ตอนไปยังดีๆ อยู่เลย เหตุไฉนกลับมาหน้าผากถึงแตกเสียได้ หัวเข่าก็ยังบวมอีก
มั่วเหนียงต่อว่าฮ่องเต้นับร้อยนับพันครั้งในใจ ยังดีที่แม้ว่าสองสามปีมานี้จะไม่ได้พักอาศัยอยู่ในจวน แต่ภายใต้การดูแลของพ่อบ้านก็ไม่มีสิ่งใดขาดไป หมัวมัวจึงใช้ยาสมุนไพรผสมลงไปในน้ำร้อน และทาให้มั่วเชียนเสวี่ย ชูอีและสืออู่ก็คอยนวดอยู่ข้างๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตสลายเลือดคั่ง
เพิ่งจะรักษาเสร็จ ก็รับประทานอาหารเที่ยงกัน มั่วเชียนเสวี่ยกำลังจะหลับตาพักผ่อนลงสักครู่เพื่อที่จะใช้ความคิดและจะได้ทำจิตให้สงบไปพร้อมๆ กัน แต่พ่อบ้านกลับให้คนมารายงาน บอกว่าหัวหน้าตระกูลมั่ว กับเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลมาถึงแล้ว ตอนนี้กำลังจิบชาอยู่หน้าห้องโถง
“มากันแล้วหรือ” มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นางคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าตระกูลมั่วจะมีความอดทนต่ำถึงเพียงนี้ นางเพิ่งจะขอรับโทษจากฝ่าบาท เขาก็มาถึงจวนแล้ว ไม่ให้เวลานางได้พักผ่อนเลย
มั่วเหนียงรู้สึกโกรธเสียจนอยากเข้าไปกัดและขับไล่พวกโฉดเขลาอย่างพวกเขาออกจากจวนกั๋วกงไปทันที แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ มิอาจให้เกิดข้อผิดพลาดได้ จึงทำได้แต่กล่าวแนะนำ “บอกไปว่าคุณหนูรู้สึกเหนื่อย ให้พวกเขากลับไปก่อน ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ให้พวกเขากลับไป? คนกลุ่มนี้แต่ละคนล้วนเป็นหมาป่าที่มาแบ่งเนื้อชิ้นใหญ่นี้ของจวนกั๋วกง เนื้อที่ใหญ่ที่สุดคือยศถาบรรดาศักดิ์ ยังไม่ทันได้เข้าปาก ฟันก็หลุดออกมา และเบี้ยหวัด ก็สูญไปแล้ว
จะให้พวกเขากลับไปง่ายๆ ได้อย่างไร
นางต้องดูคนโฉดเขลาที่น่ามิอายเหล่านี้เสียหน่อย
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นแล้วคว้าชุดขาวที่เปื้อนเลือดชุดนั้นขึ้นมา “เปลี่ยนชุด!”
“คุณหนูเปลี่ยนชุดเสียหน่อยดีไหมเจ้าคะ” เดิมทีมั่วเหนียงจะรอให้มั่วเชียนเสวี่ยหลับลงก่อน แล้วค่อยนำชุดขาวนี้ออกไปซักให้นางเอง
“ไม่ต้อง!” คราบเลือดบนชุดนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้พอดี ชุดที่ดีกว่านี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็วางไว้ตรงนั้น
เพียงเห็นว่าหน้าผากของนางพันผ้าพันแผลเอาไว้ และชุดสีขาวที่เปื้อนหยาดโลหิต แต่ก็เพราะเป็นนี้นี่เองที่จะทำให้นางดูเด็ดเดี่ยวและงามสง่า เผยให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม
พอมั่วเชียนเสวี่ยเจอใครที่แข็งแกร่งนางก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และกล้าหาญมากยิ่งขึ้น
ในห้องนอกจากมีหมัวมัว ชูอีและสืออู่คอยรับใช้อยู่ยังมีสาวใช้อีกสองคนที่คอยจัดการธุระให้และมีผอจื่อสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ท่าทางอันสุขุมของมั่วเชียนเสวี่ย ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องสั่นสะท้านในทันที
มั่วเหนียงที่อยู่ในห้อง รู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ คุณหนูโตเป็นสาวแล้วจริงๆ มีคุณหนูที่เป็นเช่นนี้ จวนกั๋วกงมิมีทางตกต่ำอย่างแน่นอน
ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของหมัวมัว ชูอี สืออู่และเหล่าผอจื่อ มั่วเชียนเสวี่ยก็มาถึงห้องโถงใหญ่ที่อยู่ตรงลานด้านหน้า
พอมาถึงหน้าประตูห้องโถง ก็เห็นชายชราอายุราวๆห้าสิบปีนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ นอกจากนี้ยังมีชายชราอีกสี่คนนั่งอยู่ข้างๆ ทั้งสองฝั่ง น่าจะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลที่เล่าขานกันมาอะไรเทือกนั้นกระมัง
มั่วจื่อถัง มั่วจื่อฮว่า มั่วจื่อเยี่ย ล้วนยืนอยู่ในห้องอย่างให้เกียรติ
พ่อบ้านตระกูลมั่วยืนยิ้มตอนรับอยู่ด้านข้าง พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมาถึงหน้าประตูแล้ว ก็ส่งสายตาให้นางระวัง
นอกจากพ่อบ้านตระกูลมั่วที่คอยดูแลรับใช้อยู่ข้างๆแล้ว ที่ด้านข้างของพวกชายชรายังมีเหล่าสาวใช้คอยยืนรับใช้อยู่ด้วย ในห้องโถงใหญ่มีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ราวกับเป็นห้องสืบสวนอย่างไรอย่างนั้น
ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาข่มนางสินะ!
