“ฮึก…”
เขานึกไว้แล้วว่าวันแบบนี้จะต้องมาถึงสักวัน ในวรรคสุดท้ายของหนังสือเกี่ยวกับความรักที่อินซอบอ่านมักจะมีวิธีรับมือกับการบอกลาเขียนเอาไว้เสมอ อินซอบมักจะเก็บส่วนนั้นเอาไว้ท้ายสุด และหาวันอ่านวรรคสุดท้ายของหนังสือเกี่ยวกับความรักทั้งหมดรวดเดียว แต่ตอนนี้ข้อความหนึ่งบรรทัดที่เขียนอยู่ในหนังสือหลายสิบเล่มนั้นไม่สามารถช่วยปลอบตนได้เลย
น้ำตาของเขาไหลอย่างไม่มีเวลาให้เช็ด เขาสมเพชตัวเองเป็นอย่างมาก และรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ การที่อีอูยอนเลือกตนเป็นเรื่องที่ใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์ และเขาก็มัวเมากับความโชคดีนั้นจนทำความผิดที่เรียกได้ว่าอวดดี
ความรู้สึกของคนเราไม่สามารถที่จะคงเดิมได้ตลอดไป…
พ่อแม่เองยังทิ้งลูกที่ตัวเองคลอดออกมาได้เลย เราจึงไม่สามารถที่จะเกาะติดและขอให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดรับผิดชอบความรู้สึกของเราไปทั้งชีวิต
อีอูยอนก็ไม่ได้แย่อะไร เขาไม่อยากโกรธเกลียดอีกฝ่าย และอะไรพวกนั้นก็ไม่สามารถสร้างรอยแผลบนความสุขที่รู้สึกมาจนถึงตอนนี้ได้ด้วย
แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป การที่ความรู้สึกจะเปลี่ยน และถูกลดทอนลงไปก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติ มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ถึงจะเป็นเรื่องที่สมเหตุผล แต่…
ถ้าช่วยทำให้คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลลงมาหน่อยก็น่าจะดี
อินซอบมุดหน้าลงกับที่นอน และกลั้นเสียงร้องไห้ไว้
ไม่ว่าจะด้วยความหมายที่ดี หรือไม่ดีก็ตาม แต่เวลาของเขาทั้งหมดในช่วงสองสามปีมานี้ล้วนแต่มุ่งไปทางอีอูยอน
เขากลัว
แม้กระทั่งตอนนี้ก็ไม่มีความรู้สึกว่านี่เป็นความจริงเลย ตอนที่คบกับอีอูยอนก็เหมือนกัน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งรู้สึกกลัวกับการไม่มีอยู่ของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ กลายเป็นความจริงเป็นอย่างมาก
หัวใจของเขาเจ็บแปลบ นี่ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รู้สึกเพราะเศร้า แต่เป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริง แล้วเขาก็ได้รู้อีกครั้งว่าร่างกายของตัวเองถูกความเครียดจู่โจมได้ง่ายขนาดไหน
อินซอบลุกขึ้นและหายามากิน แต่ความเจ็บแปลบนั้นก็ไม่หายไป เขาจึงกดบริเวณหน้าอก ในที่สุดเขาก็รู้สึกคลื่นไส้ และต้องวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่ออ้วกเอาทุกอย่างที่อยู่ข้างในออกมา
หลังจากกลั้วปากออกมาแล้ว อินซอบก็ตั้งใจจะหาคู่มือการใช้ยาว่าสามารถกินยาเข้าไปอีกครั้งได้ไหม แล้วก็ล้มเลิกไป เขานึกถึงคำพูดของหมอที่บอกว่าการหลุดออกจากสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดเป็นวิธีที่ดีที่สุด
