ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 2 เล่ม 4 ตอนที่ 7-9

ภาค 2 เล่ม 4 ตอนที่ 7-9

คงต้องกลับอเมริกาแล้วสินะ 

อินซอบก้มลงมองพาสปอร์ตและเปิดออกดู เขาสามารถหาตราประทับเข้าประเทศตอนที่เข้ามาที่ประเทศเกาหลีครั้งแรกได้อย่างไม่ยาก พอเปิดต่อไปอีกสองสามหน้า เขาก็เห็นตราประทับเข้าประเทศที่ฮาวาย หน้าถัดไปเป็นตราประทับที่เขาเข้าอเมริกาอีกครั้ง และหลังจากนั้นสองสามหน้าก็มีตราประทับที่เขากลับเข้าเกาหลีมาใหม่ถูกประทับไว้

ประวัติเรื่องราวของเขากับอีอูยอนถูกสรุปไว้ด้วยตราประทับหลายอัน อินซอบใช้นิ้วลูบตราประทับเข้าประเทศที่ถูกประทับไว้ท้ายสุดอย่างเหม่อลอย

เขานึกถึงภาพของอีอูยอนที่รอตนตรงช่องทางขาเข้าประเทศในสภาพสวมหมวกลงต่ำ หัวใจของเขาเจ็บแปลบ อินซอบรีบปิดพาสปอร์ตและเก็บไว้ในโต๊ะเขียนหนังสือ

อินซอบหยิบซองที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา เพราะคิดว่าควรจะเก็บไว้ด้วยกัน แต่ปลายนิ้วเขากลับรู้สึกสัมผัสของกระดาษแข็งๆ ที่ไม่ใช่ธนบัตร

“…?”

อินซอบเปิดซองออก ข้างในนั้นมีซองกระดาษสีกรมถูกใส่ไว้มากกว่าหนึ่งอัน แม้จะไม่เปิดออกดู แต่อินซอบก็รู้ว่าในซองนั้นมีอะไรใส่อยู่ นี่เป็นซองที่เขายื่นให้อีอูยอน

พอเปิดซองสีกรมดูก็พบเช็คเงินสดที่ตัวเขาให้ธนาคารออกให้ใส่อยู่อย่างที่คิด อินซอบหาโทรศัพท์มือถือ พอชาร์จโทรศัพท์ที่ตกอยู่ตรงซอก เครื่องก็ติดหลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง

แม้จะเต็มไปด้วยสายที่ไม่ได้รับกับข้อความ แต่เขาก็ไม่สนใจ และต่อสายหากรรมการผู้จัดการคิม หลังจากเสียงสัญญาณดังอยู่สองสามครั้ง โทรศัพท์ก็ถูกเชื่อมต่อ

[ฮัลโหล?]

เขาได้ยินน้ำเสียงที่เหมือนจะงงเล็กน้อยจากปลายสาย

“สวัสดีครับกรรมการผู้จัดการ ผมชเวอินซอบนะครับ”

[อ้อ? เดี๋ยวนะ]

หลังจากเสียงดังก๊อกแก๊ก กรรมการผู้จัดการคิมก็พูดว่า “อื้อ พูดมาสิ” และเร่งให้อินซอบพูดต่อ

“ผมเพิ่งเช็กในซองครับ”

[ทำไมล่ะ เงินไม่พอเหรอ]

“เปล่าครับ มันมีเงินที่ผมได้รับมาผิดอยู่ครับ ของที่ใส่ไว้ในซองสีกรมไม่ใช่ของผม แต่…”

[รู้แล้ว ฉันได้ยินมาแล้วล่ะ ว่าเป็นเงินที่ใช้เป็นค่าซ่อมรถ แต่เรื่องนั้นบริษัทประกันจัดการหมดแล้ว แล้วอีอูยอนก็บอกว่าไม่มีเงินที่ต้องใช้ หรือต้องได้รับด้วย]

“แต่ค่าประกันน่าจะเยอะมากเลยนะครับ”

[อินซอบเอ๊ย ฉันเคยได้ยินมานะว่าการเป็นห่วงที่เปล่าประโยชน์ที่สุดในโลก คือการเป็นห่วงคนรวยกับการเป็นห่วงดารา รู้ไหมว่าตอนนี้นายกำลังทำทั้งสองอย่างนั้นอยู่]

“แต่ผมรับเงินนี้ไว้ไม่ได้หรอกครับ”

[ถ้าอย่างนั้นก็คิดว่าเป็นค่าทำขวัญ โอ๊ย!]