มั่วเชียนเสวี่ยได้แต่ส่งเสียงหึอยู่ในใจ นางย่อมจะรู้อยู่แล้วว่านี่คือสิ่งที่หัวหน้าตระกูลมั่วจงใจจัดเตรียมเอาไว้ ดังนั้นที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการข่มขวัญ ทำให้คนที่เข้ามารู้สึกกดดันขึ้นในจิตใจ
แต่ว่า เขาพลาดแล้ว
ขนาดตำหนักจินหลวนเป่านางยังไปมาแล้ว เผชิญหน้ากับฮ่องเต้และเหล่าขุนนางได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ที่นี่คือห้องโถงใหญ่ของจวนกั๋วกงเป็นอาณาเขตของนาง แล้วนางจะรู้สึกกดดันได้เยี่ยงไร
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเยาะ พลางก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
ทันทีที่มั่วเชียนเสวี่ยผ่านประตูเข้ามา เสียงของมั่วจื่อเยี่ยก็ดังขึ้นมา “น้องเสวี่ยมาแล้ว รีบเข้ามาคารวะหัวหน้าตระกูลกับเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเร็วเข้า”
น้องเสวี่ยอะไรกัน ใครคือน้องเสวี่ยของเขา มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
เพราะเสียงของเขา ทำให้ทุกคนต่างมองมายังนาง สายตาที่เฉียบคมเช่นนั้น ทำให้คนที่ตามหลังมาอย่างมั่วเหนียงซึ่งผ่านเรื่องราวมามากมายนับไม่ถ้วนแต่เมื่อเห็นฉากนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
อย่างไรก็ตาม มั่วเชียนเสวี่ยกลับก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักแน่น สุขุมเยือกเย็น ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนเหล่านี้รู้อยู่แล้วว่านางมาแล้ว ที่แสดงท่าทางเช่นนี้ คิดว่านางจะไม่รู้หรือ หากนางตื่นตระหนก หรือโมโห ก็จะเป็นไปตามแผนการของพวกเขา
“เชียนเสวี่ยคารวะหัวหน้าตระกูล ผู้อาวุโสทุกๆ ท่าน และท่านพี่ทุกคน”นางยิ้มเล็กน้อย และคำนับทุกคนอย่างอ่อนช้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองดูพวกเขาทุกคนอีกครั้ง
แม้ว่าศีรษะของมั่วเชียนเสวี่ยจะถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล บนชุดสีขาวก็เปื้อนหยาดโลหิต แต่กลับมิได้ทำให้ความสง่างามของของนางลดลงไปเลย ตรงกันข้ามมันกลับแผ่รัศมีอันน่ายำเกรงออกมา บรรยากาศที่พวกเขาได้จัดเตรียมเอาไว้ในห้องโถงใหญ่นี้นานแล้ว ก็มิอาจเทียบได้กับรัศมีของนางแม้แต่น้อย
เดิมทีหัวหน้าตระกูลมั่วจะจัดการนางโดยไม่ทันให้ตั้งตัว มั่วเชียนเสวี่ยจะต้องลุกลี้ลุกลนเป็นแน่ และมีสีหน้ามิสู้ดี จากนั้นพอถูกเขาตำหนิ ก็จะเชื่อฟังคำสั่งของเขาแต่โดยดี รับปากให้เขามอบตราประทับให้ฝ่าบาทเอง และยอมสละบรรดาศักดิ์ด้วยความสมัครใจ
ชนะก่อน แล้วค่อยเอาของที่สูญเสียไปกลับคืนมา
นึกไม่ถึงว่าผู้ที่เข้ามา จะดูสุภาพและอ่อนโยนเช่นนี้ ทำให้เขาหาข้อผิดพลาดมิได้เลย
ยากจะรับมือด้วยจริงๆ!
