อินซอบยืนอยู่หน้าประตูห้องพักรับรองสักพัก และควบคุมจิตใจอย่างยากลำบาก เขาจะเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานไม่ได้ และต้องวิเคราะห์สถานการณ์ก่อน
เขาเคาะประตู
“เข้ามาเลยครับ”
เขาได้ยินน้ำเสียงสุขุมของอีอูยอน พออินซอบเปิดประตูและเดินเข้าไป อีอูยอนก็หันหน้ามา
“ซื้อกาแฟมาหรือเปล่าครับ”
อินซอบหยิบกาแฟกระป๋องที่อยู่ในกระเป๋าทั้งหมดออกมา และวางลงบนโต๊ะ
“เพราะผมไม่รู้น่ะครับว่าคุณชอบอะไร”
อีอูยอนพูดว่า “ผมจะดื่มอย่างดีเลยครับ” และหยิบกาแฟกระป๋องหนึ่งจากกาแฟกระป๋องทั้งหมดไป อินซอบจ้องมองอีกฝ่ายที่เป็นแบบนั้นเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปาก
“คุณอูยอน”
“ครับ”
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“อะไรเหรอครับ”
อีอูยอนเปิดกระป๋องด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางเอ่ยถาม
“ผมได้ยินที่คุณคุยกับกรรมการผู้จัดการคิมน่ะครับ”
อีอูยอนที่กำลังเอากาแฟมาแตะปากชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ ดูเหมือนเขาจะไม่ถูกใจทรงผมของผมคราวนี้น่ะครับ”
อีอูยอนยิ้มก่อนจะดื่มกาแฟเข้าไปอึกหนึ่ง รอยยิ้มที่เหมือนจะมีกลิ่นกาแฟลอยออกมาถูกประดับไว้บนริมฝีปากของเขา แต่กลับไม่ได้ดูอารมณ์ดีเลยสักนิด
“ผมรู้แล้วครับ ว่าเป็นเรื่องข่าวคุณแชยอนซอ…”
อินซอบซ่อนมือที่สั่นเทาไว้ข้างหลัง และรอคอยคำตอบของอีอูยอน
เขารอแล้วรอเล่าให้อีอูยอนปฏิเสธทุกอย่างว่า “กรรมการผู้จัดการคิมไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนั้น เขาแค่เข้าใจผิด และเรื่องที่คุณอินซอบได้ยินก็เป็นเรื่องไร้สาระ”
“ใครบอกเหรอครับ”
เสียงหัวเราะของอีอูยอนถูกกดให้ต่ำ
หนทางข้างหน้าของอินซอบพร่าเลือน เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่ถามว่าได้ยินเรื่องนั้นมาจากไหนก่อน
“…ผมได้ยินมาจากนักข่าวที่รู้จักครับ”
อินซอบกุเรื่องขึ้นมาลวกๆ เนื่องจากมีเรื่องที่พวกนักข่าวต้องติดต่อผู้จัดการส่วนตัวเพื่อตรวจสอบเนื้อหาของข่าวบ้างอยู่แล้ว เขาไม่อยากจะทำให้อีกฝ่ายที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วอารมณ์เสียขึ้นอีกด้วยการพูดชื่อของคังยองโมออกมาโดยไม่จำเป็น
“อย่างนั้นเองสินะครับ”
อีอูยอนตอบรับสั้นๆ และหลุบตามองด้านล่าง อินซอบรู้ว่าเขากำลังแสดงความลำบากใจอย่างที่ไม่ค่อยมีให้เห็นออกมา
“ไม่ต้องสนใจหรอกครับ”
อีอูยอนวางกาแฟกระป๋องลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้น
“ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
อีอูยอนติดกระดุมเสื้อสูท อินซอบจ้องมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายและยืนอยู่กับที่โดยไม่พูดอะไร เขารู้สึกเหมือนกำลังมองนักแสดงที่แสดงอยู่ในหน้าจอทีวี
“…ไม่ใช่เรื่องใหญ่เหรอครับ”
