ตอนที่ 246 ข้อเสนอจากผู้อำนวยการเขต
ทุกคนสอบถามนายช่างจางว่าต้องจ่ายเงินเท่าไรสำหรับการทำรถขายข้าวโพดปิ้ง
นายช่างตอบไปว่า “25 หยวน”
หลายคนรู้สึกว่าราคานี้ค่อนข้างแพง “มันน่าจะถูกกว่านี้นะ รถนี่ทำจากแผ่นเหล็กไม่กี่ชิ้น ยี่สิบห้าหยวนแพงไปหรือเปล่า แค่สิบห้าหยวนก็น่าจะได้แล้ว”
แม้นายช่างจางจะไม่ใช่คนช่างเจรจา แต่เรื่องราคาก็ยังไว้ใจได้
ไม่ว่าจะถูกหว่านล้อมอย่างไร เขาก็จะตอบกลับไปเสมอว่า “25 เท่านั้นลดไม่ได้แล้ว”
เพื่อนบ้านที่ต้องการรถปิ้งข้าวโพดจะพูดอย่างไรก็เปล่าประโยชน์
ในท้ายที่สุดพวกเขาก็เสนอว่า “พวกเรารวมตัวกันสั่งซื้อตั้งหลายคัน ขอราคาส่งก็ยังดีนะ”
นายช่างจางเลยเริ่มเสนอราคาใหม่ “งั้นให้คันละ 24 หยวน”
เมื่อเห็นว่าช่างเริ่มใจอ่อนก็เลยต่อราคาเพิ่มอีก “ลดแค่หยวนเดียวเองน้อยไป ซัก 20 ได้ไหม”
“ยี่สิบสี่เท่านั้น ลดได้เท่านี้”
เหล่าเจ้าของร้านต่อรองกับนายช่างอยู่นาน ในที่สุดก็ได้ลดราคาเพิ่มอีก 1 หยวน ซื้อขายกันในราคา 23 หยวน
เจ้าของร้านมากกว่า 20 ร้านต้องการซื้อรถปิ้งข้าวโพดของนายช่างจาง
คำนวณคร่าว ๆ ในใจก็คือสามารถทำกำไรได้มากกว่า 200 จากการซื้อขายครั้งนี้ นั่นทำให้เขามีความสุขมาก
สองวันต่อมาก็เกิดข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่บ้าน ว่าคนที่ไปรายงานเรื่องการขายข้าวโพดของหลินม่ายคือชุนซิ่ง
เพราะหล่อนอยากจะซื้อข้าวโพดจากหลินม่ายแต่ถูกปฏิเสธ เลยแอบไปฟ้องสำนักงานเขตเพื่อแก้แค้น
ข่าวลือนั้นดังสนั่นจนเจ้าของร้านอาหารหลายคนเชื่อตาม ๆ กัน
มีคนจงใจไปที่หน้าร้านของหล่อนเพื่อต่อว่าโดยการใช้คำพูดกระทบกระเทียบ
ชุนซิ่งโกรธมาก แต่ก็ไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ พวกเขาไม่ได้เอ่ยชื่อเธอออกมาตรง ๆ เพียงแค่พูดจากระทบมาเท่านั้น
โจวฉายอวิ๋นและคนอื่น ๆ ในร้านเองก็เกลียดชังชุนซิ่งเช่นกัน และด่าว่าหล่อนไปสองครั้งระหว่างทำงาน
หลินม่ายได้ยินเข้าก็เตือนไปว่าอย่าไปพูดแบบนั้นอีก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเพิ่มมาโดยไม่จำเป็น
โจวฉายอวิ๋นเป็นคนแรกที่เริ่มเถียง “ม่ายจื่อ ไม่เห็นว่าเธอจะต้องกลัวอะไรเลย ยัยชุนซิ่งน่ากลัวตรงไหนกัน ยัยนั่นมาหาเรื่องเรา ทำไมไม่ยอมให้เราด่ากลับซักหน่อย”
วังเสี่ยวลี่เข้าใจที่หลินม่ายต้องการจะสื่อ “เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้กลัวยัยนั่น แต่แค่กลัวว่าเราจะไปว่าคนผิด แล้วเข้าทางแผนของคนร้ายตัวจริงมากกว่า คนคนนั้นคงจะแอบหัวเราะเยาะเราเอาได้”
หลินม่ายพยักหน้า “ใช่”
นั่นทำให้โจวฉายอวิ๋นและคนอื่น ๆ เริ่มพากันคาดเดาว่ามีใครบ้างที่น่าจะเป็นคนไปรายงานเขตได้
ชื่อของป้าหูผุดเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายเองก็สงสัยว่าจะเป็นหล่อน