หัวหน้าตระกูลมั่วรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่กลับผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นบนใบหน้า “เชียนเสวี่ยกลับมาเมืองหลวงแล้ว เหตุใดถึงไม่ไปเยี่ยมเยียนลุงที่จวนสักหน่อยเล่า อีกทั้งยังไม่ส่งผู้ใดไปคารวะลุงเลย”
มั่วเชียนเสวี่ยแอบสาปแช่งอยู่ในใจ แต่คำพูดที่ออกจากปากกลับนอบน้อมมาก “เชียนเสวี่ยเพิ่งจะมาถึงเมื่อวาน ก็ถูกฮองเฮาเรียกตัวเข้าวังเจ้าค่ะ ระหว่างทางที่กลับก็ถูกโจมตี คาดว่าหัวหน้าตระกูลก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว พอเชียนเสวี่ยสังหารพวกกบฏและหลบหนีออกมาได้ ฟ้าก็มืดแล้ว หากไปเยี่ยมเยียนท่านอีก หนึ่งคือเกรงว่าจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนของหัวหน้าตระกูล สองคือกลัวว่าหัวหน้าตระกูลจะต้องมาพัวพันกับปัญหาที่เชียนเสวี่ยก่อ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนท่านเจ้าค่ะ”
นางไม่เรียกเขาว่าท่านลุงแน่ๆ
หัวหน้าตระกูลกับท่านลุงเป็นคำเรียกที่แตกต่างกันมาก ให้ความรู้สึกแตกต่างราวฟ้ากับดิน
หัวหน้าตระกูลเพียงสามารถดูแลจัดการเรื่องในตระกูลได้ แต่ลุงมีสิทธิ์ที่จะดูแลเรื่องในจวนของนาง
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจคำพูดของเขา ดวงตาของหัวหน้าตระกูลมั่วก็ฉายแววความชั่วร้ายออกมา
นางยังกลัวว่าจะรบกวน กลัวว่าจะดึงเขาเข้ามาพัวพัน? นางก็ไม่ควรกลับเมืองหลวงมา ไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!
ในใจโหดร้าย ทว่าปากกลับเอ่ยคำหวาน “คนตระกูลเดียวกันหาใช่คนอื่นไกลไม่ เห็นลุงเป็นคนเช่นนั้นหรือ หากเชียนเสวี่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ให้ลุงฟัง ลุงก็อาจจะหาใครสักคนไปจัดการเรื่องของเจ้าให้ได้บ้าง…ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง…”
จัดการ? หาคนมาช่วยให้นางถูกตัดหัวมากกว่าเสียกระมัง
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวตอบอย่างนอบน้อม “ทำให้หัวหน้าตระกูลเป็นห่วงเสียแล้ว เพียงแค่เรื่องของเชียนเสวี่ยก็คือเรื่องของจวนกั๋วกง ถ้าดึงตระกูลมั่วเข้ามาเกี่ยวข้องจนทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
แม้ในใจจะเกลียดชัง แต่ก็ต้องทำดีไว้ก่อน หัวหน้าตระกูลมั่วเปลี่ยนเรื่องคุย พลางกล่าวอย่างเป็นห่วง “แผลที่ศีรษะของเจ้าไม่สาหัสใช่หรือไม่ บุตรีบ้านไหนบ้างต้องวิ่งวุ่นจัดการธุระเช่นนี้ บุตรีตระกูลมั่วควรได้รับการเอาอกเอาใจ มีลุงคอยดูแลจัดการให้เจ้าทุกเรื่องอยู่แล้ว ต่อไปเรื่องของจวนกั๋วกงก็มอบให้พี่ชายทั้งสามของเจ้าไปทำเถิด”
นี่คือการพูดเปิดประเด็นให้นางมอบอำนาจให้