ตอนที่ 252 ขอความร่วมมือ
หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ หลินม่าย โต้วโต้ว และฟางจั๋วหรานก็ออกจากร้านเพื่อขึ้นรถไฟไปเที่ยวที่เสินหนงเจี้ย
ทันทีที่ได้ออกไป หลินม่ายรีบแวะซื้อหนังสือพิมพ์อย่างเร่งรีบ แทบอดใจไม่ไหวจนต้องรีบเปิดอ่าน
พาดหัวข่าวในคอลัมน์วิถีประชา ตีพิมพ์ข่าวแผนปฏิบัติการปราบปรามแบบสายฟ้าแลบเมื่อคืนนี้
เนื้อหาในบทความเขียนว่า แผนปฏิบัติการปราบปรามแบบสายฟ้าแลบในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ทำให้พวกอันธพาลที่คอยเรียกเก็บค่าคุ้มครองในเขตฮั่นโขวหายไปเกือบหมด ไม่วายย้ำว่าคนเหล่านี้จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงตามกฎหมาย
เมื่อเห็นว่าหนังสือพิมพ์ไม่ได้ระบุรายชื่อของผู้ที่ถูกจับกุม แต่ระบุแค่จำนวนคนที่สามารถจับกุมได้เท่านั้น หลินม่ายก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ในบรรดาคนที่โดนจับมีลูกน้องของเฉินเฟิงบ้างไหม? ถ้ามี เฉินเฟิงต้องตกที่นั่งลำบากแน่
ในขณะที่เธอกำลังใจลอยอยู่นั้น ฟางจั๋วหรานก็กระชากแขนเธออย่างแรงจนโผเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา ก่อนที่คนขี่จักรยานอายุประมาณยี่สิบแปดปีจะขับผ่านหน้าเธอไป
หลินม่ายเงยหน้ามองเขาด้วยความงุนงง
ฟางจั๋วหรานยังคงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ถ้อยคำมีความตำหนิ “หนังสือพิมพ์มีอะไรที่ทำให้คุณอ่านอย่างคร่ำเคร่งจนไม่ยอมมองทางขนาดนั้น คุณเกือบโดนจักรยานชนเข้าแล้ว”
“แค่ข่าวทั่วไปน่ะค่ะ ฉัน… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้จดจ่ออยู่กับมันนัก” ว่าแล้วหลินม่ายก็พับหนังสือพิมพ์ใส่กระเป๋า ก่อนจะสะบัดศีรษะอย่างแรง ขับไล่ความกังวลเกี่ยวกับเฉินเฟิงและลูกน้องของเขาออกไป
ต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เธอก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้อยู่ดี
แต่ถ้าพวกเขายังคงปลอดภัย ก็เท่ากับว่าเธอวิตกกังวลไปโดยเปล่าประโยชน์
ภายในฐานที่มั่น เหลียนเฉียวเพิ่งจะอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์รายวันจบ แน่นอนว่าหล่อนเห็นพาดหัวข่าวเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการปราบปรามแบบสายฟ้าแลบ
ทันใดนั้นหล่อนก็เข้าใจแล้ว ที่แท้เมื่อวานหลินม่ายก็มาหาเฉินเฟิงเพื่อเตือนเขาเรื่องนี้
มือของหล่อนที่ถือหนังสือพิมพ์เอาไว้จิกแน่นจนเนื้อเปลี่ยนเป็นสีขาว
ระหว่างนั้นก็คิดกับตัวเองไปพลาง ถ้าหล่อนแอบรายงานเรื่องหลินม่าย อีกฝ่ายจะต้องจบไม่สวยอย่างแน่นอน
พอคิดได้แบบนี้ เหลียนเฉียวก็ลุกขึ้นยืน ตั้งท่าว่าจะออกไปข้างนอก
เฉินเฟิงซึ่งกำลังกินอาหารเช้าที่ลูกน้องออกไปซื้อมาให้จากแผงลอยใกล้เคียงเห็นแบบนั้น ก็ถามขึ้นว่า “เธอจะไปไหน?”
