น้ำเสียงของอีอูยอนสั่นเล็กน้อย
อินซอบหายใจไม่ออก ตนได้สร้างบาดแผลให้กับคนที่คิดว่าสำคัญยิ่งกว่าใครเข้าให้แล้ว และพอได้เห็นบาดแผลนั้น เขาก็วางใจว่าอีกฝ่ายยังมีความรู้สึกให้อยู่ ความชั่วร้ายของเขาช่างน่ารังเกียจ หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับถูกโลหะแหลมคมทิ่มแทง
“เพราะไม่เข้าใจก็เลยตัดสินใจที่จะทิ้งไปเหรอครับ”
อีอูยอนเกร็งมือพลางเอ่ยถาม แม้จะรู้ว่าเปล่าประโยชน์ แต่อินซอบก็ใช้มือทั้งสองข้างกุมมือของอีอูยอนไว้
“อย่าทำแบบนั้นเลยครับ แผลมัน…”
น้ำตาของเขาไหลลงมาอีกครั้ง เขาแทบจะเป็นบ้า อินซอบร้องไห้โดยไร้เสียงพร้อมกับกุมแผลของอีอูยอนไว้
“…อย่าร้องไห้เลยครับ”
ในที่สุดอีอูยอนก็คลายแรงที่มือที่กำอยู่เพื่อจะเช็ดน้ำตาให้อินซอบ แม้อินซอบจะเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาพันมือของอีอูยอนไว้ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเลือดจะหยุดไหล เพราะเส้นเลือดฉีกขาดไปแล้ว
“ต้องไปโรงพยาบาลนะครับ เลือดออกเยอะมากเลย เราไปโรงพยาบาล…”
อีอูยอนดึงอินซอบเข้ามากอดก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ จากนั้นก็จูบเขา ลักษณะท่าทางของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วเป็นการดิ้นรนอย่างสุดชีวิตราวกับคนที่จมน้ำ
อินซอบผลักอีอูยอนออก
อีอูยอนที่ถูกผลักด้วยแรงที่เล็กน้อยดึงอินซอบเข้ามากอดอีกครั้ง และประกบปากลงไป อินซอบผลักเขาออกอีกครั้ง แม้จะถูกปฏิเสธซ้ำๆ แต่อีอูยอนก็ยังกอดและจูบอินซอบอยู่ดี เขาไม่ได้สติ และคนทั้งคู่ก็โชกไปด้วยเลือด
“…ขอโทษครับ”
อินซอบเอ่ยขอโทษอีอูยอน การร้องไห้ทำให้ลำคอของเขาตีบตัน
“ขอโทษ…ครับ…”
อินซอบขอโทษอีอูยอนอย่างต่อเนื่อง อีอูยอนกุมหน้าของอินซอบไว้ และทำให้ใบหน้าเล็กๆ ของอินซอบเปื้อนไปด้วยเลือดทันที
“ร้องไห้ทำไม เป็นแบบนั้นเพราะทำผิดกับผมจริงๆ เหรอครับ”
อีอูยอนใช้มือที่หนังถูกเปิดออกลูบแก้มของอินซอบอย่างระมัดระวังก่อนจะพูดต่อ
“แค่ไม่ทำอีกก็พอครับ ผมไม่เป็นไร…”
อินซอบส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น
มันไม่ได้ไม่เป็นไรเลยสักนิด เขารู้ว่าหัวใจของตนที่ชอบอีอูยอนเปลี่ยนเป็นแบบไหน และได้สร้างบาดแผลให้กับอีกฝ่ายไปแล้ว แม้จะถูกฝังไปแล้ว แต่ความรู้สึกที่เหี้ยมโหดและชั่วร้ายก็ยังเกิดขึ้นมาใหม่อยู่หลายครั้ง
เขาหายใจไม่ออกเหมือนกับมีน้ำเสียพุ่งขึ้นมาในปอด
“…ขอโทษครับ”
น้ำตาไหลลงมาไม่ยอมหยุด เขาไม่อยากสร้างบาดแผลให้กับอีอูยอนอีกแล้ว และก็ไม่อยากเกลียดคนที่รักยิ่งกว่าอะไรด้วย
“ขอโทษครับ ผม…ขอโทษนะครับคุณอีอูยอน”
แล้วอินซอบก็ได้รู้ว่าความรู้สึกที่เขามีต่ออีอูยอนหนักแน่นแค่ไหน แม้จะคิดว่าการที่ความรู้สึกของคนเราเปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ภายในจิตใจของเขาก็ยังหวังแค่ว่าอีอูยอนจะไม่เป็นแบบนั้น เขาอยากจะได้รับความรักจากอีกฝ่ายโดยไม่มีช่องว่าง และต้องการให้อีกฝ่ายรักแค่เขาคนเดียว
