อีอูยอนกดปิดเครื่องโดยไม่ฟังเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธให้จบ ตอนนั้นเองชเวอินซอบก็เดินตรงเข้ามาทางนี้
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรครับ”
“แต่บอกว่าเป็นเรื่องด่วนนี่ครับ”
ดวงตากลมโตของอินซอบสั่นไหวด้วยความกังวลใจ เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้มีคำพูดต่างๆ เกิดขึ้นมากมายจากเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงตรงถนน
“เพราะเรื่องทรงผมน่ะครับ”
“ครับ?”
“เขาบอกว่าอย่าทำผมเหมือนพิธีมอบรางวัลคราวก่อนน่ะครับ”
ทรงผมในพิธีมอบรางวัลคราวก่อนมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ
“ทรงนั้นเข้ากับคุณมากเลยนะครับ…”
อินซอบเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดไปตามมารยาท
คนทั่วไปมักจะใช้คำว่าน่ารักกับทุกอย่างที่เป็นเด็ก มีขนาดเล็ก และยังไม่ถึงขั้นที่จะใช้คำว่าสวยได้เพื่อสื่อถึงความรู้สึกรักใคร่ แม้จะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ก็ตาม ก่อนรู้จักอินซอบ อีอูยอนไม่รู้เลยว่า ‘น่ารัก’ เป็นความรู้สึกแบบไหน
“งั้นทรงนี้เป็นไงครับ เสื้อผ้าก็คล้ายกับสูทที่คุณใส่อยู่ตอนนี้ด้วย แล้วผมก็จำได้ว่ากระแสตอบรับดีมาก”
อินซอบยื่นรูปที่เซฟไว้ในโทรศัพท์มือถือให้ดูด้วยสีหน้าจริงจัง เป็นรูปปกหลังที่ไม่ได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสารเมื่อไม่นานมานี้
น่ารัก
มีของแบบนั้นเก็บไว้ตอนไหนนะ
พอคิดถึงอินซอบที่ตั้งใจหารูปถ่ายในนิตยสาร อกข้างหนึ่งของเขาก็จั๊กจี้เหมือนกลืนหนอนบุ้งลงไป ความรู้สึกต่างๆ ที่ไม่สามารถมองข้ามได้ถาโถมใส่ราวกับทะลักเข้ามา
“ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ จะได้หารูปภาพจากนิตยสารเผื่อไว้มากกว่านี้หน่อย…”
เขามองชเวอินซอบที่ใช้น้ำเสียงเสียดายพึมพำกับตัวเองนิ่งๆ เขารู้สึกอยากจะล็อกประตูห้องเปลี่ยนเสื้อ แล้วถอดเสื้อเชิ้ตที่ไม่พอดีตัวนั้นออก และโลมเลียยอดอกของอีกฝ่ายจนกว่าจะบวมเป่ง
อีอูยอนเหลือบมองประตู
“คุณนักแสดง น้ำครับ”
“ขอบคุณครับ”
อีอูยอนรับแก้วน้ำมา
“ใช้โทรศัพท์เสร็จหรือยังครับ”
“ขอโทษครับ พอดีโทรศัพท์มือถือของผมเสียน่ะ ผมขอยืมวันหนึ่งได้ไหมครับ เพราะผมต้องโทรศัพท์คุยกับกรรมการผู้จัดการอีก”
ให้กรรมการผู้จัดการคิมติดต่อน้องชายของภรรยาตัวเองไม่ได้น่าจะดีกว่า
“ได้ครับ เชิญใช้ตามสบายเลยครับ แล้วค่อยเอามาคืนผม”
อีอูยอนยิ้มจนตาเป็นเส้นโค้ง และเก็บโทรศัพท์มือถือของคิมคังอูใส่กระเป๋า เขาวางแผนไว้ว่าจะหักทิ้งเป็นสองท่อนและโยนใส่ถังขยะเมื่อสบโอกาส
“ใช้ของผมก็ได้ครับ”
อินซอบรีบยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้
“ไม่ต้องครับ”
พออีอูยอนปฏิเสธ อินซอบก็ทำหน้าซึม และเก็บโทรศัพท์มือถือลงไปเหมือนเดิม