พออินซอบพึมพำอย่างเหม่อลอย อีอูยอนก็เดาะลิ้นเบาๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เพราะแบบนี้ไงครับผมเลยไม่อยากพูด”
“…”
“วันดีๆ แบบนี้ แล้วนี่มันอะไรกันครับ ทำให้เสียบรรยากาศเปล่าๆ”
น้ำตาของอินซอบแทบจะไหล
ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอะไรสำหรับคนคนนี้ได้จริงๆ สินะ
“รูป…มีรูปจริงๆ เหรอครับ”
ถ้ามีรูปจริงๆ ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว เขาต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์หลังจากนี้ทุกรูปแบบ แม้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ถ้ามีรูปที่เดินเข้าออกโรงแรมออกมาก็ต้องวุ่นวายอย่างแน่นอน
แม้สมองเขาจะคิดอย่างนั้น แต่ความเศร้ากลับถาโถมเข้ามาไม่หยุด
“เพราะมีถึงได้เป็นแบบนั้นไงครับ”
“…”
หน้าของอินซอบซีดเผือด
เขานึกถึงเรื่องของยุนอารึมที่เห็นข่าวการแต่งงานของผู้ชายที่ตัวเองคบอยู่ผ่านข่าว การที่เรารู้ก่อนที่ข่าวจะออกถือเป็นเรื่องโชคดีหรือเปล่านะ
ตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูพร้อมกับคำพูดที่ว่า ‘คุณอีอูยอนรบกวนเตรียมตัวด้วยครับ’ ก็ดังมาจากด้านนอก
อีอูยอนถอนหายใจก่อนจะลูบผมที่กระเซอะกระเซิงของอินซอบขึ้นไป
“คุณก็รู้นี่ครับว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในแวดวงนี้”
แม้จะเป็นเสียงที่นุ่มนวล แต่เขากลับได้ยินเหมือนถูกต่อว่าอย่างรุนแรง เขาจึงทั้งอายและเศร้า อินซอบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้
“คุณอินซอบ”
ตอนที่อีอูยอนเอ่ยเรียกอินซอบ เสียงเคาะประตูอย่างรีบเร่งก็ดังมาจากด้านนอกอีกครั้ง
“ไว้ผมจะกลับมาคุยด้วยนะครับ เพราะผมก็มีเรื่องที่อยากคุยกับคุณอินซอบอยู่แล้ว”
“…”
อินซอบพยายามจะตอบ แต่เสียงกลับไม่ออกมา เสียงเคาะประตูกับเสียงของสตาฟที่ตามหาอีอูยอนดังอย่างต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง
พิธีมอบรางวัลเป็นการถ่ายทอดสด ถ้าไม่ออกไปตอนนี้ ก็จะเป็นปัญหาในการออกอากาศ
“เดี๋ยวผมกลับมา รอนะครับ”
อีอูยอนเชยคางของอินซอบขึ้นและกดจูบลงไปเบาๆ จากนั้นเขาก็ออกจากห้องพักรับรองไป อินซอบทอดสายตามองประตูที่อีกฝ่ายเดินออกไปนิ่งๆ
เขาเอามือขึ้นมาแตะริมฝีปาก สัมผัสที่ดูจะไม่เป็นความจริงยังคงหลงเหลืออยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายจูบปากเขาอย่างอ่อนโยนก่อนหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน
ตอนนั้นเองเสียงแจ้งเตือนข้อความก็ดังมาจากโทรศัพท์ที่เขาใส่ไว้ในกระเป๋า อินซอบหยิบโทรศัพท์ออกมาโดยอัตโนมัติ และอ่านข้อความ
ยุนอารึมนั่นเอง
[เขาบอกว่ามีข่าวที่กำลังรอปล่อยอยู่ค่ะ แต่ฉันไม่ได้ถามถึงเนื้อหา ถ้าคุณต้องการ ให้ฉันถามให้ไหมคะ หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะคะ]
‘ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะ…’
