“การกระทำของมั่วเชียนเสวี่ย เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด ไม่รู้ที่ตาย…ถ้าไม่ลงโทษอย่างหนักก็ไม่เพียงพอที่จะสลายความโหดเหี้ยมโดยสันดาน และต่อไปเหล่าขุนนางก็จะเอาเยี่ยงอย่าง บ้านเมืองก็จะไม่ใช่บ้านเมืองอีก…”
“มั่วเชียนเสวี่ยอาศัยคุณงามความดีกับอำนาจของเจิ้นกั๋วกง…”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ไร้ยางอายเสียจริง บุรุษมากมายในที่แห่งนี้ล้วนรังแกสาวน้อยคนหนึ่งซึ่งไร้บิดามารดา หากมั่วเทียนฟ่าง มั่วกั๋วกงยังอยู่ ผู้ใดจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับบุตรีของเขา แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องไว้หน้านางเลย
มั่วเชียนเสวี่ยที่ได้ยินก็ยังไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นซูชีที่โกรธ ม่านตาของเขาหดลงเล็กน้อย กำหมัดไว้แน่น อยากจะออกไปทุบตีขุนนางที่ไร้ยางอายเหล่านี้ให้หนักๆ
ซูจิ่นอวี้ที่อยู่ข้างๆ สัมผัสได้ถึงความโกรธอันเย็นเยียบ จึงดึงชายเสื้อของซูชี บอกเป็นนัยๆ ให้เขาใจเย็นลงหน่อย รอดูท่าทีของฝ่าบาทก่อน แล้วค่อยไปขอร้องพระองค์ เช่นนี้ถึงจะเป็นวิธีการที่มีประโยชน์และเป็นผลดีมากที่สุด
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้สนใจความเคืองโกรธของเหล่าใต้เท้าทุกๆ คน นางไม่ได้ยอมรับผิด จึงเป็นการยากที่ฝ่าบาทจะตัดสินความผิดของนางได้ ฝ่าบาทจะต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ทั้งยังต้องให้คำอธิบายกับคนทั้งใต้หล้าอีกด้วย
เช่นเดียวกันหากนางกระทำการสิ่งใดที่เป็นความผิดใหญ่หลวงจริงๆ ก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีทำให้นางยอมรับผิดเอง และสำนึกผิดในสิ่งที่ตนได้กระทำไป ถึงเวลานั้น เขาก็กดดันเสียหน่อย นึกถึงคุณงามความดีของท่านพ่อของนางบ้าง แล้วค่อยทำตามคำร้องขอของเหล่าขุนนางอย่างช่วยไม่ได้ รับสั่งให้นางฆ่าตัวตาย
คนจำนวนมากพูดกันเป็นเสียงเดียวเช่นนี้ นี่เรียกว่าการทลายกลไกการป้องกันตัวเองของนาง และทำให้นางก้มหน้ารับผิด ยอมรับโทษตายมิใช่หรือ
นางไม่ยอม!
มั่วเชียนเสวี่ยหยิบฎีกาที่หล่นกระจัดกระจายอยู่ข้างๆ ตัวนางขึ้นมา นางต้องอ่านให้กระจ่างว่าใต้เท้าเหล่านี้ร้องเรียนนางในข้อหาอะไรบ้าง
ตามคำกล่าวที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เพียงลบล้างข้อกล่าวหาออกไปทีละข้อๆ นางถึงจะไม่แพ้พ่าย
นางมองดูอย่างตั้งใจ ตั้งใจมากๆ! ไม่อ่านข้ามสักคำ สักประโยค และสักความหมายแฝงที่อาจเป็นไปได้เลย
ซูชีถูกซูจิ่นอวี้ดึงสติกลับมา เขาเพียงเป็นกังวลมากเกินไป! เขาไม่ใช่คนไร้สมอง พอสติกลับมาก็เห็นมั่วเชียนเสวี่ยอ่านฎีกาแต่ละฉบับ เขาจึงเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาไปต่อปากต่อคำกับคนต่ำทรามไร้ยางอายกลุ่มนั้นจริงๆ ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร
ซูชีจ้องมองไปอย่างคาดหวัง…
เขาคิดว่าเขาใจเย็นลงและยอมแพ้ไปนานแล้ว ในชั่วพริบตาเดียว เขากลับพบว่าตนเองกำลังอิจฉา สิ่งที่เขาอิจฉาก็คือฎีกาพวกนั้นที่สามารถไปอยู่ในสายตาของนางได้
ซูชีอดคิดไม่ได้ หากถูกมั่วเชียนเสวี่ยจดจ้องและมองเขาด้วยสายตาอันลึกซึ้งเช่นนี้ เขาจะเป็นอย่างไร…
เพียงแค่คิด ซูชีก็รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น แทบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
หนิงเซ่าชิงช่างโชคดีอะไรเช่นนี้!
