อากาศนับวันยิ่งหนาวเย็นขึ้น แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงร้อนระอุ รถม้าจำนวนมากต่างหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย แตกต่างจากพ่อค้าที่เดินทางมาค้าขายแต่ก่อน ครานี้คนที่เดินทางมาส่วนมากล้วนเป็นอาจารย์หยูพร้อมทั้งลูกศิษย์ไม่มากก็น้อย ทุกคนต่างมีความสนใจอย่างยิ่ง
เฉินตันจูตะโกนตำหนิกั๋วจื่อเจี้ยน เรื่องที่โจวเสวียนนัดการประลองกับบัณฑิตสามัญชน องค์รัชทายาทของท่านอ๋องฉี องค์ชาย ตระกูลชนชั้นสูงต่างเชื้อเชิญเหล่าบัณฑิตชนชั้นสูงมาถกเถียงอภิปรายความรู้ถูกแพร่กระจายออกไปนอกเมืองหลวง ยิ่งส่งยิ่งกว้างขวาง บัณฑิตหยูจากทุกพื้นที่ สถานศึกษาน้อยใหญ่ต่างได้ข่าว…เมืองหลวงใหม่บรรยากาศใหม่ ทุกพื้นที่ต่างจับตามอง
ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดเพราะหญิงผู้หนึ่งแหกกฎบุกเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนเพราะชายผู้เป็นที่รัก…เหมือนจะเป็นเช่นนี้ อย่างไรก็ตามคนหนึ่งคือคุณหนูตันจู อีกคนคือบัณฑิตผู้มีหน้าตารูปงามแต่ชาติกำเนิดต่ำต้อย…เรื่องเกิดขึ้นเพราะสาเหตุที่เหลวไหลเช่นนี้ เวลานี้บัณฑิตที่รวมตัวนับวันยิ่งมากขึ้น อีกทั้งยังมีตระกูลชนชั้นสูง และองค์ชายเข้ามามีส่วนร่วม หอเหยาเย่ว์ในเมืองหลวงรวบรวมบัณฑิตผู้มีความรู้กว้างขวางจากทุกสารทิศ อภิปรายกันทุกวัน ประลองบทกวี ประลองภาพวาด ความสนุกของบัณฑิตหยูไม่หยุดพักแม้แต่กลางคืน เวลานี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ภายในเมืองหลวงรวมถึงทั่วทั้งแผ่นดิน
ผู้ที่อยู่ใกล้ต่างนั่งรถเดินทางมาอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อยู่ไกลทำได้เพียงเสียดายที่เดินทางมาไม่ทัน
เพราะกำหนดการประลองใกล้เข้ามาแล้ว ส่วนหอไจซิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงมีเพียงจางเหยาที่นั่งอย่างโดดเดี่ยวตัวคนเดียว การประลองของบัณฑิตสามัญชนอย่างมากแค่หนึ่งถึงสองรอบ ยังไม่สู้ความคึกคักครึ่งวันภายในหอเหยาเย่ว์เวลานี้ได้
การประลองที่ว่ายังไม่ทันเริ่มก็สิ้นสุดลงแล้ว น่าเสียดาย องค์ชายห้านั่งอยู่ในรถอย่างเซไปมา หากแต่ครั้งนี้ไม่ได้สัปหงกเพราะตื่นเช้า หากแต่กำลังครุ่นคิดเรื่องบางเรื่อง อาทิ จัดงานใหญ่ในหอเหยาเย่ว์ต่ออีกหลายวัน หรือทำให้งานนี้กลายเป็นงานประจำ ใช่ องค์รัชทายาทยังเสด็จมาไม่ถึง เรื่องใหญ่เช่นนี้จะขาดองค์รัชทายาทได้อย่างไร
ครั้งนี้เป็นโอกาสดีขององค์รัชทายาทที่จะได้รับความสนใจจากทุกคนหลังจากเสด็จเข้าเมืองหลวง
องค์ชายห้าลืมตาขึ้น เรียกขานคน ขันทีที่นั่งอยู่ด้านนอกเปิดม่านขึ้น