เขาออกคำสั่งห้ามไม่ให้ใครเดินเพ่นพ่านออกไปจากฐานที่มั่นเป็นเวลาสามวัน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเขา
เหลียนเฉียวตอบกลับอย่างใจเย็น “ไปห้องน้ำค่ะ”
ที่นี่ไม่มีห้องน้ำในตัว ดังนั้นผู้คนจึงต้องออกไปใช้ห้องน้ำด้านนอก
เฉินเฟิงพยักหน้า “ไปเถอะ”
เหลียนเฉียวจึงเดินออกมาจากฐานที่มั่น
เฉินเฟิงไม่เพียงจัดคนให้ออกไปเฝ้ายามที่บริเวณทางเข้าออกของฐานที่มั่นเท่านั้น แต่ยังตั้งจุดตรวจไว้ที่หน้าประตูลานบ้านอีกด้วย
กล่าวโดยสรุปก็คือ ถ้าใครก็ตามอยากออกไปจากฐานที่มั่น จะต้องเดินผ่านจุดตรวจตราถึงสองจุด
เหลียนเฉียวเหลือบมองไปทางจุดตรวจหน้าประตูลานบ้าน จากนั้นก็เดินเลี่ยงเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ตรงหัวมุม
หล่อนวางแผนว่าจะปีนข้ามกำแพงห้องน้ำตรงหัวมุมแห่งนี้ออกไปข้างนอก ตราบใดที่หล่อนไปไวมาไว เฉินเฟิงไม่มีทางสงสัยแน่
แต่พอหล่อนยืนอยู่ข้างกำแพงห้องน้ำ ภายในใจกลับเกิดความลังเลขึ้นมา
หลินม่ายช่วยให้พวกพ้องทั้งหมดของหล่อนปลอดภัย แต่หล่อนกลับคิดจะแก้แค้นเธอ…
ท้ายที่สุด หล่อนก็ยอมล้มเลิกความตั้งใจนั้น ก่อนจะเดินวกกลับไปยังฐานที่มั่น
หล่อนมองไปทางเฉินเฟิงด้วยความรู้สึกผิด พบว่าเขาเองก็จ้องมองมาทางนี้อยู่พอดี
เหลียนเฉียวรีบก้มหน้างุด พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขา
…
เสิ่นหนงเจี้ยเป็นสถานที่ที่น่าตื่นตามาก แต่ตอนเดินเที่ยวก็เหนื่อยเอาการ
ในวันที่สาม เมื่อทั้งสามกลับมาจากการท่องเที่ยว หลินม่ายเหน็ดเหนื่อยจนร่างแทบพัง ต่างจากฟางจั๋วหรานที่ยังคงกระตือรือร้นไม่เปลี่ยน
ทันทีที่โจวฉายอวิ๋นเห็นเข้า ก็ยิ้มพลางพูดทักทาย “ม่ายจื่อ เธอจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้นะ เห็นหรือเปล่าว่าคุณหมอฟางทั้งอุ้มโต้วโต้ว ทั้งสะพายกระเป๋าเป้ แต่เธอที่เดินตัวปลิวมือเปล่ากลับทำท่าเหนื่อยจะตายแบบนั้น สงสัยเธอคงต้องออกกำลังกายเพิ่มแล้ว”
โต้วโต้วโพล่งขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังอยู่ในอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน “แม่จะไม่เหนื่อยได้ยังไงคะ ก็คุณอาบอกแม่ทุกครั้งที่เหนื่อยล้าจากการเดินว่าเขาจะมีแรงกำลังมากขึ้นถ้าได้จูบจากแม่เป็นยาบำรุงหยินและหยาง หลังจากนั้นพวกเขาก็หอมแก้มกันอยู่เรื่อย จนแม่จ๋าหมดแรง”
ทันทีที่คำพูดไร้เดียงสาหลุดออกจากปากของเด็กหญิงตัวน้อย หลินม่ายก็รู้สึกราวกับตัวเองถูกทำให้ได้รับความอับอายทางสังคม
เธอแสร้งทำเป็นโกรธเคือง ตบก้นเล็ก ๆ ของโต้วโต้ว “ทำไมถึงได้พูดจาไร้สาระนักนะ…”
โต้วโต้วทำหน้ามุ่ยด้วยความเสียใจ “หนูไม่ได้พูดไร้สาระซะหน่อย”
ทุกคนเห็นว่าหลินม่ายเขินอายจนแทบจะขุดโพรงดินเพื่อมุดเข้าไปอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าแซวเธออีก จนกระทั่งคล้อยหลังไปแล้ว พวกเขาจึงหัวเราะกันจนไหล่โยก
ฟางจั๋วหรานกลับออกไปหลังจากกินอาหารเย็นที่ร้านของหลินม่ายอิ่มแล้ว
หลินม่ายถามโจวฉายอวิ๋นเกี่ยวกับธุรกิจการค้าขายในร้าน โจวฉายอวิ๋นตอบว่า “ยังคล่องตัวเหมือนเดิม”
หลินม่ายถามอย่างแปลกใจ “เพื่อนบ้านของเราเขาไม่ได้พยายามจะขายอาหารแข่งกับเราหรอกเหรอ?”
“ก็มีบ้าง อาหารร้านเขาขายในราคาที่ถูกกว่าร้านของเรานิดหน่อย”
“แล้วธุรกิจของพวกเขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ขายดีพอใช้”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ เธอคิดว่าหวังหรงจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อตัดช่องทางทำมาหากินของร้านเธอเสียอีก ปรากฏว่าหล่อนไม่ได้ทำอย่างนั้น
หรือจะเป็นอย่างที่หล่อนพูดจริง ๆ ว่าร้านเว่ยเซียงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหล่อนเลย เจ้าของร้านตัวจริงคือเพื่อนของหล่อนต่างหาก?
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่เพื่อนของหวังหรง และตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ได้หาเรื่องแข่งขันแก่งแย่งกับเธอ หลินม่ายจึงยังไม่ได้คิดแผนปรับกลยุทธ์แต่อย่างใด ยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและจดจ่ออยู่กับธุระของตัวเอง
หลังจากดูข่าวที่ออกอากาศไปได้สักพัก หลินม่ายก็หาข้ออ้างเพื่อที่จะออกไปเจอกับเฉินเฟิงที่ถนนเจียงฮั่น
ระหว่างทางเธอรู้สึกกังวลใจอยู่ตลอด เพราะกลัวว่าจะไม่เห็นเขารออยู่ที่นั่น
ทันทีที่ไปถึงสี่แยกถนนเจียงฮั่น หลินม่ายกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นว่าเฉินเฟิงกำลังเดินวนเวียนอยู่แถวตำแหน่งที่เธอเคยมาตั้งแผงขายเสื้อผ้า ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็แทบหล่นลงไปกองอยู่ในช่องท้อง
เฉินเฟิงเองก็มองเห็นเธอเช่นเดียวกัน เขาเดินตรงไปหา ก่อนจะพูดว่า “ตามฉันมา”
หลินม่ายเดินตามเขาไป จนมาถึงกระท่อมเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาทั้งสองเคยพักสมัยที่เจอกันเป็นครั้งแรก
แต่ภายในกระท่อมกลับดูแตกต่างออกไปจากที่เคยเห็น ไม่มีกลิ่นเหม็นอับ เหมือนมีคนคอยมาดูแลเป็นประจำ
เฉินเฟิงไม่เปิดไฟ แต่ยังอุตส่าห์เปิดขวดน้ำอัดลมให้กับหลินม่าย โดยอาศัยความสว่างจากแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากด้านนอก
หลินม่ายยกขวดน้ำอัดลมขึ้นดื่ม ประโยคแรกที่ถามคือ “ลูกน้องของคุณปลอดภัยดีไหม?”
เฉินเฟิงเปิดขวดน้ำอัดลมให้ตัวเองบ้าง ก่อนจะเชิญให้หลินม่ายนั่งลงบนโซฟา จากนั้นเขาก็หย่อนก้นลงนั่งตาม
“เธอมาเตือนฉันขนาดนั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาได้ยังไง!”
หลินม่ายจึงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ “งั้นก็ดีแล้ว”
เมื่อเห็นว่าเธอเป็นห่วงลูกน้องของเขามากขนาดนี้ เฉินเฟิงก็รู้สึกประทับใจไม่น้อย “เธอยังไม่ได้บอกเลยว่าเธอต้องการคุยกับฉันเรื่องอะไร?”
“ฉันอยากขอความร่วมมือจากคุณ ไม่รู้ว่าคุณจะสนใจไหม?”
เฉินเฟิงยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่เธออยากขอความร่วมมือคืออะไร ถึงจะตัดสินใจได้”
หลินม่ายยิ้มให้เขาเช่นกัน “เรื่องเป็นแบบนี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันเพิ่งจะทำสัญญาการค้ากับตลาดสดของรัฐบนถนนเจี่ยเฟิง ดูเหมือนว่ายังขาดพนักงานขนส่งอยู่พอดี ไม่รู้ว่าคุณกับลูกน้องของคุณอยากร่วมงานกับฉันหรือเปล่า?”
สายตาของเฉินเฟิงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ได้สิ แต่เธออยากได้คนช่วยงานตั้งสามร้อยกว่าคนเชียวเหรอ?”
หลินม่ายนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีลูกน้องอยู่ในความปกครองมากมายขนาดนี้ เธอตอบทั้งที่หน้าแดงก่ำ “ไม่ขนาดนั้น…”
“ถ้าอย่างนั้นอยากได้เท่าไหร่?”
หลินม่ายคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วถามกลับว่า “คุณมีรถบรรทุกกี่คัน?”
“ห้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอคนขับแค่ห้าคนพอ”
เฉินเฟิงกระดกน้ำอัดลมดื่มจนหมดเกลี้ยงภายในอึกเดียว ถามด้วยความสงสัย “ตลาดสดสามารถส่งออกผักทีละเยอะ ๆ จนต้องใช้รถบรรทุกถึงห้าคันต่อวันเลยเหรอ?”
หลินม่ายตอบ “ฉันไม่ได้ขายผักแค่อย่างเดียว แต่ยังขายวัตถุดิบจำพวกอาหารทะเลกับอาหารทะเลตากแห้งอีกด้วย อาหารทะเลตากแห้งต้องไปรับซื้อมาจากตามแนวชายฝั่ง ในเมื่อใช้เวลาเดินทางนาน งั้นก็ไปแค่ครั้งเดียวแล้วรับซื้อมาทีละเยอะ ๆ ซะเลย ฉันวางแผนว่าจะจัดรถบรรทุกสี่คันไปขนสินค้า แล้วเหลือรถบรรทุกสำหรับขนผักรายวันเอาไว้แค่คันเดียว คุณคิดว่าไง?”
เฉินเฟิงพยักหน้า “เธอกลายเป็นนายจ้างแล้ว การตัดสินใจขึ้นอยู่กับเธอ แต่ถึงยังไงการขับรถไปตามถนนเลียบชายฝั่งก็มีความเสี่ยงสูง พลขับแค่หนึ่งคนไม่พอหรอก รถบรรทุกคันหนึ่งต้องมีคนนั่งไปด้วยสักสองคน”
หลินม่าย “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณจะจัดการเลย ไม่ว่าจะเป็นคนขับหรือคนที่นั่งไปด้วย ตราบใดที่พวกเขาทำงานให้ตลาดสดที่ฉันดูแล รับรองเลยว่าฉันจะปฏิบัติกับพวกเขาในฐานะลูกจ้าง และยินดีจ่ายค่าจ้างให้กับทุกคน”
พอคิดได้ว่าคนที่ตัวเองต้องการจ้างงานมีแค่สิบคนเท่านั้น หลินม่ายจึงกังวลว่าเฉินเฟิงอาจพาลูกน้องที่เหลือออกไปหารายได้จากธุรกิจสีเทาอีก
เธอเตือนเขา “คุณเองก็อย่าหารายได้จากงานที่ผิดกฎหมายอีกเลย ฉันจะพยายามจัดสรรให้ลูกน้องของคุณได้ทำอาชีพสุจริต เพื่อที่ในอนาคตทุกคนจะได้เดินอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์โดยไม่ต้องกลัวใคร”
เฉินเฟิงขดริมฝีปาก ก่อนจะยิ้มรับ “งั้นฉันคงต้องขอบคุณเธอล่วงหน้า”
หลินม่ายโบกมือ “ด้วยความยินดี ก่อนหน้านี้คุณเองก็เคยช่วยฉันตั้งมากมาย”
เธอยกมือขึ้นเพื่อเหลือบมองนาฬิกา “วันพรุ่งนี้ตอนแปดโมง เรามาเจอกันที่ตลาดสดของรัฐบนถนนเจี่ยฟาง ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณอีกครั้ง”
เฉินเฟิงพยักหน้า
ทั้งสองเดินออกจากกระท่อมไปพร้อมกัน หลินม่ายหันไปโบกมือให้เขา “ฉันไปแล้วนะ” จากนั้นก็รีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เธอออกมาข้างนอกเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่รีบกลับไปตอนนี้ โจวฉายอวิ๋นจะต้องเป็นห่วงมากแน่ ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
น้องโต้วโต้วชงแรงตลอดเลยค่ะ แม่จ๋าอายหน้าแดงแล้วนะ
พี่เฟิงแข็งใจไว้ อย่าเพิ่งหวั่นไหว เขาแค่มาคุยธุรกิจกับเราเท่านั้น
ไหหม่า(海馬)