เสียงกรีดร้องอย่างกะทันหันที่ได้ยินจากปลายสายทำให้อินซอบเอ่ยถามด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

[เปล่า ไม่มีอะไร ฮ่าๆ ฉันกำลังขับรถอยู่น่ะ แล้วขาก็เป็นตะคริวขึ้นมา ฮ่าๆๆ]

หลังจากกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะแล้ว กรรมการผู้จัดการคิมก็พูดต่อ

[ยังไงเงินนั่นก็เป็นเงินของเธอ เธอก็เอาไปเถอะ คิดว่าด้วยนิสัยของอีอูยอนแล้วเขาจะรับเงินนั้นเหรอ]

“แต่…”

[ฉันจะพูดเผื่อเอาไว้นะ ว่าอย่าคิดที่จะเอามาคืนฉันเลย เพราะนั่นจะทำให้ฉันวุ่นวายอีกรอบ]

กรรมการผู้จัดการคิมตัดบทด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดอย่างไม่เหมือนกับปกติ อินซอบถอนหายใจ

[กินข้าวหรือยัง]

“ผมกำลังจะกินครับ”

[กินให้ครบทุกมื้อล่ะ แล้วก็กินยาให้ครบด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรศัพท์มานะ]

“ขอบคุณครับกรรมการผู้จัดการ”

[ตอนนี้ฉันคุยยาวๆ ไม่ได้ เพราะกำลังจะไปที่ไหนสักที่ เอาไว้คุยกันทีหลังนะ]

อินซอบเอ่ยลาว่า “เดินทางดีๆ นะครับ” และวางสายไป เขาจ้องมองซองสีกรมที่มีเช็คเงินสดอยู่ข้างในก่อนจะเปิดลิ้นชักและเก็บมันเข้าไป

อินซอบค้นหายาและโยนเข้าปากก่อนจะกลืนลงไปโดยไม่ดื่มน้ำตาม จากนั้นก็นอนลงบนเตียงตามเดิม

เขาต้องไปจ่ายตลาด ต้องทำความสะอาด และต้องจัดบ้าน แต่ตอนนี้เขาไม่อยากทำอะไรเลย ความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงที่รู้สึกเป็นครั้งแรกทำให้อินซอบทำเพียงแค่หลับตาลง เขารู้สึกราวกับจมลงไปในน้ำที่ทั้งเย็นและลึก แล้วก็คิดถึงอีอูยอน

***

“พอได้ยินเสียงแล้วอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างไหม”

กรรมการผู้จัดการคิมเหลือบมองด้านข้างก่อนจะเอ่ยถามทั้งที่กำพวงมาลัยไว้ อีอูยอนมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะตอบว่า “ก็ไม่รู้สิครับ”

“ฉันจงใจเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ได้ยินเสียงแท้ๆ แค่พูดผิดคำเดียวถึงกับต่อยเลยเหรอ นายใช้ชีวิตแบบนั้นไม่ได้นะ”

แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะจงใจพูดติดตลก แต่อีอูยอนกลับไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ

“ดูเหมือนอินซอบจะกลับอเมริกาเร็วๆ นี้นะ ก็ไปเจอหน้าเขาสักครั้งหนึ่งสิ”

อีอูยอนหลับตาลง ไม่ตอบอะไร

กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกร้อนใจ

ตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากคิมคังอูว่าอีอูยอนหายไประหว่างพิธีมอบรางวัล เขาก็มีลางสังหรณ์ว่าฉิบหายแน่ๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่ฉิบหายเฉยๆ ด้วย แต่เป็นโคตรจะฉิบหายเลยต่างหาก กรรมการผู้จัดการคิมบล็อกเบอร์โทรศัพท์ทั้งหมดของพวกนักข่าวที่หลั่งไหลเข้ามา