“วันนี้ไม่ไปหอเหยาเย่ว์” องค์ชายห้าสั่ง
เอ๊ะ? ยังไม่ทันได้เสด็จออกจากพระราชวัง ขันทีตกตะลึง หลายวันนี้องค์ชายห้าขยันขันแข็งกว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา เหตุใดจึงไม่ไปแล้ว ในที่สุดเขาก็อดทนต่อความลำบากที่ต้องตื่นเช้าเสด็จไปแต่งกลอนกับเหล่าบัณฑิตนั้นไม่ได้แล้วหรือ
จากบทเรียนก่อนหน้านี้ ทำให้ขันทีอยากเกลี้ยกล่อมแต่ก็ไม่กล้า
องค์ชายห้าถลึงตาใส่เขา “ข้าจะไปพบสวีซินแส หารือเรื่องใหญ่อย่างงานประลองบทกวีที่หอเหยาเย่ว์กับเขาว่าจะจัดการอย่างไรดี”
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ขันทีโล่งใจ ชื่นชมองค์ชายห้าที่ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ในขณะที่มุดออกจากรถ เขาก็มองเห็นรถคันหนึ่งเคลื่อนที่มาจากด้านหลังอย่างเชื่องช้า…
“องค์ชาย” ขันทีรีบหันกลับไปทูลเสียงเบา “ราชรถขององค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสามเสด็จออกไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หากจะบอกว่าองค์ชายห้าขยันขันแข็งขึ้นมา หลายวันนี้องค์ชายสามก็แปรเปลี่ยนไปดุจคนละคน วิ่งไปที่นั่นที่นี่ มีส่วนร่วมกับความคึกคักในครั้งนี้
“ไม่ต้องสนใจเขา” องค์ชายห้าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เดิมทีได้ยินว่าองค์ชายสามเสด็จเยือนบัณฑิต ทำให้เขาระแวงอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าเขาเสด็จไปเยือนบัณฑิตที่เป็นสามัญชน เขาก็หัวเราะออกมา “พี่สามหลงใหลในความงาม วิ่งวุ่นเพื่อเฉินตันจู ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”
ขันทีรีบกวักมือเรียกองครักษ์ประจำตัวขององค์ชายห้าเข้ามาถาม เหล่าองครักษ์ประจำตัวมีคนที่ทำหน้าที่จับตาการเคลื่อนไหวขององค์ชายอื่นโดยเฉพาะ
องครักษ์ประจำตัวผู้นั้นส่ายหัว บอกไม่มีผลลัพธ์ หอไจซิงยังคงไม่มีผู้ใดเดินทางไป
“พี่สามยังไม่สู้เชื้อเชิญบัณฑิตสามัญชนเหล่านั้นมาหอเหยาเย่ว์ เช่นนี้ย่อมสร้างความศรัทธาให้เขาได้บ้าง” องค์ชายห้าหัวเราะ
ขันทีหัวเราะเสียงเบา “องค์ชายสามมีคุณหนูตันจูผู้สร้างชื่อเสียงให้เขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สมกับเป็นผู้ที่ไร้ประโยชน์ ถูกหญิงสาวผู้หนึ่งหลอกล่อจนหลงใหลเพียงนี้ ทั้งโง่เขลาทั้งน่าขบขัน องค์ชายห้าหัวเราะร่า ขันทีหัวเราะตาม ราชรถเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างสนุกสนาน
ราชรถขององค์ชายห้าเคลื่อนตัวไปยังกั๋วจื่อเจี้ยนโดยตรง ไม่เห็นว่าครานี้องค์ชายสามที่อยู่ด้านหลังไม่ได้เดินทางไปนอกเมือง หากแต่เดินทางมายังถนนอันเป็นที่ตั้งของหอเหยาเย่ว์
บนถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยผู้คน รถม้ายากที่จะเคลื่อนตัว แน่นอนว่ารถขององค์ชาย และเฉินตันจูเป็นข้อยกเว้น
เมื่อเห็นว่าเป็นราชรถขององค์ชายสาม คนบนท้องถนนต่างมองและคาดเดาอย่างสงสัย องค์ชายสามยึดนักปราชญ์หยูข้างซ้ายเป็นสำคัญ หรือหญิงงามทางขวาเป็นสำคัญ ราชรถจอดนิ่งอย่างรวดเร็ว องค์ชายสามเดินลงมาภายใต้การประคองขององครักษ์ เขาเดินเข้าไปในหอไจซิงอย่างไม่ลังเล…
บนท้องถนนส่งเสียงฮือฮาขึ้นทันที ไม่ถือว่าผิดหวัง แต่ส่วนมากเป็นการเสียดสี
องค์รัชทายาทของท่านอ๋องฉียืนมองอยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง ข้างกายมีบัณฑิตเจ็ดแปดคนยืนล้อมรอบ เขามองดูร่างขององค์ชายสามพลางถอนหายใจส่ายหัว “เสด็จพี่สามทำเช่นนี้ ฝ่าบาทต้องเสียใจและผิดหวังเพียงใด”
หลังจากก้าวเท้าเข้ามาในหอไจซิง เสียงฮือฮาด้านนอกราวกับถูกกีดขวาง จางเหยาที่นั่งกางกระดาษขีดเขียนอยู่ด้านหน้าโต๊ะตัวคนเดียวไม่รู้ว่ามีคนเดินเข้ามา จนกระทั่งต้องการวัดจึงคลำหาไม้บรรทัดบนโต๊ะ…
“กำลังหาสิ่งนี้หรือไม่” เสียงอ่อนโยนหนึ่งถามขึ้น
จางเหยาตกใจจนเกือบตกเก้าอี้ เขาเงยหน้ามองชายหนุ่มที่สวมชุดองค์ชาย ถือไม้บรรทัดที่ถูกทับภายใต้กระดาษเอาไว้ เขาพินิจอยู่สักพัก ก่อนจะมองไปทางองค์ชาย ที่ยื่นไม้บรรทัดเข้ามาให้
จางเหยาไม่ทันได้รับ รีบลุกขึ้นคำนับ “คำนับองค์ชายสาม”
องค์ชายสามยิ้ม “จางเหยา เจ้ารู้จักข้า?”
ท่านก็เรียกขานชื่อของข้าไม่ใช่หรือ จางเหยาคิดในใจ ก่อนจะตอบอย่างเคารพ “ได้ยินชื่อขององค์ชายมานาน”
ถึงแม้พวกเขาทั้งสองยังไม่เคยพบหน้ากัน แต่ในข่าวลือ จางเหยาเป็นผู้ที่ถูกเฉินตันจูจับตัวมาทดลองยาให้องค์ชายสาม
วิธีการได้ยินชื่อเสียงเช่นนี้ถือว่าไม่เคยมีมาก่อน และคงไม่มีในอนาคต องค์ชายสามรู้สึกขบขัน ก้มหน้ามองบนโต๊ะ ก่อนจะหวั่นไหวเล็กน้อย “เจ้ากำลังวาดทางน้ำหรือ”
จางเหยาพยักหน้า “เป็นทางน้ำของเมืองเจิ้ง กระหม่อมเคยไปดูกับตาตนเอง อยู่ว่างไม่มีสิ่งใดทำ ก็วาดลงมา ฝึกการวาด”
องค์ชายสามพินิจ “เจ้าวาดได้ดี เหมือนกับที่ข้าเคยเห็นในตำราในพระราชวัง อีกทั้งยังละเอียดกว่ามาก” เขามองจางเหยาอีกครั้ง ยิ้ม “คุณหนูตันจูโกรธแทนเจ้า ไม่ใช่ไร้เหตุผล หากแต่สมควรโกรธ”
จางเหยาเขินอาย “คุณหนูตันจูปฏิบัติต่อคนอย่างยุติธรรม นางทวงความยุติธรรมให้กระหม่อม ถือเป็นโชคดีของกระหม่อม”
องค์ชายสามอดหัวเราะออกมาไม่ได้ หยอกล้อเขา “ทั้งเมืองหลวงคงมีแค่เจ้าที่จะพูดถึงคุณหนูตันจูเช่นนี้”
จางเหยาพูดต่อ “ท่าทางองค์ชายจะเห็นด้วยกับกระหม่อม”