เหลือเชื่อ เขาไม่โกรธเลยสักนิด แถมยังดูสวยถึงขนาดนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
อินซอบรีบหันหน้าหนีเพราะทำตัวไม่ถูกกับสายตาที่มองมาไม่ยอมเลิกของอีอูยอน
“งะ งั้นผมจะเอาเสื้อผ้าที่คุณใส่มาไปเก็บที่รถนะครับ”
“ผมไปด้วยครับฮยองนิม”
คิมคังอูรีบเอ่ยแทรก
“เดี๋ยวค่อยเอาไปเก็บก็ได้ครับ เสื้อน่ะ ส่วนคุณคังอูช่วยลงไปเอาสูทให้ผมหน่อยได้ไหมครับ อยู่ที่รถน่ะครับ”
“ครับ ทราบแล้วครับ”
คิมคังอูรีบพยักหน้าทันทีที่อีอูยอนรบกวนตัวเองอย่างนุ่มนวล
“ส่วนคุณผู้จัดการส่วนตัว”
อีอูยอนหันหน้าไป พอสบตากันเขาก็ยื่นมือไปลูบแก้มก่อนที่อินซอบจะหลบตา
“ผมขอรบกวนเรื่องทรงผมหน่อยนะครับ”
อินซอบเผลอปัดมือของอีกฝ่ายออกอย่างไม่ตั้งใจ เขานึกถึงคำพูดที่อีอูยอนพูดเมื่อกี้และพยักหน้าเงียบๆ
“งั้นผมรบกวนที่บอกไปเมื่อสักครู่นี้ด้วยนะครับคุณคังอู”
“ครับ เข้าจะ…”
แล้วอีอูยอนก็ปิดประตูห้องแต่งตัวก่อนที่คิมคังอูจะทันได้ตอบอะไร
***
“เฮ้อ…”
อินซอบใช้มือนวดไหล่ที่ตึงเพราะการขนของพลางถอนหายใจ เมื่อเกือบสามสิบนาทีที่แล้วเขานั่งจ้องหน้ากับอีอูยอนและเลือกทรงผมให้อีกฝ่าย แม้อินซอบจะพยายามเลือกรูปให้ แต่อีอูยอนก็ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ เขาแค่มองอินซอบนิ่งๆ เท่านั้น
ในที่สุดหลังจากที่เรียกแฮร์ดีไซเนอร์มา อินซอบก็หลุดพ้นทั้งๆ ที่ยังเลือกทรงผมไม่ได้
ท่าทีของอีอูยอนซับซ้อนเกินบรรยาย ในขณะที่เหมือนจะอ่อนโยน แต่ก็มีความหยาบกระด้างที่รู้สึกได้เพียงชั่วครู่อยู่ด้วยอย่างแน่นอน ต่อให้คนอื่นไม่รู้ แต่อินซอบรู้
เขามีเรื่องที่จะพูดกับอีกฝ่ายเยอะมาก แต่ไม่สามารถเปิดปากพูดได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนั้นนอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว เขาแทบไม่ได้คุยเรื่องส่วนตัวกับอีกฝ่ายเลย
หากเขายื่นเงินค่าซ่อมรถให้อีอูยอน และเรื่องทั้งหมดนี้จบลงได้อย่างเรียบร้อยก็คงจะดี
อินซอบลูบซองเงินที่ใส่ไว้ในกระเป๋าก่อนจะ…
“…”
เขาใส่ไว้ตรงนี้แน่ๆ
เขาคิดว่าตนอาจจะสับสนฝั่งหรือเปล่า และล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าอีกฝั่ง แต่ก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรสัมผัสโดยมือของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีทาง…”
อินซอบลนลานและรื้อกระเป๋าทุกช่องของเสื้อคลุมตัวนอก
ไม่มี
เขาเสียวสันหลังวาบ แม้จะลองรื้อกระเป๋าอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ก็หาซองไม่เจอเหมือนเดิม อินซอบพยายามนึกว่าตัวเองเช็กซองเงินครั้งสุดท้ายเมื่อไร เขาเช็กตอนอยู่ที่ชั้นหนึ่งของร้านทำผม หลังจากนั้นเขาก็รับซองเอกสารมาจากคิมคังอู และใส่เอาไว้ในซองเอกสารนั้น แล้วหลังจากนั้นก็…
“…!”
เขาจำได้ว่าเสื้อคลุมตัวนอกตกลงบนพื้นในห้องเปลี่ยนเสื้อ อินซอบหันตัวและเริ่มวิ่ง
“ฮยองนิม? จะไปไหนครับ เราต้องออกเดินทางแล้วนะครับ”
คิมคังอูถือถุงสำหรับใส่เสื้อสูทและเดินออกมาจากร้านพอดี เขาเห็นอินซอบและเอ่ยถามอย่างตกใจ
“ฉัน จะ…ซอง ข้างบน…”
เขาพูดออกมาไม่ถูก ทรัพย์สินเกือบทั้งหมดของเขาอยู่ในซองนั้น เขาต้องหาให้เจอก่อนที่ใครจะเจอและเอามันไป เขากลัวการทำให้อีอูยอนผิดหวังอีกครั้งมากกว่ากลัวว่าเงินจะหายเสียอีก
“ซองอะไรเหรอครับ ใช่ซองนี้หรือเปล่าครับ”
คิมคังอูหยิบซองที่ถูกพับครึ่งไว้ออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้
“ได้ยังไง…”
“ผมเจอซองนี่ตกอยู่บนพื้นตอนที่จะเอาเสื้อของคุณนักแสดงไปเก็บน่ะครับ ก็เลยลองเปิดออกดูเผื่อๆ แล้วก็เห็นว่ามีของที่เหมือนกับตั๋ว แล้วก็สำเนาบัตรประชาชนของฮยองนิมอยู่ด้านใน แต่ผมไม่ได้เปิดซองสีขาวในนั้นออกดูนะครับ”
โชคดีมาก ทั้งเรื่องที่ไม่มีใครเก็บไป ทั้งเรื่องที่คิมคังอูเป็นคนเก็บได้ และเรื่องที่มีเอกสารแสดงตัวของเขาอยู่ในนั้นด้วย
อินซอบเปิดซองออกดู และทรุดลงนั่งกับที่เพราะความโล่งใจที่ถาโถมเข้ามา
“เฮ้ย ฮยองนิม เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
คิมคังอูตื่นตกใจและช่วยประคองเขา
“…โทษที ฉันตกใจมากน่ะ โชคดีจริงๆ”
“มีของสำคัญอะไรบางอย่างอยู่ในซองเหรอครับ”
อินซอบพยักหน้าได้อย่างยากลำบาก
“อะไรเหรอครับ”
คิมคังอูเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย อินซอบมองไปรอบๆ ก่อนจะตอบสั้นๆ
“เงิน”
“เท่าไหร่ครับ ประมาณร้อยล้านหรือเปล่าครับ ฮ่าๆๆ”
“…”
อินซอบไม่สามารถตอบอะไรได้เลย
“เฮ้ย จริงเหรอครับ มีเงินร้อยล้านอยู่ในนั้นจริงๆ เหรอครับ”
“ชู่ว์ๆ”
อินซอบรีบทำมือบอกให้เงียบ
“ทำไมตั้งร้อยล้านล่ะครับ”
“มีเรื่องที่ต้องใช้น่ะ”
อินซอบตอบคร่าวๆ เพราะไม่สามารถเล่าอย่างละเอียดได้
“เช็คเงินสดเหรอครับ ผมไม่เคยเห็นเช็คเป็นเงินร้อยล้านมาก่อนเลย ขอผมดูได้ไหมครับ”
อินซอบพยักหน้าอย่างง่ายดาย เพราะเขาต้องตรวจสอบว่าเช็คเงินสดยังอยู่ดีหรือเปล่าอยู่แล้ว พอเขาหยิบเช็คเงินสดที่อยู่ในซองสีขาวให้ดู คิมคังอูก็ร้องว้าว
“ร้อยล้านจริงๆ ด้วย ฮยองนิมเป็นเศรษฐีนี่นา”
“เป็นสมบัติเกือบทั้งหมดของฉันเลยนะ”
อินซอบยิ้มเจื่อนก่อนจะเก็บซองใส่กระเป๋าอีกครั้ง คราวนี้เขาติดกระดุมของกระเป๋าเสื้อคลุมตัวนอกไว้ด้วยเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องที่ซองจะหายอีก
“ถ้าเก็บเงินที่ทำหายได้ ต้องให้คนที่เก็บได้ 10 เปอร์เซ็นต์นะ”
คิมคังอูที่เดินไปที่ที่จอดรถเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจตนาจะแซวเล่น
“ฉันไม่รู้ ขอโทษนะ ตอนนี้ฉันไม่มีเงินแล้ว เอาไว้จะคืนให้นะ”
พอเห็นอินซอบที่เอ่ยขอโทษโดยไม่สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว คิมคังอูก็โบกมือปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมแค่พูดไปอย่างนั้นเอง 10 เปอร์เซ็นต์อะไรกันล่ะครับ”
“ไม่เอาน่า ต้องตอบแทนสิ”
“งั้นเลี้ยงข้าวสักมื้อก็พอครับ”
“ก็ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่มีของอย่างอื่นที่ต้องการแล้วเหรอ”
“อืม แฟนสาว? ช่วงนี้ผมเปล่าเปลี่ยวสุดๆ ไปเลยครับ”
“เข้าใจแล้ว จะลองหาให้นะ”