หลังผู้อำนวยการเขตกลับไปวันนั้น เพื่อนบ้านหลายคนก็ช่วยกันวิเคราะห์ว่าใครเป็นคนรายงานเรื่องนี้
ทั้งป้าหูและชุนซิ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ป้าหูกลับนิ่งเงียบไม่ได้ตอบโต้ ถือว่าผิดปกติมากสำหรับคนแบบนั้น
คนที่ไม่เคยยอมใคร พร้อมมีเรื่องได้ตลอดแบบป้าหู ถ้าแผนที่วางไว้ผิดพลาด ต้องมีปากเสียงกันแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่หลินม่ายสงสัยเธอ
แถมป้าหูยังมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ชุนซิ่งเคยตะโกนเสียงดังว่าป้าหูยุยงให้เธอไปฟ้องเขต เรื่องคราวนั้นยังไม่ทันได้แก้แค้น ไม่มีทางที่หล่อนจะอยู่เฉย
ถ้าป้าหูไปแอบรายงานแล้วใส่ร้ายชุนซิ่งก็เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว จัดการได้ทั้งเธอและชุนซิ่งในคราวเดียว
ถึงหลินม่ายจะเดาแบบนั้น แต่ก็เป็นแค่การคาดเดา ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน เธอจะไม่ด่วนสรุปถ้าไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้
รู้ตัวอีกทีก็ถึงวันที่ต้องไปตัดไหมที่แผลบนหน้าผากแล้ว
หลังจากกินมื้อเที่ยง คุณหมอฟางก็พาเธอไปที่โรงพยาบาลและลงมือตัดไหมให้เองกับมือ
การเอาไหมออกจากแผลจะทำให้เจ็บมาก ไม่แพ้ตอนเย็บเลย
แต่หลินม่ายได้กลิ่นกายของคุณหมอที่ใกล้ชิดมาก ๆ สายตามองไปที่หน้าอกแกร่งในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาสวมอยู่ ก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดลดลงไปมาก
ฟางจั๋วหรานเอาไหมออกหมดแล้วก็มองไปที่ใบหน้าของหลินม่ายอยู่นาน นึกหงุดหงิดในใจ
ถ้าเขาเป็นคนเย็บแผลให้เธอเอง ก็คงจะไม่เหลือรอยแผลเป็นใหญ่ขนาดนี้เอาไว้
หลินม่ายมองรอยแผลยาวหนึ่งนิ้วที่อยู่บนหน้าผากผ่านกระจกเงาแล้วเอ่ยอย่างเฉย ๆ “ยังไงก็มีหน้าม้ามาบังอยู่แล้ว ไม่มีใครเห็นหรอก ไม่มีผลอะไรกับฉันเลย”
“ตอนนี้คุณยังเด็กก็ยังไว้ผมหน้าม้าได้ แล้วตอนอายุสี่สิบจะยังอยากไว้หน้าม้าอยู่อีกเหรอ ถึงตอนนั้นผมทรงนี้คงไม่เหมาะแล้ว แล้วก็จะมีรอยแผลเป็นที่ส่งผลต่อหน้าตาอยู่อีก”
หลินม่ายโบกมือไปมา “แก่ขนาดนั้นใครจะมาสนใจหน้าตากันอีก”
คุณหมอฟางไม่ได้ตอบอะไรแต่อยู่ในความรู้สึกผิด
เขาต้องไปทำงานต่อ ส่วนหลินม่ายก็กลับไปที่ร้านเพียงลำพัง
โจวฉายอวิ๋นรีบเข้ามาบอกว่าผู้อำนวยการเขตให้คนมาแจ้งเธอว่าให้เธอไปพบเขาที่สำนักงานในช่วงบ่าย เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย
หลินม่ายหันหลังกลับไปที่สำนักงานเขต
อาจจะเพราะผู้อำนวยการบอกเอาไว้ก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่จึงถามเพียงชื่อของเธอแล้วปล่อยให้หญิงสาวเข้าไปข้างใน
เมื่อเข้าไปในห้องก็พบว่าผู้อำนวยการยังคงต้องรับเธออย่างเป็นมิตรไม่ต่างจากที่เคยพบกัน