ต้นสายปลายเหตุเรื่องนี้ เฟิงอวี้เฉินไม่เข้าใจเลยสักนิด เพียงรู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยฆ่าขอทานไปหลายสิบคนด้วยความโกรธ ทั้งยังเห็นมั่วเชียนเสวี่ยคุกเข่าในท้องพระโณงไม่พูดไม่จา จึงเริ่มกราบทูลในทันที
“มั่วเชียนเสวี่ยลูกพี่ลูกน้องของกระหม่อม ปีนี้ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น เพิ่งจะเข้ามาเมืองหลวง จู่ๆ ก็เห็นขอทานกลุ่มหนึ่งเข้ามาขออาหาร ไม่ทันได้เข้าใจอะไรดี ก็ย่อมที่จะคิดว่าเจอโจรเข้าให้แล้ว อาจจะลงมือหนักไปหน่อย ถึงจะมีความผิดแต่ก็ไม่ควรถึงตาย…”
ตระกูลเฟิงย่อมจะมีเส้นสายในราชสำนักอยู่บ้าง เมื่อเห็นจุดยืนของว่าที่หัวหน้าตระกูล พวกเขาจึงค่อยๆ ออกมาพูดแทนมั่วเชียนเสวี่ยทีละคนๆ
“ตามที่กระหม่อมรู้มา มีขุนนางบางคนที่ซื้อทาส จากนั้นก็เดิมพันกัน ดูว่าใครจะยิงได้มากกว่ากัน จึงได้ให้ทาสวิ่งไปข้างหน้า พวกเขากับเหล่าสหายขี่ม้าตามหลังมาไล่ฆ่า…คนเหล่านี้เห็นชีวิตคนเหมือนของเล่น นี่สิถึงจะเป็นต้นตอที่จะทำให้ประเทศชาติไม่สามารถดำรงอยู่ได้พ่ะย่ะค่ะ…”
“ขุนนางที่ฆ่าคนเหล่านี้ เมื่อเทียบกับสาวน้อยอย่างมั่วเชียนเสวี่ยคนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเลวร้ายกว่านางมากเท่าไหร่ ควรจะนำตัวพวกเขามาลงโทษหน้าพระราชวังด้วยใช่หรือไม่…”
ยังมีบางคนที่มักจะยกย่องเจิ้นกั๋วกง ดูแคลนสิ่งที่แม่ทัพเหล่านั้นกระทำต่อประชาชน เพราะความสงสารและความคิดที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเล็กน้อย ก็พูดแทนมั่วเชียนเสวี่ยด้วย
“เจิ้นกั๋วกงจงรักภักดีมาตลอดชีวิต นี่ก็เพิ่งลาโลกนี้ไปได้ไม่ถึงปี ส่วนคุณหนูมั่วก็ตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก เพิ่งจะกลับมาเมืองหลวง เมื่อถูกห้อมล้อมไปด้วยขอทาน ระหว่างที่ตกอยู่ในความตื่นตระหนก จึงได้พลั้งมืออย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง…แม้ว่าจะมีความผิด แต่ก็ไม่ถึงกับต้องรับโทษตายนะพ่ะย่ะค่ะ…”
“เจิ้นกั๋วกงทำศึกมาตลอดชีวิต ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาดบ้างแต่เขาก็ตั้งใจทำหน้าที่ของตนอย่างดีมายาวนาน เขามีเพียงบุตรีเพียงคนเดียว หากจะลงโทษจริงๆ ก็ขอให้ฝ่าบาทเห็นแก่กั๋วกง โปรดไว้ชีวิตคุณหนูมั่วด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
ชุดขาวที่มั่วเชียนเสวี่ยสวมใส่อยู่ได้รับพระราชทานมาจากฮองเฮา ฝ่าบาทรู้ ตระกูลเซี่ยรู้ ตระกูลซูรู้ แต่ว่าพวกขุนนางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเหล่านั้นกลับไม่ทราบ
ทางฝั่งนี้พูดช่วยมั่วเชียนเสวี่ย ทางฝั่งโน้นก็ย่อมจะมีคนฉุกคิดขึ้นมา คิดว่าจะทำให้มั่วเชียนเสวี่ยมีความผิดขึ้นมาอีกได้อย่างไร ในที่สุดก็มีขุนนางคนหนึ่งจ้องมองไปที่ชุดขาวที่มั่วเชียนเสวี่ยสวมใส่อยู่
ดังนั้นจึงกล่าวโทษมั่วเชียนเสวี่ยอีกครั้ง ที่กล้าสวมใส่ชุดขาวไว้ทุกข์เข้ามาในท้องพระโรง แต่งกายไม่รู้จักกาลเทศะ ดูแคลนน้ำพระทัยของฝ่าบาท และไม่ให้ความเคารพ…