แม้รู้ความจริงมาว่าอีอูยอนเอาโทรศัพท์มือถือของคิมคังอูไป จึงติดต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ติดต่อไม่ได้ แล้วตอนกลางคืนเขาก็ได้รับสายจากอีอูยอน พอรีบแล่นไปที่โรงพยาบาล อีอูยอนก็นั่งอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยเลือดอีกแล้ว เขากลั้นความต้องการที่อยากจะพ่นคำด่าต่างๆ ที่มีในโลกออกมาไว้ และถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

‘ผมไม่รู้ครับ’

อีอูยอนตอบทั้งๆ ที่ไม่ละสายตาไปจากอินซอบ ใบหน้าของเขาเหมือนกับเด็กที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

‘เลือดพวกนั้นคืออะไรกันแน่…นายคงไม่ได้ฆ่าใครตายใช่ไหม’

อีอูยอนยกมือของตัวเองให้ดูแทนคำตอบ พอเห็นแผลในมือที่ถูกผ้าเช็ดหน้าพันไว้ลวกๆ กรรมการผู้จัดการคิมก็อยากจะร้องไห้ สุดท้ายเขาก็ใช้กำลังดันหลังของอีอูยอน และสั่งให้ย้ายไปที่ห้องฉุกเฉิน ส่วนตัวเองก็เฝ้าห้องพักผู้ป่วยไว้

กรรมการผู้จัดการคิมมองอินซอบที่นอนอยู่บนเตียงพลางคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ คนทั้งคู่ไม่ใช่คนรัก แต่เป็นคู่กรรมของกันและกันหรือเปล่า

เขาไม่กล้าที่จะพูดเรื่องพิธีมอบรางวัล หรือเรื่องแชยอนซอกับอีอูยอนที่กลับมาหลังจากที่ได้รับการรักษาแล้ว เขาคิดไว้ว่าถ้าเจอหน้าจะด่าให้ว่ายังมีสติอยู่กับตัวหรือเปล่า แต่พอเห็นหน้าเข้าจริงๆ เขาก็อ้าปากไม่ออก

อีอูยอนนั่งลงหน้าเตียง และรอให้อินซอบฟื้นอย่างเลื่อนลอย กรรมการผู้จัดการคิมต้องใช้โทรศัพท์มือถือค้นหายาบำรุงที่ดีสำหรับดวงตา เพราะท่าทางนั้นเหมือนหมาที่โดนทิ้งเหลือเกิน

“นานๆ ทีไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไหม”

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณน่าจะยุ่ง”

“นายนึกถึงฉันขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”

อีอูยอนกระตุกยิ้ม

“กลัวว่าผมจะฆ่าตัวตายเหรอครับ”

แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบ แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็พยายามสำรวมให้มากที่สุดและมองไปด้านหน้า

“ผมไม่ตายหรอกครับ”

อีอูยอนพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร และหลับตาลงอีกครั้ง

หลังจากที่ข่าวออก บริษัทก็พยายามจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และในขณะที่กำลังจะส่งไปให้สื่อ กรรมการผู้จัดการคิมก็ได้รับโทรศัพท์จากอีอูยอนอีกครั้ง เขาขอให้ส่งคนไปที่โรงพยาบาล เพราะตัวเองจะกลับบ้าน กรรมการผู้จัดการคิมไม่เข้าใจในทันที

‘จะกลับไปเปลี่ยนเสื้อเหรอ’

เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ และกำลังจะตำหนิว่าเลิกทำให้ขนลุกสักที แต่ต่อมากลับได้ยินคำพูดที่ไม่เคยคาดคิด

‘จบแล้วครับ กับชเวอินซอบน่ะ’

น้ำเสียงที่สงบนิ่งทำให้กรรมการผู้จัดการคิมไม่กล้าที่จะถามคำถามว่านายฆ่าอินซอบก่อนจะออกมาเหรอ

‘ค่ารักษาพยาบาลผมจะจ่ายเอง ดังนั้นให้เขาตรวจทุกอย่างที่สามารถตรวจได้ แล้วตอนเย็นวันนี้ก็ช่วยส่งหัวหน้าทีมชามาหน่อยนะครับ คุณอินซอบเขาอยู่คนเดียว’