แม้จะไม่มีคนรู้จัก แต่อินซอบก็พยักหน้าโดยตั้งใจว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ด้วยการถามหาจากคนรอบตัว คิมคังอูบอกว่า “ตื่นเต้นจัง” พร้อมกับยิ้มกว้าง
“ชอบคนแบบไหนเหรอ”
“ก็ต้องชอบผู้หญิงสวยสิครับ”
“อย่างอื่นล่ะ”
“เรื่องนิสัยต้องคบกันก่อนถึงจะรู้ เพราะฉะนั้นข้าม อืม มีอะไรสำคัญอีกน้า”
คิมคังอูครุ่นคิดอย่างจริงจังและหันหน้ามา
“ฮยองนิมชอบส่วนไหนของแฟนสาวมากที่สุดเหรอครับ”
“ฉันเหรอ ฉันชอบทุกตรงเลย…”
คิมคังอูเปิดประตูรถ และเก็บถุงสำหรับใส่สูท
“โอ๊ย แบบนั้นมีที่ไหนล่ะครับ ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีส่วนที่สะดุดตาอยู่แล้ว เพื่อนผมน่ะ แค่เห็นผู้หญิงขาสวยก็ชอบแล้ว ฮยองนิมไม่มีบ้างเหรอครับ”
อินซอบเผลอตอบออกไปว่าไหล่
“ไหล่เหรอครับ”
คิมคังอูเหลียวกลับมามองด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง
“เอ่อ ก็แค่ส่วนนั้นมันดึงดูดสายตาน่ะ ก็เลย…”
เป็นเพราะได้ยินคำสรรเสริญเรื่องไหล่ของควอเตอร์แบ็กจากเจนนี่ประมาณร้อยครั้งได้ อินซอบจึงเผลอมองไหล่ทุกครั้งที่เห็นอีอูยอน
“ผู้หญิงไหล่สวย อืม ดีเหมือนกันนะครับ ถึงจะเป็นส่วนที่ไม่เคยคิดถึงเลยสักครั้งก็เถอะ งั้นผมบอกว่าคอดีไหมครับ ผู้หญิงที่มีต้นคอสวยน่ะ”
“ได้สิ ฉันจะหาให้นะ”
“เอ๊ะ กระเป๋าเดินทางนี่มันอะไร ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
คิมคังอูเห็นกระเป๋าเดินทางของอินซอบและเอ่ยถาม
“ของฉันเอง ขอโทษที เกะกะใช่ไหม”
เนื่องจากต้องขึ้นรถมาทันทีที่ออกจากโมเต็ล เขาจึงไม่สามารถหาที่เก็บได้ และเอามาเก็บไว้หลังรถ
“เปล่าครับ ไม่เป็นไร ว่าแต่จะไปเที่ยวเหรอครับ”
“ฮ่าๆ ใช่”
อินซอบหัวเราะอย่างพอเป็นพิธีแทนคำตอบ เพราะไม่สามารถอธิบายสถานการณ์ยาวๆ ได้
พอขับรถตู้ออกจากที่จอดรถมาที่ด้านหน้าของตึก อีอูยอนที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าก็เข้ามาในสายตา
“ว้าว แม้พวกผู้ชายด้วยกันพูดแบบนี้แล้วจะน่าขนลุกไปหน่อยก็ตาม แต่คุณนักแสดงเหมือนเจ้าชายที่ออกมาจากเทพนิยายเรื่องไหนสักเรื่องเลยว่าไหมครับ”
“…อื้อ”
นี่เรามีความจำเป็นที่จะต้องทุ่มเทกับทรงผมขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ว่าจะเลือกทรงไหน เขาก็น่าจะออกมาเพอร์เฟคอยู่แล้ว
“จำเป็นต้องหล่อขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
คำพูดที่เอ่ยเหมือนแซวเล่นของคิมคังอูทำให้อินซอบพึมพำด้วยสีหน้าเหม่อลอยว่า ”นั่นน่ะสิ” พอคิมคังอูจอดรถตรงทางเข้า อีอูยอนก็เดินเข้ามา อินซอบรีบลงจากที่นั่งข้างคนขับ และเปิดประตูรถให้
“ไม่ต้องทำให้ก็ได้ครับ”
”ก็วันนี้เป็นวันที่ดีนี่ครับ”
คำพูดของอินซอบทำให้อีอูยอนที่กำลังจะขึ้นรถชะงัก และยืนมองอินซอบ
“มีอะไรติดหน้าผมเหรอครับ”
อินซอบลูบแก้มที่กลายเป็นสีแดงพลางเอ่ยถาม
“ไม่มีครับ”
อีอูยอนตอบ และสายตาก็ยังคงหยุดอยู่ที่อินซอบ
“นั่นสิครับ ผมหวังว่าจะเป็นวันที่ดีนะครับ”
อีอูยอนยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่สดใสพอๆ กับท้องฟ้าที่สดใส
“…ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอนครับ”
อินซอบตอบทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ ใจของเขาเต้นเร็วจนหูอื้อ เพราะรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ไม่ได้เห็นมานาน
เขารู้สึกราวกับวันนี้เป็นวันที่ดีแล้ว