อินซอบที่กำลังขยับนิ้วกัดริมฝีปาก เขาควรจะตอบว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ต้องเป็นห่วง แต่กลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้
ทำไมอีอูยอนถึงไปโรงแรมกับแชยอนซอล่ะ แล้วทำไมเราต้องบังคับให้อีอูยอนเป็นข่าวกับผู้หญิงคนนั้นด้วย …แล้วทำไมเรื่องทั้งหมดนี้ถึงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรสำหรับอีกฝ่ายล่ะ
ถ้าอีอูยอนบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด แม้ข่าวจะถูกปล่อยออกมา เขาก็จะเชื่อ แต่อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะแสดงความตั้งใจที่จะโกหกให้เห็นเลย เขาแค่ปลอบใจตนว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในแวดวงนี้เท่านั้น
อินซอบกำโทรศัพท์มือถือเอาไว้และก้มหน้า
แล้วน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ทะลักออกมา
***
“ความรักในฤดูใบไม้ผลิ ลัลลาลา”
คิมคังอูที่ฮัมเนื้อร้องให้ตรงกับเพลงที่ดังออกมาจากวิทยุเหยียดตัวนอนไปด้านหลังก่อนจะมองนาฬิกา เขาต้องรออีกประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมงกว่าที่งานจะจบ
“เราไม่น่าให้เขายืมโทรศัพท์มือถือไปหรือเปล่านะ”
เขารู้สึกเบื่อนิดหน่อย แม้จะลองเปลี่ยนคลื่นวิทยุ และพลิกตัวไปมาแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม
ไปเล่นเกมสนุกๆ สักตาที่ร้านเกมแล้วค่อยกลับมาดีไหม
แต่ตอนนั้นเองเขาก็นึกถึงคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่ห้ามไม่ให้ออกไปจากรถ ให้รออยู่ตลอดเวลา เพราะอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้ คิมคังอูจึงจิ๊ปากก่อนจะหลับตาลง และฮัมเพลงอีกครั้ง
พอคิดถึงจำนวนเงินที่ถูกใส่ไว้ในบัญชี คิมคังอูก็ร้องเพลงออกมาโดยอัตโนมัติ เขาคิดว่าจะไม่บอกพี่สาว และลาพักการเรียนต่อในเทอมหน้าอีกเทอมดีไหม แล้วก็ส่ายหน้าทันที
นี่เป็นงานที่ได้ค่าตอบแทนดีมากเมื่อเทียบกับแรงงานที่ใช้ และส่งเสริมสุขภาพสายตาเป็นอย่างมาก รวมไปถึงพวกพี่เขยก็ให้เงินค่าขนม และเลี้ยงข้าวทุกครั้งที่เจอกันด้วย แต่เขากลับไม่อยากจะทำต่อ เพราะอีอูยอนน่ากลัว
เป็นเรื่องที่แปลก อีกฝ่ายไม่ได้ขึ้นเสียง หรือใช้ความรุนแรง หรือบีบบังคับตนเลยแม้แต่น้อย อีกอย่างอีอูยอนก็ไม่เคยแม้แต่จะใช้คำพูดอย่างเป็นกันเองกับตนเลยสักคะ…
“อ๊าก!”
คิมคังอูตกใจ และเด้งตัวขึ้นมา ใครบางคนใช้มือเคาะกระจกรถดัง ปัก เขารีบเปิดกระจกรถลง
อีอูยอนนั่นเอง
“มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”
เนื่องจากพิธีมอบรางวัลกำลังดำเนินอยู่ในช่วงสำคัญ คิมคังอูจึงไม่สามารถซ่อนความสงสัยไว้ได้ และเอ่ยถาม
“อยู่ไหน”
คิมคังอูไม่เชื่อหูของตัวเองในครั้งแรก อีอูยอนกำลังพูดอย่างไม่เป็นทางการกับตน
“ครับ? หมายถึงอะไรเหรอครับ”
“ฉันถามว่าชเวอินซอบอยู่ที่ไหน!”