องค์ชายสามหัวเราะอีกครั้ง จ้องมองจางเหยา “เจ้าคุ้มค่าแก่ที่นางรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนเจ้า”
ท่ามกลางบทสนทนา จางเหยาไม่รู้สึกโกรธเคืองหรือกังวลที่เฉินตันจูผลักดันเขามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงยอมรับอย่างสง่าผ่าเผย ไม่เกรงกลัวและไม่ท้อถอย
จางเหยายิ้ม เฉินตันจูไม่อยู่ เขาถือว่าเป็นเจ้าภาพที่นี่? ดังนั้นจึงรีบเชิญองค์ชายสามนั่งลง ก่อนจะเรียกเด็กในร้านจัดเตรียมน้ำชา
องค์ชายสามนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ
จางเหยาถาม “องค์ชายมาหาคุณหนูตันจูหรือพ่ะย่ะค่ะ นางไม่อยู่ที่นี่ คงยังวิ่งวุ่นอยู่ด้านนอก”
เฮ้อ วันสุดท้ายแล้ว ดูท่าทางไม่ว่าจะวิ่งวุ่นอย่างไรก็ไม่มีคนมา
องค์ชายสามส่ายหัว “ไม่ใช่ ข้ามารอคน”
รอคนหรือ จางเหยาตอบรับ ไม่รู้ว่าองค์ชายสามวิ่งมารอผู้ใดในหอไจซิง
“เจ้าทำงานของเจ้าเถิด” องค์ชายสามพูด บอกให้เขานั่งลง
จางเหยาตอบรับก่อนจะนั่งลงตามคำสั่ง จากนั้นหยิบพู่กันขึ้นมาเตรียมวาดต่อ…
องค์ชายสามมองเขา ถามขึ้น “คุณชายจาง เจ้ารู้จักกับคุณหนูตันจูก่อนหน้านี้หรือ”
จางเหยาส่ายหัว “ไม่รู้จักพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูตันจูรู้จักกับกระหม่อม เพราะหลิวเวย น้องสาวของกระหม่อม”
ประวัติของเขารวมทั้งความสัมพันธ์ญาติมิตรของเขาภายในเมืองหลวง ผู้คนต่างไม่รู้และไม่สนใจ องค์ชายสามย่อมรู้ดีที่สุด เหตุใดจึงถามเช่นนี้
องค์ชายสามยิ้ม ก่อนจะมองจางเหยาอีกครั้ง ไม่ได้พูดสิ่งใด จากนั้นเบนสายตาไปทางอื่น
องค์ชายสามดื่มน้ำชา จางเหยาวาดทางน้ำ ภายในหอไจซิงเงียบสงบลงอีกครั้งราวกับไร้ซึ่งผู้คน หากแต่ความสงบในครั้งนี้ไม่ได้นานนัก จางเหยาวาดลงไปอีกสองขีด เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้น เห็นบัณฑิตผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู หากแต่ท่าทางแปลกประหลาด ทั้งๆ ที่เดินเข้ามาแล้ว แต่ฝีเท้ากลับเดินถอยหลัง…
“ท่าน” จางเหยาถามด้วยความสงสัย “เดินเข้ามาผิดที่หรือ”
องค์ชายสามเอ่ยปากขึ้น “เขามาหาข้า” เขาพูดกับทางนั้น “คุณชายท่านนี้ ยินดีต้อนรับท่านเดินทางมา”
จางเหยาส่งเสียงประหลาดใจ สีหน้าตกตะลึง เขามององค์ชายสาม ก่อนจะมองบัณฑิตผู้นั้น ก่อนจะมองไปยังหน้าประตูที่อยู่ด้านหลังของบัณฑิตผู้นั้น มีอีกสองสามคนกำลังชะโงกหน้าเข้ามาดู…
เขาราวกับเข้าใจบางสิ่ง ลุกขึ้นพรวดในทันที
…
บนภูเขาดอกท้อ เฉินตันจูก้าวออกจากประตู นางจามออกมาเมื่อยืนเผชิญหน้ากับลมหนาวบนทางเขา
“คุณหนู เหตุใดจึงจามเจ้าคะ” อาเถียนรีบยัดเตาอุ่นมือในมือของตนเองให้นาง
เฉินตันจูไม่รับ ยิ้ม “ถูกคนด่ากระมัง อย่ากังวล วันสุดท้ายแล้ว คงจะมีคนด่าข้ามากยิ่งขึ้น”