มั่วเชียนเสวี่ยแม้นตาจะมองไปที่ฎีกาแต่นางย่อมได้ยินทุกคำโต้เถียงในที่แห่งนี้ รู้สึกดีขึ้นใจทันที ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคารพ นางปิดฎีกาที่เพิ่งอ่าน ตอบกลับเสียงดังฟังชัด “กราบทูลฝ่าบาท ฮองเฮาทรงเห็นใจในความเจ็บปวดที่หม่อมฉันต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ดังนั้นจึงได้มอบชุดไว้ทุกข์นี้ให้แก่หม่อมฉันเพคะ” โดยปกติแล้วการสวมใส่ชุดไว้ทุกข์ ต้องใส่เจ็ดวันถึงจะเลิกใส่ได้
หากเลิกสวมใส่ชุดไว้ทุกข์ก่อนล่วงหน้า ก็เป็นลูกอกตัญญู เทียนฉียึดหลักกตัญญูในการปกครองประเทศ แน่นอนว่าจะบังคับให้ใครเลิกกตัญญูไม่ได้ ดังนั้น คนที่มีความกตัญญู โดยทั่วไปแล้วจะไว้ทุกข์ให้บุพการีอยู่ที่้เรือน รอจนกว่าไว้ทุกข์จนครบกำหนด ถึงจะเข้ามาในท้องพระโรงได้
ทว่า…มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้มีเจตนาจะท้าทาย เป็นเพราะฝ่าบาทเรียกตัวนางให้เข้าวัง…ขุนนางที่ยกประเด็นชุดไว้ทุกข์ขึ้นมา มีเหงื่อออกที่ศีรษะทันที
ในเวลานี้ถ้าไม่อ้างถึงฮองเฮา แล้วจะมีโอกาสตอนไหนอีกเล่า
เพียงได้ยินประโยคนี้ หน้าผากของฝ่าบาทก็กระตุกเล็กน้อย ต้องมาขายหน้าในท้องพระโรงเช่นนี้ ถือเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ แต่ความขุ่นเคืองของฝ่าบาทนี้กลับไม่ได้มุ่งไปที่มั่วเชียนเสวี่ย ทว่าแอบครุ่นคิดในใจว่าจะต้องให้คนไปตำหนิฮองเฮา
ฮ่องเต้จ้องมองไปที่ขุนนางที่ยกเรื่องชุดไว้ทุกข์ขึ้นมา คนผู้นั้นเริ่มขาสั่น ทรุดลงไปเบาๆ คุกเข่าและคลาน เขาทำทุกอย่างในคราเดียว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ย สตรีนางหนึ่งได้ก่อเรื่องใหญ่โต ทว่าหลังของนางกลับยังเหยียดตรงอยู่ได้ แต่คนผู้นี้ เพียงฝ่าบาทเหลือบมองมา กลับลงไปคลานอยู่ที่พื้น
เปรียบเทียบกันได้ทันทีว่าใครสูงส่งหรือต้อยต่ำกว่า ใจของขุนนางผู้นี้ยังไม่ใหญ่เท่าใจของสตรีนางหนึ่ง ฮ่องเต้ใจเย็นลงเล็กน้อยในทันใด
ทว่า ในเวลานี้ ก็ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยนี้ ขุนนางคนอื่นๆ ต่างมองเห็นโอกาสอย่างรวดเร็ว รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นการเข่นฆ่าบนถนนทันที ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดเมื่อสักครู่นี้แต่อย่างใด
ใครกันจะไม่กลัวตาย แล้วกล้าไปทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองพระทัยอีกเล่า!
ในชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างต่อปากต่อคำกันอย่างรุนแรง
แต่ในบรรดาขุนนางนับร้อยคนกลับนิ่งเงียบไม่แสดงท่าทีว่าฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ออกมาแสดงจุดยืน อย่างเช่นขุนนางที่อยู่ในตระกูลเซี่ย และที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหนิง และไหนจะจิ่งชินอ๋องและอวี้จวิ้นอ๋องที่อยู่เบื้องหน้าพระที่นั่งซึ่งคำพูดของพวกเขามีน้ำหนักมากที่สุดอีก…
และในขณะที่เหล่าใต้เท้าถกเถียงกันอยู่ มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้อ่านฎีกาจบแล้ว นางวางฎีกาที่กระจัดกระจายอยู่ด้านข้างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สองมือยกขึ้นเหนือศีรษะ พลางกล่าวชัดถ้อยชัดคำ” กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันอ่านเนื้อหาในฎีกาครบหมดแล้วเพคะ”