คิมคังอูสะดุ้ง นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่อีอูยอนขึ้นเสียงใส่เขา
“ผะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าฮยองนิมไปหนะ…”
อีอูยอนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้ ในนั้นมีข้อความที่ได้รับจากอินซอบปรากฏอยู่
[ผมฝากซองไว้ที่คังอูนะครับ]
อีอูยอนไม่ได้คิดว่าซองอะไรในตอนแรกที่ได้รับข้อความ แต่คิดว่าทำไมถึงฝากไว้ที่คิมคังอูต่างหาก ไม่ว่าจะลองคิดอย่างไร เขาก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด สุดท้ายเขาก็ขอตัวออกมาในระหว่างงานพิธีมอบรางวัล และวิ่งไปที่ห้องพักรับรอง แต่เขาก็ไม่เจอตัวชเวอินซอบ และโทรศัพท์มือถือของอินซอบก็ปิดเครื่องอยู่ เขาจึงค้นทุกซอกทุกมุมของที่จอดรถชั้นใต้ดิน และเจอคิมคังอูในที่สุด
“อ๋อ ซอง”
คิมคังอูหยิบซองออกมาจากกระเป๋า และยื่นให้อีอูยอน อีอูยอนฉวยซองไปราวกับแย่ง ภายในซองนั้นมีเช็คเงินสดกับกระดาษที่เขียนโน้ตสั้นๆ แนบเอาไว้
[นี่เป็นค่าซ่อมรถครับ ถ้าไม่พอผมจะส่งมาให้เพิ่มนะครับ ps – ขอให้สุขภาพแข็งแรงและมีความสุขครับ]
แม้เขาจะพิจารณาด้านหลังของกระดาษด้วย เพราะคิดว่าอาจจะมีข้อความอื่นเขียนไว้เพิ่มก็ได้ แต่มันก็มีเพียงเท่านั้น อีอูยอนแสร้งหัวเราะ
“คุณอินซอบได้บอกอะไรไว้ไหมครับ”
“ครับ?”
คิมคังอูถามกลับพร้อมกับรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ในใจ โชคดีที่คำพูดอย่างเป็นกันเองถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นคำพูดสุภาพแล้ว
“ฉันถามว่าเขาได้บอกอะไรไว้ไหมก่อนจะทิ้งไอ้นี่ไว้! มีค*ยปักอยู่ในรูหูเหรอไอ้เหี้ย? ทำไมถึงฟังที่พูดไม่รู้เรื่องวะ!”
คิมคังอูแทบจะร้องไห้ คราวนี้นอกจากคำพูดอย่างเป็นกันเองแล้ว ยังมีคำด่าเพิ่มเข้ามาด้วย แม้จะหันไปมองรอบๆ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นการซ่อนกล้องถ่ายทำหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่เห็นกล้อง หรือสตาฟเลย
“คะ แค่ทิ้งไว้ให้เฉยๆ ครับ…แล้วก็บอกว่าเสร็จงานพิธีมอบรางวัลแล้วค่อยให้”
“เหี้ยเอ๊ย”
อีอูยอนพ่นคำด่าพร้อมกับเสยผมขึ้น คิมคังอูยังไม่สามารถทิ้งสมมติฐานเรื่องการซ่อนกล้องได้ เพราะมันเหมือนกับฉากฉากหนึ่งในภาพยนตร์มาก
“แล้วได้พูดอย่างอื่นไหม”
แต่ตอนที่สบตากับอีอูยอนที่จ้องเขม็ง สมมติฐานนั้นก็ล้มเหลวทันที
“ยะ อย่างอื่น…”
เขาต้องคิดอะไรสักอย่าง ทำแบบนั้นถึงจะมีชีวิตรอดได้ คิมคังอูรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ และตั้งใจนึกถึงภาพของอินซอบที่เห็นครั้งสุดท้าย
“เขาสั่งให้เอาซองให้ แล้วก็…อ๋อ ใช่แล้ว เหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลยครับ ผมถามเขาว่ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า เพราะสีหน้าของเขาหมองนิดหน่อย แล้วเสียงก็ไม่ค่อยมีแรงด้วย”
“แล้วไม่สบายตรงไหน?”