เมื่อวันก่อนนี้เองที่เจ้าตัวบอกว่าจะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ และจะผูกมัดชเวอินซอบไปทั้งชีวิต แม้จะไม่อาจเชื่อการเปลี่ยนใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้ในทันที แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็นึกขึ้นได้ว่าอีอูยอนเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว และหัวเราะออกมา

‘ฮ่าๆๆ เห็นพูดเหมือนไม่ว่ายังไงก็จะไม่เลิกกันนี่ สุดท้ายพวกนายก็เลี่ยงมะ…’

สายถูกตัดไป แม้จะต่อสายหาอีกครั้ง แต่อีอูยอนก็ไม่รับ แล้ววันนั้นก็ผ่านไปอย่างนั้น เพราะเขายุ่งอยู่กับการรับมือกับข่าว ปัญหาก็คือหลังจากนั้นเขาก็ยังติดต่ออีอูยอนไม่ได้

กรรมการผู้จัดการคิมจึงไปหาอีอูยอนที่บ้านในวันที่สาม วินาทีที่เห็นอีอูยอนนั่งอย่างเหม่อลอยอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น กรรมการผู้จัดการคิมก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดกว่าที่คิด เขาจับอีอูยอนไว้และอ้อนวอนว่าไปโรงพยาบาลกันเถอะ หลังจากขอร้องให้อีกฝ่ายไปโรงพยาบาลได้ก็ได้รับใบสั่งยานอนหลับขนานแรงมา

อีอูยอนไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยิน แม้เขาจะพยายามใช้กำลังลากไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่ขยับ ทำไมกำลังของคนที่ไม่ได้นอนเลยสักตื่นมาหลายวันถึงได้แข็งแรงขนาดนั้น

สุดท้ายวันนี้อินซอบก็ได้ออกจากโรงพยาบาล และกรรมการผู้จัดการคิมก็ได้พาอีอูยอนไปที่โรงพยาบาล เป็นค่าตอบแทนที่ตนช่วยเอาซองให้แทนเจ้าตัว หลังจากที่ได้รับใบสั่งยานอนหลับจากโรงพยาบาล ผู้อำนวยการชเว หรือลูกพี่ลูกน้องของกรรมการผู้จัดการคิมก็รั้งเขาไว้

‘พี่ ดูเหมือนการให้คนไข้อีอูยอนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจะดีกว่านะ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้’

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะหัวเราะเยาะ แต่เขาก็ได้เห็นอีอูยอนที่มีอาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรงขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วด้วยตาของตัวเอง

อีอูยอนขับรถเองและเกิดอุบัติเหตุ เพราะไม่สามารถหยุดถ่ายละครกลางคันได้ นี่จึงเป็นเหตุผลเดียวที่เขาจะสร้างเหตุผลที่เหมาะสมพอที่จะไปหาชเวอินซอบขึ้นมาได้ เขาสามารถตายได้ สามารถพิการไปตลอดชีวิตก็ได้ อีอูยอนไม่คิดว่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องสำคัญอะไร เนื่องจากรู้ถึงความจริงนั้น ตนจึงไม่สามารถทิ้งอีกฝ่ายไว้เฉยๆ ได้

“กินข้าวแล้วค่อยกินยานะ ถ้ากินยาตอนท้องว่าง ท้องไส้จะพังหมด”

กรรมการผู้จัดการคิมเหลือบมองอีอูยอนพลางเอ่ย อีอูยอนที่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ มาตลอดก็หันหน้ามา

“อาการเป็นยังไงบ้างครับ”

“จะเป็นยังไงได้ล่ะ ก็…”

ตอนที่ไปหาอีอูยอนในรอบสามวัน วินาทีที่เห็นอีกฝ่ายปิดผ้าม่านทั้งหมด และนั่งอยู่บนโซฟา ความคิดว่าถึงไอ้หมอนี่จะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่จะมาทำให้เป็นเทศกาลฮาโลวีนไม่ได้ไหม พอผอมลงและรูปตาคมขึ้น ความงามแบบโทรมๆ เพิ่มขึ้นบนหน้าตาที่ดูดีอยู่แล้ว และทำให้เสน่ห์ที่ล้ำลึกถูกปล่อยออกมาด้วย