“ผมไม่ได้จะทิ้งคุณไปนะครับ เพราะผมไม่อยาก…เกลียดคุณอูยอน…เพราะพูดว่าการคบกับคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดา…ผมก็เลย…”
“หมายความว่ายังไงครับ ใครคบกันคนอื่น? เดี๋ยว”
เขารู้สึกถึงแรงดึงที่ติดขัดตรงหัวใจ และการหายใจก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ตัวของอินซอบโงนเงนและพับลงไป
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนคว้าไหล่ของอินซอบไว้ อินซอบพูดว่าขอโทษ ไม่สิ พยายามจะขอโทษต่างหาก
“คุณอินซอบ คุณอินซอบ นี่! ชเวอินซอบ!”
อีอูยอนเอ่ยเรียกอินซอบอย่างร้อนรน
การมองเห็นของอินซอบพร่าเลือนจบริบหรี่ แม้จะกะพริบตาเพื่อตั้งสติ แต่ก็ไร้ประโยชน์
“คุณอินซอบ! ตั้งสติไว้ครับ ทำไมเป็นแบบนี้ ผมถามว่าทำไมอยู่ๆ คุณถึงเป็นแบบนี้!”
แม้จะคิดว่าถ้าได้เห็นหน้าของคนที่ชอบเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจะไม่กลัว แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย เขากลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า ภาพที่อาจจะได้เห็นแบบครั้งสุดท้าย คือแบบนี้งั้นเหรอ
“คุณอินซอบ!”
…ชอบมากเลยล่ะ
“คุณอินซอบ! ตั้งสติหน่อยครับ เป็นความผิดของผมทั้งหมดเลยครับ แม่งเอ๊ย อินซอบ! โธ่เว้ย!”
เสียงของอีอูยอนที่เหมือนกับกรีดร้องห่างไกลออกไปในความมืด
***
ตึกตึกตึก
เสียงฝีเท้าที่เดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลเร่งรีบเป็นพิเศษ
“ขอโทษค่ะ ขอผ่านไปหน่อยค่ะ”
เธอเอ่ยขอทางกับผู้ป่วยที่เข็นเสาน้ำเกลือ และเดินข้ามทางเดินไปอย่างรีบเร่ง พอมาถึงห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ด้านในสุดของชั้นสิบสี่ เธอก็เช็กชื่อของผู้ป่วยและเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไป
“คุณอินซอบ เป็นยังงะ…”
ยุนอารึมที่เข้ามาด้านในของห้องพักผู้ป่วยร้อง โอ๊ะ ก่อนจะกะพริบตา เธอสบตากับผู้ชายที่นั่งอยู่หน้าเตียงโดยตรง
“มีธุระอะไรที่นี่เหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม
นี่ไม่ใช่คำถามที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
แววตาของเขาเหมือนกับสัตว์ดุร้ายที่เตือนผู้ที่ล่วงเข้ามาในอาณาเขตของตน ยุนอารึมมึนงงไปเล็กน้อย และพูดวกไปวนมา
“เอ่อ ฉันได้รับการติดต่อตอนอยู่ที่ห้องสมุดน่ะค่ะ พอไปที่ห้องฉุกเฉินก็บอกว่าเป็นห้องผู้ป่วยหนัก พอไปที่ห้องผู้ป่วยหนักก็ไม่ใช่อีก กว่าจะหาเจอก็แทบแย่”
ตอนนั้นเองยุนอารึมที่สวมชุดออกกำลังกายสบายๆ และไม่ได้แต่งหน้าเลยสักนิดถึงได้หายใจก่อนจะพูดต่อ
“คุณอินซอบไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมคะ”
“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
แม้อีอูยอนจะเอ่ยตอบอย่างเฉียบขาด แต่เธอก็สามารถเห็นได้ถึงความกระวนกระวายใจที่อยู่ในแววตาของอีกฝ่าย มันฟังดูเหมือนเขายืนยันว่าอินซอบต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ มากกว่าที่จะบอกว่าอินซอบไม่เป็นอะไรจริงๆ
“เอ่อ…”
ตอนนั้นเองยุนอารึมถึงได้รู้ว่าเสื้อเชิ้ตที่อีอูยอนสวมโชกไปด้วยเลือด
“ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ”
“ไม่ต้องสนใจผมก็ได้ครับ”
อีอูยอนเอ่ยตอบอย่างเย็นชา แม้จะเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ที่เห็นในที่ส่วนตัวกับภาพลักษณ์ที่รู้กันในหมู่คนดังด้วยกันแตกต่างกันอย่างมาก แต่อีอูยอนก็เป็นคนที่ได้ชื่อว่ามารยาทดีในหมู่นักข่าว และก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะทำให้คนอับอายขายหน้าต่อหน้าแบบนั้น
ยุนอารึมเบนสายตาไปที่อินซอบที่นอนอยู่บนเตียง
คงไม่มีทางที่จะอารมณ์ดีได้ในสถานการณ์แบบนี้หรอก
พอลองคิดดูแล้ว อีอูยอนก็ดูแลอินซอบเป็นพิเศษอยู่พอตัว ตอนที่ได้รับการติดต่อจากอินซอบ และวิ่งมาที่โรงพยาบาลรักษาสัตว์ตอนกลางดึกก็…
ความคิดที่แวบผ่านเข้ามาในหัวทำให้ยุนอารึมพูดว่า “หรือว่า” พลางหรี่ตา เธอต้องแก้นิสัยที่เกิดจากการทำงานที่มักจะเข้าใจเรื่องที่ไม่ได้สำคัญอะไรผิดไปอย่างเร่งด่วน
“ว่าแต่คุณอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้เหรอคะ”
ยุนอารึมเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ไม่มีทางที่อีอูยอนจะไม่รู้ข่าวที่ถูกอัปโหลดแบบเรียลไทม์ในตอนนี้
“นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนี่ครับ”
อีอูยอนขีดเส้นอย่างเย็นชา
ชัดเจนแล้วล่ะ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์หรอก แต่เป็นความรู้สึกเป็นศัตรูแน่นอน
ยุนอารึมกดความสงสัยที่โผล่ขึ้นมาในหัวอยู่เรื่อยไว้อย่างยากลำบาก และเอ่ยว่า “ขอโทษนะคะที่ก้าวก่ายโดยไม่จำเป็น” อย่างสุขุมที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ได้รับการติดต่อจากใครเหรอครับ ถึงมาที่นี่ได้”
คราวนี้อีอูยอนเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“ฉันได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลค่ะ ดูเหมือนเขาจะติดต่อมา เพราะคราวก่อนฉันใช้เบอร์ลงทะเบียนเป็นผู้ดูแลทิ้งไว้น่ะค่ะ”
“คราวก่อนเหรอครับ”
“ค่ะ ตอนที่เขาล้มเจ็บคราวก่อนน่ะค่ะ ฉันเป็นห่วงมากเลยค่ะ เพราะเขาล้มเจ็บบ่อยมากเลย”
ยุนอารึมมองหน้าอินซอบที่ดูซูบซีดกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัดพลางรู้สึกสงสารจากใจจริง
“แล้วผลตรวจออก…”
ยุนอารึมหันมาหาอีอูยอน แล้วก็ต้องปิดปากทันที ใบหน้าของอีอูยอนที่ยืนกำราวกั้นเตียงอยู่โผล่เข้ามาในสายตา แม้กระทั่งคนที่เดินอยู่กลางมยองดงตอนกลางวันแล้วโดนตบหน้าอย่างกะทันหันยังไม่ทำสีหน้าแบบนั้นเลย ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของชายหนุ่มที่ทั้งความรู้สึกอับอาย จนใจ และโกรธพันกันยุ่งเหยิงจนไม่รู้จะทำอย่างไรทำให้ยุนอารึมรีบหันหน้าหนี เธอรู้สึกเหมือนเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็น
อีอูยอนเอ่ยปากอย่างยากลำบาก
“…ล้มเจ็บไปตอนไหนเหรอครับ”
“มันเป็นวันที่ฉันส่งเด็กๆ ไปให้คนที่รับเลี้ยง ก็สิบวันก่อนค่ะ”
ยุนอารึมนึกก่อนจะเอ่ยตอบ
“ตอนนั้นเขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…”
เสียงขยับดังมาจากเตียงก่อนที่ยุนอารึมจะทันได้พูดจบ
“คุณอินซอบ ฟื้นแล้วเหรอคะ”
อินซอบกะพริบตาให้กับคำถามของยุนอารึมสองถึงสามครั้ง จากนั้นก็มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเหม่อลอย เขาเห็นอีอูยอนและพึมพำ
“มือ…”
“มือเจ็บเหรอครับ ให้เรียกหมอไหมครับ มีตรงอื่นที่บาดเจ็บอีกหรือเปล่า”
อีอูยอนถามโดยไม่พักหายใจ อินซอบค่อยส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ
“…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
วินาทีนั้นอีอูยอนก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างแปลกประหลาด เขารู้แล้วว่าอินซอบถามถึงอะไร
“…ผมไม่เป็นไรครับ”
“โล่งอกไปทีนะครับ”
น้ำเสียงของเขาแทบจะฟังไม่ได้ยิน อินซอบหลับตาลงอีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะหลับไปแล้ว อีอูยอนทรุดนั่งบนเก้าอี้ในสภาพที่ใช้มือทั้งสองข้างกุมหน้าเอาไว้
“คุณอารึม”
“คะ?”
ยุนอารึมตอบรับด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ชื่อของเธอหลุดออกมาจากปากของอีอูยอน
“งั้นวันนั้นก็อยู่ด้วยกันที่ห้องพักผู้ป่วยทั้งคืนเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ ฉันกลับไปเพราะเขาบอกว่าเพื่อนจะมาน่ะค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
อีอูยอนพึมพำราวกับจมอยู่กับความคิด ยุนอารึมที่จ้องมองภาพนั้นอ้าปากพูดหลังจากที่กลั้นหายใจไปราวกับตัดสินใจได้แล้ว
“ตอนกลางวันคุณอินซอบโทรศัพท์มาถามเรื่องข่าวของคุณอีอูยอนด้วยค่ะ…ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงคุณอีอูยอนมากเลยนะคะ”
“ไม่มีเรื่องอื่นใช่ไหมครับ”
“ค่ะ เขาแค่ถามว่ามีข่าวที่กำลังรอลงข่าวอยู่หรือเปล่า เขาคงจะรู้เนื้อหาข่าวอยู่แล้วล่ะค่ะ”
เธอนึกว่าอีอูยอนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ เพราะน้ำเสียงของเขาไม่ดีมาก แต่สุดท้ายคนที่เกิดเรื่องใหญ่จริงๆ คือทางด้านของแชยอนซอ ไม่สิ คราวนี้อีอูยอนจะเป็นปัญหามากกว่าหรือเปล่า เพราะจู่ๆ ก็หายไประหว่างพิธีมอบรางวัล
ยุนอารึมเหลือบมองอีอูยอน อีอูยอนพูดกับเธอทั้งๆ ที่ไม่ละสายตาไปจากอินซอบด้วยซ้ำ
“ถ้ามีอะไรผมจะติดต่อไปทีหลังครับ ผมจะอยู่ที่นี่เอง เพราะฉะนั้นคุณกลับไปได้แล้วล่ะครับ”
