“…!”
อินซอบรีบส่ายหน้า
ก่อนที่จะหมดสติไป เขาจงใจโกหก เพราะโมโหในความเห็นแก่ตัวที่อีอูยอนแสดงออกมา ตอนนี้เขาไม่อยากสร้างบาดแผลให้อีอูยอนด้วยคำพูดพวกนั้นอีกแล้ว และก็ไม่อยากดึงยุนอารึมเข้ามาเกี่ยวด้วย
“พูดตรงๆ ก็ได้นะครับ”
“ไม่ครับ ผมพูดจริงๆ ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณยุนอารึมเลยครับ เราเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ”
“งั้นผมก็เป็นแค่คนที่แย่กว่าเพื่อนเฉยๆ ใช่ไหมครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างขมขื่น
“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ…”
อินซอบกัดริมฝีปากล่าง นี่เป็นสถานการณ์ที่ถ้าไม่ยอมพูดความจริง ต่อให้พูดอะไรออกไปก็เป็นได้แค่การแก้ตัว
“วันที่คุณคังยองโมมาที่บริษัท เขาไปหาผมที่หน้าบ้านอีกครั้งในตอนเย็นครับ”
ตาของอีอูยอนหรี่ลงชั่วครู่
“บอกว่าคังยองโมไปหาคุณอินซอบเหรอครับ”
“เขามาเพราะร้อนใจเรื่อง USB น่ะครับ แล้วเราก็ทะเลาะกันนิดหน่อยด้วยครับ”
เขาไม่ยอมบอกว่าโดนชก และกุเรื่องขึ้นมาอย่างกำกวม ส่วนอีอูยอนฟังเรื่องเล่าของอินซอบเงียบๆ
“วันนั้นสภาพร่างกายของผมไม่ค่อยดีอยู่แล้วด้วย ดังนั้นอาการก็เลยกำเริบน่ะครับ และเพราะสัญญากันไว้ว่าจะไปเยี่ยมพวกแมว คุณยุนอารึมก็เลยอยู่ที่นั่นด้วยความบังเอิญ แล้วเธอก็มาจนถึงโรงพยาบาลเป็นเพื่อน แค่นั้นครับ”
“ครับ แค่นั้นสินะครับ”
อีอูยอนพูดซ้ำๆ ราวกับจะขบคิดคำพูดสุดท้ายของอินซอบก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้วเขามาทำอะไรครับ”
“ครับ?”
“คุณยุนอารึมน่ะแค่นั้น แต่สำหรับคังยองโมมันไม่ใช่นี่ครับ เขาทำอะไรครับ อะไรที่เขาทำจนคุณอินซอบไม่ยอมปริปากบอกผม แม้จะล้มเจ็บครับ”
แม้น้ำเสียงจะนุ่มนวล แต่กลับไม่สามารถซ่อนความมุ่งมั่นที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของอีอูยอนได้
“มะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ เขาแค่เป็นกังวลเรื่องเนื้อหาที่อยู่ใน USB เฉยๆ ครับ พอผมพูดดีๆ ด้วยเขาก็กลับไปครับ”
อีอูยอนพ่นลมหายใจสั้นๆ ดัง เหอะ ออกมา
“ไอ้หมอนั่นคงจะกังวลเรื่องธรรมดาทั่วๆ ไป แล้วก็ไปสินะครับ”
อีอูยอนลุกขึ้น
“จะไปไหนครับ”
“ผมจะไปฟังจากเจ้าตัวเองครับ เพราะดูเหมือนคุณอินซอบไม่คิดที่จะพูด”
อินซอบรีบคว้าชายเสื้อของอีอูยอนไว้อย่างรวดเร็วด้วยความกลัว
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ ไม่ต้องไปก็ได้ครับ”
อีอูยอนวางมือของตัวเองลงบนมือของอินซอบที่รั้งตัวเองไว้
“ที่ผ่านมาแม้คุณอินซอบจะโกหก ผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะคิดว่าคุณคงมีเหตุผลที่ทำแบบนั้น”
แม้น้ำเสียงจะนิ่งเรียบ แต่เส้นเอ็นบนหลังมือของอีอูยอนที่จับมือของอินซอบไว้กลับปูดโปน อินซอบรู้ได้เลยว่าเขาแสดงให้เห็นถึงความอดกลั้นที่จะไม่โมโหมากแค่ไหน
“แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วครับ ไอ้คังยองโมนั่นมันแตะต้องคุณ ผมจะปล่อยไว้เฉยๆ ได้ยังไง”
อีอูยอนพยายามดึงมือของอินซอบออก
“ไม่ได้นะครับ”
อินซอบออกแรงดึงเสื้อของอีอูยอนไว้ มือของเขาสั่นเทา อีอูยอนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะปลอบอินซอบ
“ไม่จำเป็นต้องกลัวคนแบบนั้นหรอกครับ”
“…เปล่าครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ เพราะผมจะจัดการเอง”
อินซอบรีบส่ายหน้า และความกระวนกระวายใจก็ทำให้พูดความรู้สึกของตัวเองออกมา
“ผมไม่อยากให้คุณอูยอนไปยุ่งเกี่ยวกับคนคนนั้นครับ ถึงแม้ตอนนั้นจะถูกซ่อนเอาไว้แต่ แต่ถ้าคราวนี้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น…”
ชายหนุ่มกำลังเดินอยู่บนเส้นแดนที่เลือนรางของความเป็นมนุษย์กับความไม่เป็นมนุษย์ซึ่งคนทั่วๆ ไปสามารถแยกได้อย่างแน่นอน
อินซอบรู้ถึงสภาพนั้น เขาจึงตั้งใจเตือนไม่เลิกอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ล้ำเส้นด้วยความดื้อรั้น แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่เขารู้
ดังนั้นเขาจึงกลัว
เขานึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่เห็นที่ตรอกในวันนั้น รอยเลือดที่กระเด็นมาโดนผิวที่สะอาดจนเกือบจะขาวซีด และดวงตาที่ไร้ความรู้สึกที่ก้มลงมองคนที่ตัวเองทำร้าย
ทุกครั้งที่เจอกับภาพที่ห่างไกลความเป็นมนุษย์เหล่านั้น อินซอบมักจะรู้สึกเหมือนผู้ชายที่ตนรักได้หายออกไปนอกเส้นแบ่งนั้นตลอดกาล
“ผมไม่ได้ล้มเจ็บ เพราะคังยองโมหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย คุณหมอบอกว่าผมแค่เครียดเฉยๆ ครับ ถ้าไม่ได้รับความเครียด ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วส่วนอื่นก็ไม่ได้ผิดปกติอะไรเลยครับ”
อินซอบอธิบายถึงสถานการณ์ของตัวเองอย่างรีบร้อน เขานึกถึงอีอูยอนที่บอกว่าไม่อยากถูกขังในโรงพยาบาลจิตเวชหรือคุก ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้สิ่งที่อีกฝ่ายพยายามมาทั้งหมดศูนย์เปล่าด้วยความผิดเพียงชั่ววูบ
“ไม่มีเหตุผลอื่นจริงๆ ครับ ผมไม่ได้บอก เพราะกลัวว่าคุณสองคนยุ่งเกี่ยวกันแล้วจะมีปัญหา แล้วก็กลัวว่าคุณจะโมโหน่ะครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ หมอบอกว่าแค่ไม่เครียดก็พอแล้ว เพราะฉะนั้น…”
อินซอบพูดไม่ออก เขาสบตากับอีอูยอนที่ก้มลงมองตน ความรู้สึกที่ไม่สามารถรับมือได้เอ่อขึ้นมาที่ดวงตาที่สงบนิ่งของอีอูยอน ความโกรธและความโศกเศร้าที่มากเกินกว่าความเสียใจไปแล้วเอ่อล้นอยู่ในดวงตาของเขา
อีอูยอนเม้นปากพร้อมกับกลืนความรู้สึกของตัวเองลงไป
“…มันไม่ได้ไม่เป็นไรเลยสักนิดครับ”
อีอูยอนก้มลงมองมือของตัวเองก่อนจะพึมพำ
“คุณเกือบตายแล้วนะครับ”
ริมฝีปากของเขาสั่นน้อยๆ
“ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะไม่เป็นไร แต่คุณอินซอบ…”
อีอูยอนกุมใบหน้าของตัวเอง พอเห็นท่าทางที่เหมือนจะร้องไห้ หัวใจของอินซอบก็บีบรัด
“ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
ถึงอินซอบจะรีบพูดแบบนั้น แต่อีอูยอนก็ยังไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษอยู่ดี
“คุณบอกว่าไม่เข้าใจผมใช่ไหมครับ”
เขาใช้ฝ่ามือลูบแก้มตอบที่ดูซูบซีดก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณไม่เข้าใจ เพราะผมบอกว่าการทิ้งคุณอินซอบอีกคนแล้วไปคบคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหมครับ”
“…”
อินซอบไม่สามารถพูดอะไรได้เลย
“เพราะแบบนั้นคุณเลยจะกลับไปที่อเมริกาใช่ไหมครับ”
อีอูยอนร้องขอคำตอบซ้ำๆ อินซอบก้มหน้าลง และใช้ความเงียบในการตอบรับคำถามของอีกฝ่าย
“คุณอินซอบพูดถูกแล้วครับ”
อีอูยอนค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“อย่าเข้าใจเลยครับ เพราะผมเองก็ไม่เข้าใจคุณเหมือนกัน คุณจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตกับการคบหา กับเรื่องธรรมดาแบบนี้ด้วยเหรอครับ”
อีอูยอนมองอินซอบ
“พอแล้วครับ”
เสียงของเขาดังกังวานในห้องพักผู้ป่วยอย่างแผ่วเบา อินซอบมองอีอูยอนอย่างเหม่อลอย
อีกฝ่ายไม่ได้โกรธ หรือเสียใจ หรือว่าเศร้าโศก เขาแค่บอกลาอินซอบอย่างเรียบเฉยเท่านั้น
“ผม…”
คนที่บอกว่าคงจะทำไม่ได้ก่อนคือตัวเขาเอง เพราะรู้ถึงความจริงข้อนั้นดี อินซอบจึงไม่สามารถรั้งอีอูยอนไว้และบอกว่าไม่ใช่แบบนั้นได้
“เพื่อไม่ให้มีเรื่องให้คุณต้องกังวลใจ ผมจะบอกกรรมการผู้จัดการเรื่องระเบียบการต่างๆ ในโรงพยาบาลเองครับ ส่วนการตรวจที่สามารถตรวจได้ก็ตรวจทั้งหมดเลยนะครับ”
“…”
ภายในหัวของอินซอบขาวโพลน
อีอูยอนหยิบเสื้อคลุมตัวนอกและลุกขึ้น อินซอบเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่เปิดประตูและกำลังจะออกจากห้องพักผู้ป่วยเอาไว้
“คุณอูยอน…!”
อินซอบกัดริมฝีปากล่างด้วยความรู้สึกสับสนมึนงง แม้จะเรียกชื่อของอีกฝ่ายไว้ แต่เขาก็นึกคำที่จะพูดไม่ออก และรู้สึกเหมือนถูกผูกแขนและขาไว้กลางทะเล
ต้องพูดอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้…
“เวลาอยู่กับคุณอินซอบ ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นคนธรรมดานะครับ”
อีอูยอนพูดโดยที่ไม่หันกลับมามอง เสียงหัวเราะจางๆ ติดอยู่ในน้ำเสียงของเขา
“แต่สัตว์ประหลาดสำหรับคุณอินซอบน่ะ ไม่ใช่คังยองโมหรอกครับ เป็นผมต่างหาก”
“ไม่ใช่คุณครับ คุณอูยอนไม่ใช่…”
“กินข้าวกินยาให้ครบ…แล้วก็พักผ่อนนะครับ”
อีอูยอนเปิดประตูและเดินออกไปก่อนที่อินซอบจะทันได้พูดจบ ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกปิดลงแล้ว ภาพของอีอูยอนที่เคยเห็นในฝันก่อนหน้านี้ซ้อนทับกัน เมื่อมองประตูที่ถูกปิดไปแล้วอินซอบก็ตระหนักได้ว่ามันแตกต่างกับความฝันอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาสามารถตื่นขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้เขาทำแบบนั้นไม่ได้
มันจบแล้ว
***
พอเปิดประตูหน้าบ้านและเข้ามาด้านใน กลิ่นเหม็นคาวก็เตะเข้าที่จมูก อินซอบนิ่วหน้าก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง พื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดแสดงภาพที่น่าสยดสยองในวันนั้นให้เห็นโดยอัตโนมัติ อินซอบถอนหายใจก่อนจะเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดพื้น แต่รอยเลือดที่แห้งจนฝังแน่นไม่สามารถเช็ดออกได้โดยง่าย
เลือดไหลขนาดนี้ จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ
อินซอบยิ้มอย่างขมขื่นให้กับความคิดที่โผล่มาอย่างกะทันหัน
เขาจบกับอีอูยอนแล้ว คราวนี้มันจบลงแล้วจริงๆ ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่อยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย อีอูยอนไม่มาหาเลยแม้แต่ครั้งเดียว มันก็แน่อยู่แล้ว ตัวเขาเองเป็นคนขอให้ทำแบบนั้นก่อน และอีอูยอนก็รับฟังสิ่งนั้น
อินซอบปาผ้าขี้ริ้วที่ใช้เช็ดพื้นทิ้ง เขาถอดเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ก่อนจะนอนลงบนเตียง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะทำความสะอาดให้เสร็จ แต่เขาไม่มีอารมณ์ที่จะทำแบบนั้นเลย
ความรู้สึกแสบจมูกทำให้อินซอบคว้าผ้าห่มเข้ามา เขาใช้ผ้าห่มพันตัวและนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
เขาอยากร้องไห้ แต่น้ำตากลับไม่ไหลออกมา และรู้สึกราวกับว่าไร้ความรู้สึก อินซอบพลิกตัวและเปลี่ยนท่าทาง
หัวหน้าทีมชามาหาเขาทุกวันตลอดระยะเวลาที่เข้าโรงพยาบาล อีกฝ่ายเอาหนังสือที่จะอ่านมาให้ พอมาถึงแล้วก็พูดคุยสัพเพเหระอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะกลับไป
พอวันที่หัวหน้าทีมชามาหาเป็นวันที่สาม อินซอบก็บอกว่าไม่ต้องมาแล้วก็ได้
‘ทำไม รำคาญเหรอ’
‘เปล่าครับ ขาของหัวหน้าทีมยังไม่หายดีเลย ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องวุ่นวายเพราะผมโดยไม่จำเป็น’
‘ไม่ได้วุ่นวายเลยสักนิด’
‘…ผมรู้ครับว่าคุณอีอูยอนรบกวนให้มา’
หัวหน้าทีมชาหัวเราะเบาๆ
‘เห็นฉันเป็นคนที่พออีอูยอนสั่งให้มาก็มา สั่งให้ไม่มาก็ไม่มาเหรอ’
อินซอบไม่ตอบอะไร
‘ฉันมาเพราะเป็นห่วงคุณอินซอบจริงๆ ถ้ารำคาญขนาดนั้นฉันไม่มาก็ได้’