ใช่ วันสุดท้ายแล้ว สีหน้าของอาเถียนเป็นกังวล การประลองพรุ่งนี้มีเพียงจางเหยาคนเดียวจริงหรือ ทำอย่างไรดี
ทำอย่างไรได้ เฉินตันจูถอนหายใจ เรียก “จู๋หลิน ตามข้าไปจับ…”
นางยังพูดไม่ทันจบ จู๋หลินที่อยู่บนต้นไม้กระโดดลงมาอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูตันจู” เขาพูดขัดนาง “องค์ชายสามไปหอไจซิง”
องค์ชายสามหรือ เฉินตันจูถอนหายใจ ไม่แปลก เขาเป็นคนดีเช่นนี้ เขาสนับสนุนนางเสมอ
“อีกทั้ง” จู๋หลินพูดด้วยสีหน้าประหลาด “ไม่ต้องไปจับคนแล้ว เวลานี้ภายในหอไจซิง มีคนเดินทางมาจำนวนมากแล้ว”
เอ๊ะ เฉินตันจูประหลาดใจ
เวลานี้ คนด้านนอกหอไจซิงต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ก่อนหน้านี้มีบัณฑิตคนสองคนเดินเข้าหอไจซิงอย่างลับๆ ราวกับโจร ทุกคนยังไม่ทันได้ใส่ใจ แต่โจรมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกคนไม่เห็นคงเป็นเรื่องยาก…
“ข้าจำได้ เขาคือบัณฑิตสามัญชนจากเมืองตะวันออก”
“สวรรค์ เขาคือพันโฉ่วมิใช่หรือ เหตุใดพันโฉ่วจึงเดินทางมา”
“คนเหล่านี้โผล่มาจากที่ใดกัน เสียสติไปแล้วหรือ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นบนถนนอย่างคึกคัก ความคึกคักบนท้องถนนปกคลุมความคึกคักของหอเหยาเย่ว์เป็นครั้งแรก เดิมทีเหล่าบัณฑิตที่กำลังอภิปรายถกเถียงบทกลอนต่างหยุดลง พวกเขายืนอยู่หน้าประตูและหน้าต่างมองดูเหตุการณ์นี้ คนที่ดุจดั่งมดตัวน้อยตัวสองตัวเดินเข้าหอไจซิง มีมดจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง…หอไจซิงที่เงียบสงัดมาเป็นเวลานานดุจดั่งหนอนไหมที่กำลังจะกลายเป็นผีเสื้อ
เกิดอันใดขึ้น
…
พระตำหนักหนึ่งภายในพระราชวังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ชิงเฟิงไม่แม้แต่จะเดินเข้าประตู เขาพลิกตัวขึ้นมาทางหน้าต่าง ตะโกนบอกคุณชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงริมหน้าต่าง “คุณชาย หอไจซิงมีบัณฑิตสามัญชนแล้ว”
โจวเสวียนโยนหมอนไปอย่างรำคาญ “มีก็มี ตะโกนเพราะเหตุใด”
ชิงเฟิงหัวเราะ คุกเข่าอยู่บนเตียงผลักโจวเสวียน “ทางนั้นมีคน การประลองดำเนินต่อได้ คุณชายรีบออกไปดู”
โจวเสวียนไม่เพียงไม่ลุกขึ้น หากแต่ยังดึงผ้าห่มมาคลุมหัว “ไปให้พ้น ไปให้พ้น อย่ามากวนการนอนของข้า”
ชิงเฟิงไม่เข้าใจ การประลองดำเนินต่อได้แล้ว ความคึกคักที่คุณชายต้องการก็เริ่มขึ้นแล้ว เหตุใดจึงไม่ไปดู
โจวเสวียนที่อยู่ใต้ผ้าห่มลืมตาขึ้น มุมปากยกยิ้ม ความสนุกที่เขาต้องการจบสิ้นไปนานแล้ว ความคึกคักต่อจากนี้ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว