“เจ้าค่ะ พระชายา…”
สาวใช้ด้านข้างพระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ยยังไม่ทันจบ หลิ่วหันและซิงเวยก็เดินเคียงคู่กันเข้ามาจากหน้าประตู มองเห็นทั้งสองสีหน้าของหนานกงมั่วพลันเปลี่ยนแปลง หลิ่วหันและซิงเวยยามนี้ต่างมีหน้าที่สำคัญ หากมิใช่เพราะมีเรื่องด่วนจริงๆ ก็คงไม่กลับมาพร้อมกันเช่นนี้ คนที่ตามพวกเขาเข้ามาด้านหลังคือฉินจื่อซวี่และหนานกงชวี่ หลายวันมานี้ เพราะอาการป่วยของน้องสาว ฉินจื่อซวี่จึงต้องออกนอกเมืองไปหาคุณชายเสียนเกอและอาจารย์ของหนานกงมั่วอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งยังช่วยชวีเหลียนซิงจัดการเรื่องในเรือนชิงมั่ว คุณชายใหญ่ฉินสมแล้วที่เป็นคุณชายใหญ่ผู้สืบทอดผู้นำตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในจินหลิงอย่างตระกูลฉิน เดิมเมื่องานอยู่ในมือของหนานกงมั่วและชวีเหลียนซิงยังรู้สึกยุ่งยากทว่าเมื่อไปอยู่ในมือคุณชายใหญ่ฉินกลับกลายเป็นเรื่องเพียงหยิบมือ จัดการได้อย่างง่ายดาย ในด้านนี้แน่นอนว่าฉินจื่อซวี่มีประโยชน์กว่าเว่ยจวินมั่วบวกกับลิ่นฉังเฟิงเสียด้วยซ้ำ สมแล้วที่เป็นบุคคลที่มีความสามารถได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีจากตระกูลใหญ่
หนานกงชวี่มาเร็วกว่าฉินจื่อซวี่เล็กน้อย เขากลับปฏิเสธตำแหน่งที่เยี่ยนอ๋องวางเอาไว้ให้เขาในจวนเยี่ยนอ๋อง มักจะอ่านหนังสือและฝึกคัดตัวอักษรอยู่ในเรือนชิงมั่ว สงบนิ่งแตกต่างไปจากคุณชายใหญ่ตระกูลหนานกงที่กล้าแม้กระทั่งวางแผนทำลายบิดาผู้ให้กำเนิด สำหรับการกระทำของหนานกงชวี่ หนานกงมั่วเองไม่ได้ต่อต้าน ก่อนหน้านี้นางไม่ได้อยู่ใกล้กับหนานกงชวี่มากนัก ไม่เข้าใจเท่าใด ทว่าหลังจากหนานกงชวี่มาอยู่ที่โยวโจว นางเองก็มีเวลาว่างในช่วงนี้สองพี่น้องจึงได้พูดคุยกันมากขึ้น อย่างไรหนานกงชวี่ก็เป็นบุตรชายของหนานกงไหว แม้ว่ายามนี้หนานกงไหวนับว่าเป็นที่น่ารังเกียจ แต่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ บุตรชายของหนานกงไหวและเมิ่งซื่อแน่นอนว่าไม่ได้ด้อย หากเมื่อครั้งนั้นร่างกายของหนานกงชวี่ไม่เกิดอุบัติเหตุ อนาคตก็คงเดินตามรอยหนานกงไหว ข้าราชการขุนนาง เหมาะสมกับหนานกงชวี่ แต่เขากลับไม่ชอบ
ขุนนางไม่ใช่ไม่อาจนำทัพได้ ร่างกายของหนานกงชวี่ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นไม่อาจต้านลมได้ เพียงแต่ชีวิตก่อนหน้านี้ของหนานกงชวี่นั้นทุ่มเทไปกับการวางแผนแก้แค้นหนานกงไหวและจะทำอย่างไรให้น้องชายมีชีวิตที่ดี จิตใจมืดมนโดยไม่อาจเลี่ยงได้ ถ้าไม่อย่างนั้นหากต้องการเอาคืนหนานกงไหวใช่ว่าจะไม่มีวิธีอื่น แม้การแก้แค้นของหนานกงชวี่จะดูอันตรายทว่าเขาก็ยังเอาตนเองลงไปสู่อันตรายนั้นมาตั้งแต่ต้น สังหารศัตรูหนึ่งพันคนทว่าสร้างความเสียหายให้ตนเองกว่าแปดร้อย ดังนั้นหนานกงชวี่อยากทำใจให้สงบสักระยะ หนานกงมั่วคิดว่าเป็นความคิดที่ดี
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” หนานกงมั่วรีบลุกขึ้น ทั้งสี่คนนี้มาปรากฏตัวพร้อมกันทำให้หนานกงมั่วรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ
ซิงเวยเอ่ยเสียงจริงจัง “เพิ่งได้รับข่าวเมื่อครู่ มีทหารหลายหมื่นนายกำลังมุ่งหน้ามายังโยวโจว อยู่ห่างจากโยวโจวอีกสี่สิบลี้ขอรับ”
หลิ่วหันเอ่ย “เมื่อครู่ผู้ว่าการโยวโจวมีคำสั่งคุมเข้มรักษาการณ์ในเมืองทั้งหมด ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกเจ้าค่ะ”
ฉินจื่อซวี่ถอนหายใจ มองไปยังหนานกงชวี่ เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้ากับพี่หนานกงดื่มชาอยู่ด้านนอก สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวแปลกๆ จึงได้กลับมา ไม่คิดว่าแม่นางหลิ่วและพี่ซิงเวยจะไวกว่าหนึ่งก้าว”
ได้ยินเช่นนั้น ความโกรธของพระชายาเยี่ยนอ๋องจึงเพิ่มขึ้นมา เอ่ยเสียงดัง “ฉีซั่วบ้าไปแล้วหรือ”
หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ยเสียงเบา “เขามิได้บ้าเพคะ เกรงว่าคงจะ…เป็นคนจินหลิงผู้นั้นเตรียมลงมือแล้วเพคะ” ผู้ว่าการโยวโจวไม่มีความแค้นใดต่อจวนเยี่ยนอ๋อง อย่างมากก็กลั่นแกล้งกันบ้างไม่กี่ครั้งไม่ได้สลักสำคัญ ไยต้องล่วงเกินจวนเยี่ยนอ๋องเล่า ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเรียกได้ว่าการต่อสู้กันโดยใช้อาวุธแก้ปัญหาได้แล้ว
สีหน้าของเหล่าพระชายาเยี่ยนอ๋องต่างก็ซีดขาว ต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็ยังเป็นสตรี ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้เยี่ยนอ๋องก็ไม่อยู่ จะไม่ให้กระวนกระวายได้เยี่ยงไร
“รายงานพระชายา ซื่อจื่อและคุณชายสามขอเข้าเฝ้าเพคะ” ด้านนอก บ่าวรับใช้รีบรายงานอย่างรีบร้อน พระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็ไม่สนใจอันใดมาก รีบเอ่ย “รีบให้พวกเขาเข้ามา”
เซียวเชียนชื่อเซียวเชียนจย่งสาวเท้าเข้ามาอย่างเร่งรีบ กำลังจะถวายพระพรต่อพระชายาเยี่ยนอ๋องและองค์หญิงฉังผิง พระชายาเยี่ยนอ๋องโบกปัดมือ เอ่ย “เอาล่ะ ไม่ต้องมากพิธี สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรแล้ว”
เซียวเชียนจย่งเอ่ยด้วยความโกรธ “เสด็จแม่ ฉีซั่วผู้นั้นไม่ได้เรื่อง กล้าปิดเมืองตามใจชอบ ลูกจะไปตัดหัวเขา”
พระชายาเยี่ยนอ๋องจ้องเขาเขม็ง เอ่ย “เอาล่ะ ยามนี้มิใช่เวลามาก่อเรื่อง เจ้าหุนหันออกไปเช่นนั้น ใครกันแน่ที่จะตัดหัวใคร”
เซียวเชียนชื่อไม่ได้ใจร้อนเพียงนั้น ทว่าสีหน้าก็ไม่ดีเช่นกัน “เสด็จแม่ ประตูเมืองรอบเมืองโยวโจวถูกปิดไปหมดแล้ว ในเมืองพวกเรา…” กองกำลังโยวโจวมีนับแสน ทว่าองครักษ์ประจำการในจวนเยี่ยนอ๋องนั้นกลับมีเพียงไม่กี่ร้อย นับรวมกับคนที่ซ่อนตัวอยู่ อย่างมากก็ไม่เกินสองพันคน
ฉินจื่อซวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ซื่อจื่อ เกรงว่าคงยังไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ยามนี้ห่างออกไปไม่กี่สิบลี้รอบเมืองโยวโจวเองก็ถูกปิดเอาไว้หมดแล้ว หากกองกำลังรักษาการณ์โยวโจวคิดจะมาสนับสนุนก็คงมาไม่ทันค่ายทหารของเซี่ยลี่อยู่ใกล้กับที่นี่มากกว่า”
เซียวเชียนจย่งเอ่ย “มีพี่ชายอยู่ เซี่ยลี่นับประสาอันใด”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “เมื่อครั้งเซี่ยลี่เกิดมาและต้องเสี่ยงตายในสนามรบ พี่ชายของเจ้ายังเดินไม่ได้เลย อีกทั้งเซี่ยลี่และฉีซั่วกล้าทำเช่นนี้ เห็นชัดแล้วว่าพวกเขาเตรียมตัวมานานแล้ว เกรงว่าเว่ยจวินมั่วคงไม่อาจกลับมาได้โดยไว”
“เช่นนั้น….เช่นนั้นจะทำเยี่ยงไร” เซียวเชียนจย่งตกตะลึง
พระชายาเยี่ยนอ๋องสูดหายใจเข้าลึก เอ่ย “ข้าจะไปพบฉีซั่วด้วยตนเอง ข้าจะไปถามให้รู้ความ ว่าเขาคิดจะทำอันใดกันแน่”
“เสด็จป้า”
“เสด็จแม่” ทุกคนรีบลุกขึ้น เซียวเชียนจย่งยิ่งกระโดดอย่างร้อนรน “เสด็จแม่ จะทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ฉีซั่วกล้าทำเช่นนี้แล้วแน่นอนว่าไม่ได้สนใจต่อสถานะของท่าน หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น…”
พระชายาเยี่ยนอ๋องยิ้มหยัน “เขาจะกล้าสังหารข้าหรือ”
หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้มิกล้าสังหารพระชายา แต่หากจับตัวพระชายาเพื่อบีบบังคับให้คุณชายทั้งสองต้องยอมจำนนเล่า” เช่นนั้นยิ่งจะยุ่งยากขึ้นไปอีก เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนจย่งยอมจำนน จวนเยี่ยนอ๋องก็นับว่าถูกทำลายไปกว่าครึ่ง หากไม่สนใจชีวิตของพระชายาเยี่ยนอ๋องเช่นนั้นก็อกตัญญู หากถูกแพร่งพรายออกไป เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนจย่งก็นับว่าถูกทำลายสิ้น
หนานกงมั่วนิ่งเงียบอยู่นาน เอ่ย “พี่ใหญ่เอ่ยไม่ผิด เพียงแต่…เสด็จป้า หม่อมฉันจะไปกับพระองค์เพคะ”
“มั่วเอ๋อร์” เสียงดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ล้วนแล้วแต่เป็นความไม่พอใจและไม่เห็นด้วย
หนานกงมั่วกุมขมับอย่างจนปัญญา “ตอนนี้ฉีซั่วไม่กล้าลงมือ แต่หากพวกเรายังอยู่ที่นี่ไม่ทำอันใดเช่นนั้นก็ไม่แน่แล้ว ไปพบเขาสักหน่อยไม่แน่อาจพอรู้แนวทางแผนการของเขา มีหม่อมฉันคอยคุ้มกัน อย่างน้อยก็พาเสด็จป้ากลับออกมาได้อย่างปลอดภัยนะเพคะ”
“เจ้ากำลังนั่งเดือน” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
หนานกงมั่วไร้ซึ่งวาจา “ขาดเพียงไม่กี่วัน” อีกทั้งร่างกายของนางก็ดีมาก หลายวันมานี้ได้รับการบำรุงอย่างดี ความจริงนางรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองถูกบำรุงดีเกินไปแล้ว
“ขาดเล็กน้อยก็ไม่ได้”
“เสด็จแม่ สถานการณ์ยามนี้ไม่เหมือนกันนะเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ย “ไม่เชื่อพระองค์ลองถามศิษย์พี่ ร่างกายของหม่อมฉันดีขึ้นตั้งนานแล้วเพคะ”
ระหว่างที่เอ่ย หนานกงมั่วหันไปมองคุณชายเสียนเกอที่นั่งอยู่ด้านข้าง ตั้งแต่ทิ้งระเบิดเอาไว้คุณชายเสียนเกอก็นั่งดื่มชาอยู่เงียบๆ ไม่เอ่ยอันใดอีกแม้เพียงประโยคเดียว ได้ยินวาจาของหนานกงมั่ว คุณชายเสียนเกอมองขึ้นมาพลันสบเข้ากับสายตาข่มขู่ของศิษย์น้อง