อินซอบส่ายหน้าทั้งหน้าแดง
‘ผม ผมเองก็ชอบหัวหน้าทีมครับ’
‘ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นก็อย่าใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วก็ดูแลร่างกายให้ดี’
หัวหน้าทีมชาตบไหล่อินซอบ อินซอบชอบอีกฝ่ายจากใจจริง ความเอาใจใส่ของอีกฝ่ายที่ส่งมาให้อย่างเต็มที่โดยที่แกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้อินซอบอบอุ่นหัวใจอยู่เสมอ
หัวหน้าทีมชาไม่พูดเรื่องของอีอูยอนเลย และอินซอบเองก็ไม่ได้เอ่ยถามเช่นกัน
การเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันทำให้เขาไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ตตลอดหนึ่งสัปดาห์ เพราะไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือมาด้วย และก็จงใจไม่ดูโทรทัศน์ด้วยเช่นกัน นี่เป็นเวลาที่เขาใช้ชีวิตโดยไม่มีอีอูยอนเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มาถึงเกาหลี
เขาอดทนได้ตลอดช่วงกลางวัน และคิมคังอูกับยุนอารึมที่มาหาเป็นบางครั้งก็เป็นเพื่อนชวนคุยให้ แต่พอเป็นช่วงกลางคืน เขาก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการคิดเกี่ยวกับอีอูยอน
เขาไม่สามารถนอนหลับลงได้เลย
อินซอบพลิกตัวไปทางกำแพงในสภาพที่ยังเอาผ้าห่มคลุมจนมิดหัว
‘…มันไม่ได้ไม่เป็นไรเลยสักนิดครับ’
เขาลืมเสียงของอีอูยอนไม่ลง ต้องพูดอะไรสักอย่าง…ไม่สิ ต่อให้พูดอะไรออกไปแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปล่ะ
อีอูยอนยังคงบอกว่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เขาไม่เข้าใจเลย แม้จะพยายามเพื่อที่จะลองเข้าใจอีกฝ่ายแล้ว แต่ยิ่งเขาทำแบบนั้นก็ยิ่งทุกข์ใจ
เราชอบเขาขนาดนี้…
แค่คิดถึงอีอูยอน เขาก็เจ็บแปลบไปทั้งตัว ความเจ็บปวดได้ทิ่มแทงเข้าไปในเส้นเลือดทุกครั้งที่เขาหายใจ ราวกับว่าเส้นประสาทได้เชื่อมต่อติดกันตั้งแต่หัวใจไปจนถึงปลายนิ้ว
อินซอบลุกขึ้น มันเลยเวลาที่จะต้องกินยามาเยอะแล้ว แม้จะไม่มีความคิดเรื่องข้าว แต่เขาต้องกินอะไรสักอย่างเพราะยา เนื่องจากเพิ่งย้ายเข้ามา ตู้เย็นจึงว่า’เปล่า อินซอบหยิบเสื้อนอกขึ้นมา เขาตั้งใจที่จะออกไปซื้ออาหารเข้ามาต่อให้ตัวเองอาจตายได้ง่ายๆ ก็ตาม
ตอนนั้นเองซองที่อยู่ในกระเป๋าก็ตกลงมาบนพื้น เป็นซองที่ได้รับจากรรมการผู้จัดการคิมในวันนี้
กรรมการผู้จัดการคิมช่วยทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้ และยื่นซองให้กับอินซอบที่กำลังเก็บของออกมา
‘ฉันใส่เงินเดือนกับเงินบำนาญไว้ให้’
‘ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ’
เขารู้ว่ากรรมการผู้จัดการคิมจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดให้ แม้จะบอกว่าเป็นเงินที่มาจากบริษัท แต่อินซอบก็ไม่สามารถรับเงินเดือนไว้ได้อยู่ดี
‘รับไป ถ้าฮุบเงินเดือนเข้ากระเป๋าตัวเอง บริษัทอาจจะถูกแจ้งกับกรมแรงงานได้’
กรรมการผู้จัดการคิมยัดซองใส่กระเป๋าของอินซอบ อินซอบทำอะไรไม่ถูก เพราะกลัวว่าบริษัทจะถูกแจ้งเพราะตน และได้แต่ยืนลังเล
‘แล้วก็นี่’
สิ่งที่กรรมการผู้จัดการคิมยื่นให้คือพาสปอร์ตปกน้ำเงิน
‘อีอูยอนบอกว่าหาเจอระหว่างที่จัดของน่ะ’
อินซอบรับพาสปอร์ตมาโดยไม่พูดอะไร เพราะเขารู้ว่ามันหมายความว่าอะไร กรรมการผู้จัดการคิมตบไหล่อินซอบครั้งสองครั้งและออกจากห้องพักผู้ป่วยไป