“เอ่อ ค่ะ…เข้าใจแล้วค่ะ”
ยุนอารึมก้าวขาไม่ออก แม้จะไม่พูดความจริงออกมา แต่สภาพของอีอูยอนก็ดูไม่ดีเอามากๆ นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ว่าอารมณ์ดูไม่ดีเฉยๆ แล้ว
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ยุนอารึมเอ่ยถามก่อนจะออกจากประตูไป
“…ไม่เป็นไรครับ”
อีอูยอนดูไม่มีสติจนเหมือนจะแยกไม่ออกแล้วว่าเป็นคำถามที่ถามถึงใคร ยุนอารึมกำลังจะถามว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่แล้วก็ล้มเลิกไป
จากยุนอารึมก็ปิดประตูห้องพักผู้ป่วยให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะจากไป
***
จุดโฟกัสของสายตาที่ไม่ชัดเจนค่อยๆ ชัดขึ้น อินซอบกะพริบตาอยู่สองถึงสามครั้ง
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
เสียงของผู้ชายที่ได้ยินจากทางด้านข้างทำให้อินซอบหันหน้าไปอย่างช้าๆ ข้างนอกหน้าต่างมืดสนิท
“…กี่โมงแล้วครับ”
“เพิ่งจะเลยสองทุ่มครับ”
อีอูยอนมองนาฬิกาก่อนจะเอ่ยตอบ
“ผ่านไปวันหนึ่งแล้วเหรอครับ”
“เหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ”
ดูเหมือนอีอูยอนเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าเวลาได้ผ่านไปวันหนึ่งแล้ว
“มือไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับ”
อีอูยอนเอามือที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ให้ดูแทนคำตอบ แล้วอินซอบก็ได้รู้ว่าอีอูยอนยังคงใส่เสื้อเชิ้ตที่เปื้อนเลือดอยู่
“อยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอครับ”
“ครับ”
“…น่าจะเจ็บมือแท้ๆ ขอโทษนะครับ”
อีอูยอนมองอินซอบที่เป็นห่วงตนเองด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนเกินบรรยาย จากนั้นก็เอ่ยปากอย่างกะทันหัน
“คุณยุนอารึมมาด้วยนะครับ”
“คุณยุนอารึมเหรอครับ”
อินซอบเอ่ยถามด้วยความงงงวย
“เธอบอกว่าทางโรงพยาบาลติดต่อไป เพราะเธอใช้เบอร์ลงทะเบียนเป็นผู้ดูแลไว้น่ะครับ”
“…”
ใบหน้าของอินซอบหม่นหมองด้วยความลำบากใจ พอลองคิดดูแล้ว ก็เหมือนจะเห็นยุนอารึมแวบๆ ตอนที่ได้สติขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ แต่เขาคิดว่าเป็นความฝัน
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณโรคกำเริบจนล้มป่วยใช่ไหมครับ”
คำถามของอีอูยอนทำให้อินซอบลังเลก่อนจะเอ่ยว่า “ขอโทษครับ” ออกมา
“ขอโทษเรื่องอะไรครับ”
“ขอโทษที่ไม่สามารถบอกได้ครับ”
แม้อินซอบจะขอโทษ แต่อีอูยอนก็ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ เขาแค่ประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันและจ้องมองอินซอบเท่านั้น
“คุณอินซอบ”
เขาทำลายความเงียบในที่สุด อินซอบพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังประหม่าอยู่นิดหน่อยราวกับกำลังเตรียมพร้อม
“ชอบยุนอารึมเหรอครับ”