อีอูยอนจับหน้าต่างรถไว้แน่นและถามอย่างร้อนรน คิมคังอูส่ายหน้า
“เปล่าครับ เขาบอกว่าไม่ได้ป่วย แล้วก็บอกว่าต้องกลับก่อน เพราะมีธุระด่วนเท่านั้นเองครับ”
“แล้วไอ้ธุระด่วนเหี้ยนั่นคืออะไรล่ะวะ!”
ดูเหมือนความกระวนกระวายใจจะทำให้อีอูยอนขาดสติไปแล้ว ชเวอินซอบไม่ใช่คนที่จะหายไปอย่างไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ และต่อให้มีธุระด่วนจริงๆ อีกฝ่ายก็จะต้องอธิบายและขออนุญาตจากตนก่อน
“มะ ไม่รู้ครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
คิมคังอูตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ อีอูยอนใช้ฝ่ามือกดหน้าผากแน่น ความจริงที่ว่าไอ้โง่นี่เป็นคนสุดท้ายที่ได้เห็นอินซอบทำให้ความโกรธของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาจนเหมือนหัวจะระเบิด
ตอนนั้นเองพนักงานส่งของก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาตรงหน้ารถตู้ เขาตรวจสอบเลขทะเบียนรถก่อนจะถอดหมวกกันน็อกออก
“มาส่งของครับ ช่วยเซ็นรับด้วยครับ”
คิมคังอูรีบลงจากที่นั่งคนขับรถ เขาเซ็นชื่อและรับช่อดอกไม้มา พนักงานส่งของที่จำอีอูยอนได้เหลือบมองเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อีอูยอนไม่ยอมสบตาด้วย หลังจากพนักงานส่งของจากไปแล้ว คิมคังอูก็ยื่นช่อดอกไม้ให้อีอูยอนด้วยมือที่สั่นเทา
“…ฮยองนิมฝากให้มอบให้ครับ”
อีอูยอนจ้องคิมคังอูด้วยสีหน้าที่เหมือนจะถามว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกันอีก
“ฮยองนิมบอกว่าตั้งใจจะมอบให้เองกับมือหลังพิธีมอบรางวัลจบ แต่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถมอบให้ได้ ขะ ขอโทษนะครับที่เพิ่งมานึกออกตอนนี้…”
ช่อดอกไม้ที่ทำจากดอกไฮเดรนเยียสีฟ้ากับกุหลาบจูเลียตสีขาวเป็นการรวมกันของสีที่นึกถึงเสื้อผ้าที่อีอูยอนสวมใส่ในวันนี้ ช่างเป็นความคิดที่สมกับเป็นชเวอินซอบมากๆ อีอูยอนหัวเราะพลางรับช่อดอกไม้มา
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ”
พออีอูยอนเริ่มหัวเราะ คิมคังอูวางใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนพอรับช่อดอกไม้ไปแล้วเขาจะอารมณ์ดีขะ…
“แม่ง!”
อีอูยอนฟาดช่อดอกไม้ที่ถืออยู่ในมือลงกับกระโปรงหน้ารถ และดอกไม้ก็หล่นกระจายไปทั่วทิศทาง คิมคังอูรู้สึกหวาดผวากับภาพของอีอูยอนที่ทำให้ฉากที่น่ากลัวและรุนแรงกลายเป็นการถ่ายนิตยสารไปได้จากใจจริง และในขณะเดียวกันเขาก็ได้รู้ซึ้งถึงคำพูดที่พี่เขยคนแรกเคยพูดเอาไว้ว่าหมายความว่าอะไร
‘ตอนที่เห็นอีอูยอนน่ะ ฉันไม่คิดว่าการหล่อมากๆ จะเป็นเรื่องดีหรอกนะ’