พอกรรมการผู้จัดการพูดไม่ออก อีอูยอนก็เอียงคอ เขาช่างเป็นคนหล่ออย่างไร้ประโยชน์ เพราะแม้แต่การกระทำนั้นก็ยังเป็นเหมือนภาพวาด

“ก็ต้องอาการไม่ดีน่ะสิ ไม่เห็นเวลาส่องกระจกหรือไง เพราะฉะนั้นก็ต้องกินยา กินยา แล้วก็นอนหลับให้เต็มที่”

“ใครเขาถามถึงอาการของผมกันล่ะครับ”

“…ของอินซอบก็บอกไปแล้วนี่”

เขาไปที่โรงพยาบาลที่อินซอบเข้ารับการรักษาตั้งแต่เช้าเพื่อปรึกษากับหมอเจ้าของไข้ และรับผลตรวจทั้งหมด จากนั้นก็รายงานให้อีอูยอนรู้ เนื่องจากในนั้นยังรายงานได้ไม่ดีพอ อีกฝ่ายจึงสั่งให้ต่อสายหาหมอเจ้าของไข้โดยเฉพาะ และสอบถามนั่นนี่ด้วย

“บอกว่าไม่เป็นอะไร แล้วทำไมเสียงถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ”

“ถ้าสงสัยนายก็ไปดูเองสิ! ไม่สิ ถ้าสำคัญขนาดนั้นจะเลิกกันทำไมล่ะ”

กรรมการผู้จัดการคิมขึ้นเสียง

การคบหากันของดาราเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากเป็นวงการที่รวมหนุ่มหล่อสาวสวยเอาไว้ การสปาร์คกันได้ตลอดเวลาจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว และการแยกทางกันก็เกิดขึ้นบ่อยพอๆ กัน กรรมการผู้จัดการคิมเรียกเด็กๆ ในบริษัทที่เศร้าจากการเลิกกันมาเลี้ยงข้าวและเหล้าเป็นบางครั้ง เพราะเขาถือว่าการดูแลสภาพจิตใจของดาราในบริษัทเป็นหน้าที่ของกรรมการผู้จัดการ

แต่

“ไปคบกันใหม่เดี๋ยวนี้เลย! ฉันจะพาไปที่บ้านของชเวอินซอบเอง”

นอกจากเรื่องยาเสพติด ข่มขืน และฆ่าคนตายแล้ว ไม่มีข่าวลือไหนที่จะอันตรายได้เท่ากับเรื่องที่ดาราระดับแนวหน้าคบกับเพศเดียวกัน ในฐานะกรรมการผู้จัดการของบริษัท แม้จะสมควรแล้วที่เขาจะเต้นรำให้กับการเลิกกันครั้งนี้ แต่พอเห็นสภาพทุเรศๆ ของอีอูยอนแล้ว กรรมการผู้จัดการคิมก็เผลอพูดความจริงข้างในจิตใจออกไปอย่างไม่รู้ตัว

อีอูยอนยิ้มจางๆ

“ถ้าสามารถคบกันได้อีกครั้ง ผมก็ต้องคบอยู่แล้วล่ะครับ”

“งั้นก็ไปอ้อนวอนหรือทำอะไรก็ได้ แล้วก็คบกันก็พอ นายต้องทำผิดแน่ๆ!”

คำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมทำให้อีอูยอนพึมพำว่า “ใช่แล้วครับ” จากนั้นก็เบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างในสภาพนั่งเท้าคาง

อีอูยอนไม่ยอมบอกเหตุผลที่เลิกกัน แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะเอ่ยถามอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น อีกฝ่ายก็ปิดปากเงียบ และเอาแต่มองไปที่อื่นเหมือนกับตอนนี้

ไอ้คนน่าหงุดหงิดเอ๊ย …ไอ้คนหล่ออย่างไม่จำเป็นที่ทำเป็นแค่หาเงินเก่งฉิบหาย แต่เอามาใช้ไม่เป็น

ระหว่างที่กรรมการผู้จัดการคิมพึมพำคำด่าที่ไม่กล้าพูดออกมาอยู่นั้น รถก็ติดไฟแดง อีอูยอนเอ่ยปากพูดทันทีที่รถหยุด

“ผมคิดว่าเขาอาจจะนอกใจครับ”

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท