ลู่เจียวยิ้มมองเซียวซาน “ท่านอาเซียวต้องช่วยพวกเราเรื่องหนึ่ง แสดงความสามารถตนเอง พวกเราจึงจะตัดสินใจให้ท่านเป็นพ่อบ้าน”
เซียวซานพอได้ฟังก็ยืดตัวตรงขึ้นทันที “ขอเหนียงจื่อสั่งการ”
ลู่เจียวมองเซียวซานด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าท่านอาเซียวเคยได้ยินเรื่องสี่ตระกูลใหญ่อำเภอชิงเหอไหม ตอนนี้คนพวกนั้นจับตาข้ากับอวิ๋นจิ่น คนพวกนั้นคิดสังหารข้า แล้วส่งคุณหนูเจ็ดตระกูลเฉามาแต่งกับอวิ๋นจิ่น จะได้ดึงอวิ๋นจิ่นไปเป็นพวก ให้อวิ๋นจิ่นทำงานให้พวกเขา”
“ข้ากับอวิ๋นจิ่นตัดสินใจจะสู้กลับ ตอนนี้ต้องสืบให้กระจ่างว่าตระกูลใหญ่ทั้งสี่เก็บซ่อนความลับชั่วร้ายอันใดเอาไว้ รอให้สืบเรื่องพวกนี้ได้กระจ่าง พวกเราก็ค่อยวางแผนตอบโต้ ไม่รู้ว่าท่านอาเซียวจะช่วยพวกเราหาหลักฐานการกระทำผิดที่ซ่อนอยู่ของคนพวกนั้นได้หรือไม่”
พอลู่เจียวกล่าว เซียวซานก็เข้าใจภารกิจตนเอง เขาคำนับนอบน้อม “เหนียงจื่อวางใจ ข้าจะต้องทุ่มเทสุดความสามารถช่วยท่านตรวจสอบเรื่องพวกนี้ให้กระจ่าง”
เขากล่าวจบก็หันหลังออกไป
ลู่เจียวมองตามเซียวซานที่ออกไปอย่างรู้สึกเชื่อมั่นในความสามารถของเขา
คนผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้คนสนิทเซี่ยอวิ๋นจิ่นในนิยาย ย่อมต้องมีความสามารถ นางเชื่อว่าเขาต้องสืบอะไรมาได้ กอปรกับหลี่หนานเทียนอีกคน ทั้งสองคนนี้ต้องสืบเรื่องชั่วร้ายที่สี่ตระกูลใหญ่แอบทำออกมาได้แน่
ลู่เจียวห่วงว่าตนเองออกไปจะถูกคนวางอุบายทำร้าย และยังห่วงเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าระยะนี้จะไม่ออกไปทำงาน
สามโรงผลิตมอบให้จ้าวหลิงเฟิงไปจัดการ โรงบ้านที่นาก็ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวข้าว ตอนนี้ยังไม่รีบ ส่วนร้านที่นางซื้อมาใหม่ ก็มอบให้สวีเหนียงจื่อไปจัดการ
ส่วนนาง ทุกวันอยู่บ้านเป็นเพื่อนเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่รู้ว่าตนเองถูกคนจับตามอง เห็นมารดาอยู่บ้านเป็นเพื่อนพวกเขาทุกวันก็ดีใจมาก ลู่เจียวสอนหนังสือพวกเขาทุกวัน
ลู่เจียวเห็นพวกเขาสนใจเรื่องการคำนวณ ก็สอนวิธีการแบ่งสัดส่วนให้พวกเขา จะยังสอนวิธีการบวกลบ ยังคิดโจทย์มากมายให้พวกเขาทำ
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ทำโจทย์ได้รวดเร็วมา โดยเฉพาะซื่อเป่า แทบไม่ต้องคิด ความสามารถในการคำนวณในใจยอดเยี่ยมอย่างมาก พอลู่เจียวตั้งโจทย์ออกมา เขาก็คิดในใจออกมาได้ทันที
สุดท้ายวิธีการบวกลบแทบจะเป็นเขาตอบอยู่คนเดียว
เด็กคนอื่นๆ พากันลืมทำโจทย์ข้ออื่น เอาแต่จ้องมองซื่อเป่าตอบ
ซื่อเป่าเห็นลู่เจียวมองเขาก็ยิ่งทุ่มเท หากมีหาง ลู่เจียวมั่นใจว่าซื่อเป่าคงจะกระดิกหางน้อยๆ ของเขาให้นางไม่หยุด
ลู่เจียวเห็นซื่อเป่าท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู ก็อดยิ้มเอ่ยชมไม่ได้ “อืม ซื่อเป่าพวกเราคำนวณได้เก่งที่สุด ทุกคนต้องเรียนรู้จากเขาให้มากๆ”
ซื่อเป่าลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มบานเต็มใบหน้า โค้งให้ทุกคน “วันนี้ไม่เกรงใจแล้ว วันหน้าข้าจะให้เกียรติทุกคนบ้าง”
ต่อหน้าท่านแม่ เขาย่อมต้องแสดงความสามารถให้ดี ปกติเขาไม่ค่อยได้แสดงความสามารถเพราะจะทำให้เพื่อนๆ เสียหน้า
ต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่าพากันค้อนใส่เขา เชอะ รู้จักแต่ทำตัวเป็นผีน้อยไร้เดียงสาต่อหน้าท่านแม่
ซื่อเป่ากล่าวจบก็หันหน้าไปมองลู่เจียว “ท่านแม่มีรางวัลไหม”
ลู่เจียวรีบยิ้มถามเขา “เจ้าอยากได้รางวัลอะไร ลองว่ามาสิ”
สมเหตุผลก็ย่อมเห็นด้วย
ซื่อเป่ากล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ พวกเราออกไปเล่นแข่งขันกันเถอะ”
ซื่อเป่ากล่าวจบ จ้าวอวี้หลัว หูหลิงเสวี่ย หันตงเซิ่งและหันหนานเฟิงต่างก็วิ่งไปหาเอ้อร์เป่า ต่อมาแม้แต่ตู้คังกับเจิ้งเมี่ยวก็วิ่งไปหาเอ้อร์เป่า
สุดท้ายในห้องเหลือแค่ต้าเป่า ซานเป่าและเพื่อนร่วมเรียนประจำตัวของพวกเขายืนอีกฟากหนึ่ง
พอหูหลิงเสวี่ยเห็นต้าเป่ากับซานเป่ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามดูโดดเดี่ยวมาก
นางก็หันกลับวิ่งไปทางต้าเป่า กล่าวกับต้าเป่าว่า “ต้าเป่า ข้าอยู่กับเจ้าเอง”
ลู่เจียวมองเด็กๆ ตรงหน้าอย่างไร้วาจาจะกล่าว
ซื่อเป่าถลึงตาใส่จ้าวอวี้หลัวกับหันตงเซิ่งอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร ทำไมไปอยู่ข้างเอ้อร์เป่า”
จ้าวอวี้หลัวกับหันตงเซิ่งกล่าวทันทีว่า “พวกเราอยู่กับเอ้อร์เป่า”
ซื่อเป่ายู่ปากไม่พอใจ “ข้าก็อยู่กับเอ้อร์เป่า”
ครั้งก่อนเอ้อร์เป่าชนะพวกต้าเป่า ดังนั้นตอนนี้ทุกคนต่างคิดจะอยู่ฝั่งเอ้อร์เป่า
ลู่เจียวอมยิ้มมองพวกลูกทั้งสี่ในห้องเรียน “เอาละ วันนี้ไม่เล่นชักกะเย่อแล้ว วันนี้พวกเรามาเล่นกระโดดเชือกกัน แข่งกระโดดเชือกได้สามอันดับแรก ทุกคนได้รางวัลดอกไม้แดงหนึ่งดอก”
พอลู่เจียวกล่าว ซื่อเป่าก็วิ่งไปหาลู่เจียว “ท่านแม่ ดอกไม้แดงคืออะไร”
“ก็คือดอกไม้แดงที่ตัดจากกระดาษแดง เป็นรางวัล วันนี้คนไหนกระโดดได้เก่งสามอันดับแรก ก็ล้วนได้ดอกไม้แดง ไว้วันหน้าหากมีการแข่งขันอะไรอีก พวกเราก็ตั้งรางวัลดอกไม้แดง คนที่ได้ดอกไม้แดงก็เอาไปติดบนกระดาษที่ห้อง ดูว่าผู้ใดจะได้ดอกไม้แดงมากที่สุด”
พอลู่เจียวกล่าว พวกลูกทั้งสี่ก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา ความจริงดอกไม้แดงก็ไม่ใช่ของล้ำค่าอันใด ความสำคัญอยู่ที่อันดับ นี่คือรางวัล ทุกคนต่างหมายมั่นปั้นมือว่าตนเองจะได้ดอกไม้แดงมาครอง
ลู่เจียวรีบให้เฝิงจือไปหาเชือกมา นางเดินตามเด็กๆ ออกจากห้องมายังพื้นที่กิจกรรมในลานด้านนอก เตรียมการแข่งขัน
เฝิงจือหาเชือกมาได้อย่างรวดเร็ว พวกลูกทั้งสี่เตรียมกระโดดเชือก ลู่เจียวประกาศกฎการกระโดดเชือกก่อน
“ในเวลาหนึ่งก้านธูป ระหว่างนี้หยุดได้เพียงแค่สามครั้ง หากหยุดครั้งที่สี่ถือว่าออกจากการแข่งขัน คนที่กระโดดได้หนึ่งก้านธูป ผู้ใดกระโดดได้มากที่สุด ผู้นั้นก็ชนะ”
ลู่เจียวดูเชือกที่เฝิงจือเอามา ทั้งหมดสี่เส้น ลู่เจียวกล่าวว่า “แข่งครั้งละสี่คน ดูว่าผู้ใดกระโดดได้ถึงท้ายสุด ดูว่าผู้ใดกระโดดได้มากสุด เอาละ จะเริ่มแล้ว พวกเจ้าผู้ใดเริ่มก่อน”
เด็กๆ พากันหลบไปยืนหารือกันด้านข้างว่าผู้ใดจะเริ่มก่อน
คนรับใช้บ้านตระกูลเซี่ยต่างก็ตื่นตาตื่นใจ พากันวิ่งมาดู
สุดท้ายแม้แต่ฮวาเสิ่นในครัวก็วิ่งมาดูด้วย ลู่เจียวก็ปล่อยพวกเขา
สุดท้ายหารือกันเสร็จ ก็ให้ต้าเป่า เอ้อร์เป่า จ้าวอวี้หลัวกับหูหลิงเสวี่ยกระโดดก่อน
ลู่เจียวเคยสอนเด็กๆ กระโดดเชือก ดังนั้นเด็กๆ ทุกคนกระโดดเป็น แต่เพราะอายุน้อย กระโดดไม่ค่อยดี แต่ข้อกำหนดของลู่เจียวไม่มาก เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานเท่านั้น
ชุดแรก จ้าวอวี้หลัวตกรอบคนแรก เพราะนางมือเท้าไม่สอดรับกัน มือยังไม่ทันลง เท้าก็กระโดด พอเชือกตกถึงพื้น นางก็ยืนอยู่บนพื้น
จ้าวอวี้หลัวโมโหจนแทบจะร้องไห้โวยวายด้วยสัญชาตญาณ
แต่พอเอ้อร์เป่ามองมา นางก็หยุดเสียงร้องไห้ไว้ได้ ไม่ได้ร้องไห้ออกมา นางต้องเป็นเด็กผู้หญิงที่ดี เอ้อร์เป่าไม่ชอบเด็กผู้หญิงร้องไห้ แต่นางเสียใจมากอยากร้องไห้นี่
จ้าวอวี้หลัวขอบตาแดงก่ำ มองเอ้อร์เป่าอย่างน้อยใจ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ร่วงลงมา
ลู่เจียวมองนางก็รู้สึกขำ เอ้อร์เป่าจัดการนังหนูนี่จนอยู่หมัดได้อย่างไร
ลู่เจียวมองไปก็สั่งเฝิงจือไปหากระดาษแดงกับกรรไกรมา