อินซอบนอนลงบนเตียงและพยายามนึกถึงเรื่องอื่น แต่ยิ่งทำแบบนั้น เขาก็ยิ่งหลุดออกจากความคิดเกี่ยวกับอีอูยอนไม่ได้
ถ้าตอนนั้นเราทำแบบนี้ มันจะต่างออกไปไหม ถ้าเราไม่พูดคำนั้นออกไป สถานการณ์จะดีขึ้นหรือเปล่า ความรู้สึกผิดที่ทำลงไปซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วจะเป็นแบบนั้นอีกนานแค่ไหน แพขนตาที่มีน้ำตาเกาะอยู่ถูกยกขึ้นเพราะเสียงที่ได้ยินจากด้านนอก
ประตูกำลังถูกเขย่าดังกึกๆ
“…ใครครับ”
ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว อินซอบลุกขึ้น
“ใครครับ”
คราวนี้เขาถามให้ดังขึ้นกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาเหมือนเดิม และประตูก็ถูกเขย่าอีกครั้ง
ขนของเขาลุกซู่ ข้อดีของห้องบนชั้นดาดฟ้าคือมีโครงสร้างที่แยกออกมาเป็นส่วนตัว และข้อเสียก็คือโครงสร้างที่แยกออกมาเป็นส่วนตัวด้วยเหมือนกัน
โครงสร้างแบบนี้ทำให้ขโมยเข้ามาได้ง่าย และต่อให้เข้ามาแล้วก็ยากที่เพื่อนบ้านจะรับรู้ เขาตั้งใจจะโทรศัพท์หาตำรวจ แต่เขาดันปิดโทรศัพท์มือถือเอาไว้
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าและเปิดเครื่อง แต่ก็รู้สึกว่าเวลาเดินไปอย่างช้าๆ เป็นพิเศษ และในระหว่างนั้นประตูก็ถูกเขย่าต่ออีกหลายครั้ง
ต้องทำอะไรสักอย่าง…
ขณะมองไปรอบๆ กระทะที่ยกขึ้นไปวางก่อนหน้านี้โผล่เข้ามาในสายตา เขากำกระทะไว้อย่างไม่รู้ตัว และมองไปที่ประตูหน้าบ้าน
ประตูส่งเสียงดังกึกกักต่ออีกสองสามครั้ง
“คะ ใครครับ บอกมานะ”
แม้จะรู้ความจริงว่าไม่มีทางที่ขโมยจะตอบ แต่เขาก็ทำได้แค่พูดแบบนั้นออกไป หากไม่ทำแบบนั้น หัวใจของเขาก็คงจะระเบิดออกมาด้วยความกลัว เขารู้สึกถึงการสั่นในกระเป๋า โทรศัพท์มือถือถูกเปิดเครื่องแล้ว
วินาทีที่เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อที่จะแจ้งตำรวจ หน้าต่างที่กำลังสั่นก็เข้ามาในสายตา อินซอบเบนสายตากลับไปทางประตูหน้าบ้าน ทั้งประตูและหน้าต่างสั่นพร้อมๆ กัน
“เฮ้อ…”
อินซอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ห้องบนชั้นดาดฟ้ามีโครงสร้างที่ทำให้ได้รับผลกระทบจากเงื่อนไขทางสภาพอากาศเยอะมาก ถ้าลมพัดหรือฝนตก ประตูหน้าบ้านและหน้าต่างจะสั่นมากเป็นพิเศษ เขาเพิ่งอาศัยอยู่ที่ห้องบนชั้นดาดฟ้าได้ไม่กี่ปี และลืมความทรงจำนั้นไปเสียสนิท
อินซอบวางกระทะที่ถืออยู่ในมือลง
จะว่าไปแล้ววันนี้มีพยากรณ์ว่าฝนจะตกนี่นา…งานจะจบลงด้วยดีไหม เขาได้รับรางวัลใหญ่หรือเปล่า ลองเสิร์ชดีไหมนะ
อินซอบรีบส่ายหน้า วินาทีที่ตัดสินใจว่าควรจะปิดเครื่องอีกครั้งก่อนที่จะใจอ่อน เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น พอเช็กชื่อของคนที่โทรศัพท์เข้ามาก็เห็นว่าเป็นคิมคังอู
โทรศัพท์ถูกตัดสายไปหลังจากที่ดังอยู่สองสามครั้ง และหน้าต่างข้อความก็เด้งขึ้นมาทันที
[ฮยองนิม อยู่ไหนครับ ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นใช่ไหมครับ ช่วยตอบหน่อยครับ]
ดูเหมือนเขาได้รับโทรศัพท์มือถือคืนจากอีอูยอนแล้วหลังจากที่พิธีมอบรางวัลจบ ในขณะที่อินซอบชะงักไป ก็มีข้อความถูกส่งเข้ามาอีกครั้ง
[ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหมครับ บอกหน่อยนะครับว่าอยู่ไหน ผมจะไปหา พอดีว่าผมเป็นห่วงน่ะครับ]
“…”
พอคิดถึงคิมคังอูที่ต้องลำบากแทนตัวเอง เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมา และการปิดโทรศัพท์หนีหายไปก็ไม่ใช่เรื่องที่มีมารยาท
[ผมจะไม่บอกกรรมการผู้จัดการ หรือหัวหน้าทีม ดังนั้นช่วยบอกให้รู้หน่อยนะครับ ไม่ได้เจ็บป่วยใช่ไหมครับ แล้วอยู่ที่ไหนเหรอครับ]
ข้อความถูกส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีโอกาสที่จะตอบ
[ช่วยตอบหน่อยครับ ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ วันนี้มันวุ่นวายสุดๆ เลยครับ]
[ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ห้ามปิดเครื่องนะครับ ช่วยบอกทีครับว่าอยู่ที่ไหน ผมจะได้ช่วย แล้ววันนี้ผมก็เกือบจะตายแล้ว คุณนักแสดงโมโหใส่ผมใหญ่เลยครับ]
พอเขาทิ้งเงินกับจดหมายเอาไว้ และออกมาโดยไม่พูดอะไร คิมคังอูก็ต้องพะวงอยู่แล้ว ที่เขาต้องขอโทษคิมคังอูมากกว่าใครทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
อินซอบครุ่นคิดก่อนจะกดปุ่มโทรออก เขาได้ยินเสียงต่อสาย และเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนึ่งครั้ง สองครั้ง…
แล้วความรู้สึกแปลกแยกที่ซับซ้อนเกินบรรยายก็โผล่มาในหัว คิมคังอูมักจะสะกดคำอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน ไม่ใช่แค่การแยกสระ แ- กับสระ เ- ไม่ได้เท่านั้น แต่เขายังเว้นวรรคตามใจชอบด้วย ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายมักจะใช้อีโมติคอนประมาณสองตัวในการจบแต่ละประโยค แต่การสะกดคำของข้อความที่ตนอ่านอยู่ตอนนี้กลับถูกต้องทั้งหมด และต่อให้ขยี้ตาแล้วก็ยังหาอีโมติคอนไม่เจอเลยสักตัว ไม่เพียงเท่านั้น แม้จะต่างออกไปเล็กน้อย แต่เนื้อหาในข้อความกลับคล้ายกัน
อยู่ไหนครับ อยู่ที่ไหนครับ ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอครับ ช่วยบอกให้รู้หน่อยครับว่าอยู่ไหน
…เขาเอาแต่ถามถึงที่อยู่ปัจจุบัน
คงไม่ใช่หรอกมั้ง ไม่มีทางที่อีอูยอนจะถือโทรศัพท์มือถือของคิมคังอูไว้จนถึงตอนนี้ระ…
เสียงเรียกเข้าดังขึ้น อินซอบกะพริบตา และเอาโทรศัพท์ออกจากหู เขาไม่ได้คิดไปเอง เสียงเรียกเข้าดังมาจากข้างนอกจริงๆ แล้วเสียงเรียกเข้านั้นก็กำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
“…”
ขนของเขาลุกซู่ อินซอบกดวางสาย
ข้อความฉบับใหม่ถูกส่งเข้ามา
[ตอนนี้อยู่ที่บ้านใช่ไหมครับ]
อินซอบวางโทรศัพท์มือถือลง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังกึกกัก ถึงอยากจะหนี แต่ก็ไม่สามารถหนีได้ เสียงฝีเท้าหยุดลง และเสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้นต่อกันทันที คราวนี้ไม่ใช่เสียงลมแน่นอน
“…ใครครับ”
เสียงของเขาสั่น
“เปิดประตูครับ”
อีอูยอนนั่นเอง
ได้ยังไง เขารู้ได้ยังไง…
“คุณอินซอบ เปิดประตูให้หน่อยครับ เพราะถ้าไม่เปิด ผมจะพังเข้าไป”
นี่ไม่ใช่คำขู่ที่พูดไปอย่างนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำเผยให้เห็นถึงความตั้งใจของเขา อินซอบรีบไปที่ประตูหน้าบ้านและเปิดประตู อีอูยอนสะบัดฝนออกจากเสื้อ และเข้ามาในบ้าน
“ทำไมพยากรณ์อากาศถึงตรงก็ไม่รู้นะครับ ตอนกลางคืนฝนคงจะเทลงมา”
ท่าทีของเขาไม่ต่างไปจากปกติ อินซอบคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้รับโน้ตที่เขาฝากไว้หรือเปล่า แต่วินาทีที่เห็นช่อดอกไม้ที่อีอูยอนถืออยู่ในมือ เขาก็ได้รู้ว่าไม่ใช่แบบนั้น
“ขอบคุณสำหรับดอกไม้ครับ”
อีอูยอนวางช่อดอกไม้ที่เหลือแค่ครึ่งเดียวลงบนชั้น เพราะรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา ขณะเดียวกันก็ยิ้มน้อยๆ ไม่มีทางที่อีอูยอนจะไม่ได้รับซอง เพราะอินซอบฝากเรื่องช่อดอกไม้ไว้กับคิมคังอู
“ย้ายบ้านวันนี้เหรอครับ”
อีอูยอนมองไปรอบๆ บ้านพลางเอ่ยถาม อินซอบพยักหน้าเล็กน้อย
“เหมือนบ้านที่อยู่สมัยก่อนเลยนะครับ”
คำพูดนั้นทำให้อินซอบนึกถึงวันที่อีอูยอนมาหาที่ห้องบนชั้นดาดฟ้าที่ตัวเองเคยอยู่
…แม้สถานการณ์จะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่การที่เขารู้สึกว่ามันคล้ายคลึงกันไม่ใช่การคิดไปเองแน่นอน
“รู้…ได้ยังไงครับ”
พออินซอบละล่ำละลักถาม อีอูยอนก็ครางรับในลำคอก่อนจะฉีกยิ้ม
“สงสัยเรื่องนั้นเหรอครับ”
“…”
“ผมได้ยินว่าคุณอินซอบได้สำเนาพาสปอร์ตและไปสนามบินน่ะครับ ฮ่าฮ่า ผมไม่อยากไปหาคุณอินซอบที่สนามบินอีกเป็นครั้งที่สองเลยจริงๆ”
อีอูยอนหัวเราะอย่างขมขื่นราวกับนึกถึงความทรงจำที่ไม่ดี
“แต่พอเช็กดูก็ได้รู้ว่าชาวต่างชาติไม่สามารถใช้แค่สำเนาพาสปอร์ตออกจากประเทศได้ ฮ่า งั้นจะหายังไงนะ”
อีอูยอนกระดิกนิ้วพลางกอดอก แม้จะดูขี้เล่น แต่แววตาของเขากลับไล่มองอินซอบอย่างไม่วางตา
“ดังนั้นผมก็เลยไปหาที่บ้านก่อน เพราะคิดว่ารอหน่อยเดี๋ยวคุณก็คงจะมา”
ดวงตาเรียวของอีอูยอนถูกวาดเป็นเส้นโค้ง ราวกับพระจันทร์เสี้ยวที่น่าหวาดกลัวลอยอยู่ในดวงตาของเขา
“แต่คุณก็ย้ายบ้านไปแล้ว?”
“เรื่องนั้น…”
อินซอบพูดไม่ออก แม้จะไม่ได้ย้ายบ้านเพราะอีอูยอน แต่เวลากลับเหมาะเจาะอย่างบังเอิญ
ตอนนี้ต่อให้พูดอะไรออกไปก็คงเป็นได้แค่คำแก้ตัว
“ผมนึกว่าตัวเองจะเป็นบ้าไปแล้ว เพราะคุณปิดโทรศัพท์มือถือ ก็เลยไล่ตามตำแหน่งที่อยู่ไม่ได้”
ผู้กำกับถือว่าการแสดงแววตาของนักแสดงเป็นสิ่งสำคัญ เขาบอกว่าควรมีส่วนที่แสดงให้เห็นถึงความบ้าโดยทั่วไปก่อนจึงจะแสดงความรู้สึกลึกๆ ออกมาในดวงตา พวกผู้กำกับชอบแววตาของอีอูยอนเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่มองผ่านกล้อง พวกเขาจะไม่หวงคำชมว่าเป็นดวงตาที่มีเสน่ห์เลย แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะบอกว่ามันไม่ใช่ความบ้า แต่เป็นความวิกลจริตต่างหากก็ตาม
อีอูยอนมองอินซอบด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เป็นดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความวิกลจริต
“ผมตามสืบประวัติการโทรน่ะครับ ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ดีมากเลยนะครับ เพราะถ้ามีเงิน ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แล้วก็เร็วมากด้วย”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของอีอูยอนดังขึ้นตามมา
“คนที่คุณคุยด้วยเป็นคนสุดท้ายคือบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์อย่างนั้นเหรอ ต้องเรียกว่าโชคดีหรือเปล่านะ ไม่สิ คงจะเป็นโชคร้ายสำหรับคุณอินซอบใช่ไหม”
“…ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายครับ”
แม้จะพูดว่าทุกอย่างแก้ได้ด้วยเงิน แต่เขาต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนเป็นอย่างมากกว่าจะมาหาตนถึงที่นี่ได้แน่ๆ
“ก็วุ่นวายนิดหน่อยแหละครับ นึกว่าย้ายไปที่บ้านใหม่กับปิดเครื่องทิ้งไว้แล้วผมจะตามหาไม่เจอเหรอครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างสดใสพลางเอ่ยถาม อินซอบส่ายหน้า
“ผมตั้งใจจะบอกทีหลังน่ะครับ”
“ที่ว่าทีหลังน่ะ เมื่อไร?”
อีอูยอนโน้มตัวลงมาสบตาอินซอบก่อนจะเอ่ยถามอย่างมุ่งมั่น
“จะบอกหลังจากที่จัดการทุกอย่างรอบตัวเสร็จแล้วเตรียมกลับไปที่อเมริกาหรือเปล่า”
“…”
อินซอบที่โดนจี้จุดไม่สามารถตอบอะไรได้
เนื่องจากไม่มีความกล้าที่จะไปเจอหน้าอีอูยอนสักระยะหนึ่ง เขาจึงคิดที่จะติดต่อไปหลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วประมาณหนึ่ง
“ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วล่ะ เหอะ”
อีอูยอนทำคอตกก่อนจะหัวเราะสั้นๆ ไม่รู้เป็นเพราะสูททอมฟอร์ดที่เปียกฝนกับทรงผมที่ยุ่งเหยิงหรือเปล่า วันนี้รูปร่างหน้าตาของเขาถึงได้ดูเด่นเป็นพิเศษ
ราวกับว่าเขากำลังมองอีอูยอนที่อยู่ในจอ เขารู้สึกแบบนั้นเป็นบางครั้ง ไม่สิ รู้สึกอยู่บ่อยๆ เลยล่ะ เขารู้สึกถึงความไม่เป็นจริงที่เหมือนกับจะไม่สามารถอยู่ในชีวิตของอีกฝ่ายได้ตลอดไป
ตอนนั้นเองอีอูยอนก็ยื่นมือมาหา อินซอบกลั้นหายใจ มือเย็นๆ กุมแก้มของอินซอบไว้
“พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว ผมรู้สึกแย่มากเลยครับ”
ปลายนิ้วที่เปียกฝนทำให้เขาตระหนักได้ถึงความเป็นจริง อินซอบช้อนสายตาที่เหม่อลอยราวกับเพิ่งถูกปลุกจากฝันขึ้นมองอีอูยอน
“แต่ทำไมจู่ๆ คุณถึงทำแบบนั้นล่ะครับ”
ปลายนิ้วของอีอูยอนลูบแก้มของอินซอบ เขาไม่ได้แสดงออกว่าโกรธ หรือรำคาญเลยสักนิด แต่กลับแสดงสีหน้าว่าสงสัยอย่างนั้นจริงๆ