกำลังแข่งขันกันอยู่ พอเห็นลู่เจียวกลับมา เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็เข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังนางทันที
“ท่านแม่บอกว่าไปรักษาผู้ป่วยที่หอยาเป่าเหอไม่ใช่หรือ”
ปกติลู่เจียวไปรักษาผู้ป่วยที่หอยาเป่าเหอก็จะอยู่กินอาหารกลางวันที่หอยาเป่าเหอ แต่กลับมากินข้าวเที่ยงเช่นวันนี้หาได้น้อยมาก ดังนั้นเด็กๆ จึงพากันแปลกใจ
ลู่เจียวไม่คิดเล่ามาก สาเหตุหลักเพราะหงุดหงิดใจ คิดถึงสี่ตระกูลใหญ่ที่จับตาดูนางอยู่ตอนนี้แล้วก็รำคาญใจ
แต่พอเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ห่วงใย นางก็ไม่อยากให้พวกลูกทั้งสี่เป็นห่วง ได้แต่ฝืนระงับอารมณ์ตนเองกล่าวกับลูกทั้งสี่ว่า “เอาละ พวกเจ้าไปเล่นกันก่อน แม่กลับไปพักผ่อนสักครู่”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่พยักหน้า เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ล้วนรู้สึกว่าวันนี้ท่านแม่อารมณ์ไม่ค่อยดี ผิดปกติมาก
สี่หนูน้อยโบกมืออย่างรู้ความ “ท่านแม่เหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ พวกเราไปเล่นก่อน”
ลู่เจียวพยักหน้าพาเฝิงจือกับหร่วนจู๋ไปเรือนด้านหลัง นอนพักสักครู่ จะได้ลองคิดเรื่องจะจัดการสี่ตระกูลใหญ่อย่างไร
เรือนด้านหน้า เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นลู่เจียวไปแล้ว ก็รีบล้อมวงหารือกัน
“วันนี้ท่านแม่ไม่เบิกบานใจ นางต้องเจอเรื่องไม่เบิกบานใจมาอย่างแน่นอน”
“พวกเราไปปลอบใจท่านแม่กัน”
เอ้อร์เป่าโกรธแค้นมาก แทบจะรีบไปเรือนด้านหลังปลอบใจท่านแม่ อยากจะกอดท่านแม่ไว้แล้วหอมแก้มท่านแม่ ท่านแม่ก็จะอารมณ์ดี
ซานเป่าส่ายหน้า “ท่านแม่มีเรื่องแต่ไม่บอกพวกเรา นางน่าจะเอาแต่บอกพวกเราว่า ไม่เป็นไร แม่แค่รู้สึกเหนื่อย”
ซื่อเป่าเลิกคิ้วเสนอว่า “หรือพวกเราให้คนไปตามท่านพ่อกลับมา ท่านพ่อต้องช่วยท่านแม่จัดการได้แน่”
คำพูดซื่อเป่าได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนูที่เหลืออีกสามคนทันที เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หันหลังวิ่งออกไปหาน้าลู่กุ้ย
“นะๆ ท่านแม่วันนี้อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ท่านน้าให้คนไปตามท่านพ่อ บอกท่านพ่อว่าท่านแม่ไม่สบายใจ นางต้องไปเจอเรื่องไม่น่ายินดีมาอย่างแน่นอน ให้ท่านพ่อกลับมาปลอบใจท่านแม่ ช่วยท่านแม่แก้ปัญหา”
ใบหน้าน้อยๆ ของต้าเป่าฉายแววเคร่งขรึมราวกับเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญอย่างมาก
ลู่กุ้ยได้ฟังต้าเป่าก็หันหลังคิดไปเรือนด้านหลังด้วยสัญชาตญาณทันที
“งั้นให้น้าไปดูท่านแม่เจ้าหน่อย”
เอ้อร์เป่ารีบยื่นมือไปดึงลู่กุ้ย กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “นี่ควรให้ท่านพ่อมาปลอบใจท่านแม่ข้า ท่านน้าไปทำอะไร”
ซานเป่า ซื่อเป่าต่างไม่พอใจเข้าไปรั้งลู่กุ้ยไว้ “น้าเล็ก ท่านทำแบบนี้ พวกเราจะโกรธแล้วนะ”
“ท่านพ่อต้องช่วยท่านแม่ได้ ท่านน้าช่วยท่านแม่ไม่ได้”
ลู่กุ้ยคิดแล้วก็รู้สึกว่าจริง สุดท้ายก็เห็นด้วย ส่งคนไปตามเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ตอนเที่ยงเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็กลับมา ลู่เจียวกำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียงคิดเรื่องจะรับมือคนสี่ตระกูลใหญ่อย่างไร
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางประตู นางหันกลับไปก็เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
พอเข้ามาก็ถามอย่างห่วงใยว่า “วันนี้เจ้าเกิดเรื่องอะไรที่หอยาเป่าเหอ”
ลู่เจียวพอได้ฟังก็ตกใจ “ทำไมเจ้ารู้ว่าเกิดเรื่องที่หอยาเป่าเหอ และทำไมเจ้ากลับมาตอนเที่ยงได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดินมาถึงข้างลู่เจียว เขานั่งลงข้างเตียงดึงลู่เจียวลุกขึ้น
“เล่ามาว่าแท้จริงเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ลู่เจียวเห็นเขาถามนางอย่างเคร่งขรึม นางก็ไม่คิดปิดบัง รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอยาเป่าเหอวันนี้ให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นฟัง
“ดูท่าตระกูลจางและตระกูลเฉาจงใจเอาข้าให้ถึงตาย เริ่มแรกก็เสิ่นซิ่ว วันนี้ก็เรื่องนี้”
พอลู่เจียวกล่าว เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็สีหน้าเยียบเย็นน่ากลัว เขากลัวที่สุดก็คือลู่เจียวเกิดเรื่อง ก่อนหน้านี้มีเรื่องเสิ่นซิ่วก็ทำให้เขาโมโหมากแล้ว เขาเริ่มให้คนสอบสองตระกูลนั้นแล้ว รอแค่สอบพบเรื่องพวกเขา หาช่องโหว่โจมตีได้ ก็จะทำให้สองตระกูลนี้จบสิ้น
คิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะลงมืออีกครั้งเร็วเพียงนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกุมมือลู่เจียวไว้แน่น “ระยะนี้ เจ้าอย่าออกไปไหน รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน”
“อืม ข้ารู้แล้ว เจ้าเองก็ต้องระวังตัว”
คนพวกนั้นวางอุบายนางไม่สำเร็จ ไม่แน่อาจหันไปทางเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ลู่เจียวคิดเช่นนี้แล้วก็รู้สึกว่าคนเหล่านี้น่ารังเกียจมาก ดังนั้นครั้งนี้นางจะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ อย่างเด็ดขาด
ลู่เจียวเงยหน้าสบแววตาเย็นเยียบเซี่ยอวิ๋นจิ่น “เซี่ยอวิ๋นจิ่น พวกเราร่วมมือกันกำจัดสี่ตระกูลใหญ่ดีไหม”
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังก็เห็นด้วยทันที “ดี พวกเราร่วมมือกันกำจัดพวกเขา มีพวกเขาอยู่ พวกเราไม่มีทางสงบสุข ไม่สู้ลงมือกำจัดพวกเขาทิ้งก่อน”
ลู่เจียวได้ฟังคำเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็พยักหน้า “ระยะนี้ข้าไม่ออกไปไหน ประการแรก ป้องกันคนทำร้ายข้า ประการที่สอง ข้าต้องอยู่บ้านคอยเฝ้ามองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ไม่ให้เกิดเรื่องแบบครั้งก่อน”
ครั้งก่อนที่เอ้อร์เป่าถูกจับตัวไป คนพวกนั้นล่อเซี่ยอวิ๋นจิ่นให้ออกไปก่อน ทำให้เข้าถึงตัวเอ้อร์เป่าได้ ตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมาทำร้ายลูกๆ พวกเขาอีก ดังนั้นจะปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำร้อยไม่ได้เป็นอันขาด
“ตกลง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้า ลู่เจียวกล่าวอีกว่า “วันหน้าให้หร่วนจู๋อยู่บ้านคอยคุ้มกันพวกเรา ส่วนเจ้าพาหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงไป เอาหร่วนไคไปด้วย จำไว้อย่าให้พวกเขาห่างจากเจ้า จะต้องคุ้มครองเจ้าให้ดี”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินลู่เจียวเป็นห่วง ในใจก็หวานล้ำอย่างไม่อาจบรรยาย ทั้งหวานล้ำทั้งอบอุ่น
จิตใจเงียบเหงามาหลายปีราวกับมีคนมาเติมเต็ม
“เจ้าวางใจ ข้าจะต้องระวังตัวเองให้ดี แต่สองสามวันนี้ ข้าวางแผนให้หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงไปสืบตระกูลใหญ่ทั้งสี่ว่าเคยทำเรื่องชั่วช้าอะไรไว้บ้าง ขอเพียงสืบมาได้ ก็จะรับมือพวกเขาได้”
ลู่เจียวพอได้ฟังก็นึกเป็นห่วง หากหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงไปสืบความ เช่นนั้นข้างกายเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็มีแค่หร่วนไคคนเดียว
ลู่เจียวเป็นห่วงจริงๆ
“เช่นนี้ข้างกายเจ้าจะเหลือแค่คนเดียว หากอีกฝ่ายมีคนมาก หร่วนไคย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้พวกเขา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวเป็นห่วง ก็รีบปลอบใจว่า “เจ้าอย่าได้เป็นห่วง ข้ายังมียาที่เจ้าปรุงให้ ยามเกิดเหตุกะทันหัน ข้าใช้ยาเป็น ย่อมไม่ปล่อยให้ตนเองเกิดเรื่อง”
ลู่เจียวส่ายหน้า “เช่นนั้นก็ไม่ได้ ”
แต่หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงทั้งสองคนเป็นคนมีความสามารถจริง ให้พวกเขาไปสืบเรื่องสี่ตระกูลใหญ่ ถือว่าสมควร
ทว่าปล่อยให้ข้างกายเซี่ยอวิ๋นจิ่นเหลือแค่หร่วนไคคนเดียว ลู่เจียวก็รู้สึกไม่วางใจ
ลู่เจียวพลันคิดถึงคนหนึ่งขึ้นมาได้ หันหน้าไปยิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ข้ามอบคนให้เจ้าคนหนึ่ง คนผู้นี้ย่อมช่วยเจ้าได้อย่างแน่นอน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียวอย่างแปลกใจ “ผู้ใด”
ลู่เจียวยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “เซียวซาน”
ทำไมนางลืมตาเฒ่าเซียวไปได้ ในนิยายว่าไว้ว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อบ้านให้จวนเซี่ยอวิ๋นจิ่น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาเป็นคนร้ายกาจอย่างมาก ตอนนี้คนผู้นี้มาอยู่กับพวกเขาแล้ว พวกเขาควรนำมาใช้งานให้เต็มที่
“ท่านอาเซียว เขาเป็นนายพราน จะช่วยพวกเราได้อย่างไร”