เขาเชิญเธอให้นั่งลงด้วยรอยยิ้ม แล้วเริ่มเข้าเรื่อง “ตอนนี้มีระบบที่ดินแบบใหม่สำหรับชนบทแล้ว ไม่ได้เป็นระบบรวมแบบเดิม นอกจากจะส่งให้ส่วนกลางแล้ว ยังสามารถเอาผลผลิตออกมาขายเองได้ด้วย ทำให้ชาวไร่ชาวนาเริ่มขายผลผลิตของตัวเองได้ง่าย ไก่ เป็ด สัตว์ปีกต่าง ๆ ก็เอาไปขายที่ตลาดมืดกันหมด”
หลินม่ายแอบตำหนิในใจที่ได้ยินแบบนั้น
เรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นเพราะชาวบ้านทั้งหมด
เวลาที่เกษตรกรเอาสินค้ามาขายในตลาดของรัฐก็ไม่ได้วางขายอย่างง่าย ๆ แต่ต้องมีเงินจ่ายสินบนด้วย
ใครจะไปอยากจ่ายเงินพวกนั้นกัน ก็ต้องเปลี่ยนไปวางขายในตลาดมืดแทน
ผู้อำนวยการเขตกล่าวต่อว่า “เพราะแบบนี้ตลาดสดของรัฐก็เลยมีปัญหาสินค้าไม่พอขายอยู่ตลอด ถ้าผมทำสัญญาตลาดสดของรัฐที่ถนนเจี่ยเฟิงให้คุณ คุณจะดูแลมันต่อได้ไหม”
หลินม่ายใจเต้นแรงเมื่อได้ยินแบบนั้น
ถ้าเธอทำสัญญากับตลาด ผลผลิตที่ได้มาต้องขายง่ายขึ้นแน่นอน
แม้ว่าภายในใจของหญิงสาวจะตื่นเต้นแค่ไหน แต่ภายนอกกลับดูสงบนิ่ง
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “มันก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขพิเศษที่จะได้จากผู้อำนวยการนะคะ”
ผู้อำนวยการยิ้มแล้วถามต่อ “คุณต้องการเงื่อนไขอะไรบ้าง”
“ฉันมีเงื่อนไขแค่สองข้อ ข้อแรกคือฉันไม่ต้องการพนักงานเดิมของตลาดสดของรัฐ และข้อสองคือต้องให้ฉันซื้อของมาได้อย่างอิสระ”
ในภาคบริการทุกวันนี้พนักงาน 8 ใน 10 ของรัฐบริการห่วยและพูดจาแย่มาก
ถ้าคนพวกนี้ยังทำงานอยู่ ต่อให้เธอมีสามหัวและหกแขนก็ไม่สามารถช่วยให้ตลาดที่กำลังจะปิดตัวลงของถนนเจี่ยเฟิงดีขึ้นมาได้
เธอจะต้องควบคุมการซื้อและแหล่งวัตถุดิบทั้งหมดมาไว้ในมือ เพื่อจะได้ตรวจสอบคุณภาพของได้ด้วยตัวเอง ไม่ให้มีการขายของคุณภาพแย่ในตลาดได้อีก
ผู้อำนวยการเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เรื่องซื้อสินค้าเองไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้อนี้สัญญากับคุณได้ แต่คนงานเหล่านั้น ถ้าพวกเขาตกงานจะอยู่กันยังไง”
หลินม่ายตอบอย่างเฉียบขาด “แต่ทัศนคติในการทำงานของพวกเขาแย่เกินไป ถ้ายังจ้างต่อ ตลาดก็จะพัฒนาไม่ได้”
เหตุผลที่เธออธิบายกับเขาไม่เพียงแต่ละเอียดตามความจริง แต่เป็นสิ่งที่เธอเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
บางทีเมื่อไปซื้อของ ต้องทนมองสีหน้าบอกบุญไม่รับของพนักงาน และยังต้องฟังคำพูดประชดประชันพวกนั้นอีกต่างหาก
“ถ้างั้นคุณไม่ลองฝึกพวกเขา?”
หลินม่ายยิ้ม “ฉันไม่ได้มีความสามารถอะไรขนาดนั้นค่ะ”
เธอกลอกตา “ฉันมีวิธีของฉัน พวกเขาจะไม่อดตาย และฉันก็ไม่มีต้องรับพวกเขามาทำงานต่อด้วย”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
น่าจะมาถูกทางแล้วนะคะ ยัยป้าหูนี่แหละน่าสงสัยสุด
ถ้าคนงานมันเกินเยียวยาจริงๆ ก็จำเป็นต้องปลดออกบ้างแหละค่ะ ไม่งั้นไปต่อไม่ได้
ไหหม่า(海馬)