ฮว๋ายหนานกัดฟัน เขาไม่ตอบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างเย็นชา นางเพิ่มแรงขึ้นอีก ”ยังไม่ยอมพูดอีกหรือ”
ฮว๋ายหนานข่มความเจ็บปวด แล้วปฏิเสธว่า ”ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ เฮ่อเหลียนเวยเวย ทำไมเจ้าถึงต้องยืนกรานที่จะทำตัวใจร้ายถึงเพียงนี้ด้วย เจ้าเอาแต่เข้าใจผู้อื่นผิดอยู่เรื่อย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา แต่ยังไม่ลงมือ
”ให้ข้าจัดการ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากพูด ริมฝีปากบางของเขาโค้งขึ้นคล้ายกับเป็นรอยยิ้ม ”เจ้าทำตัวโหดร้ายกับแขกเช่นนี้ได้อย่างไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดการเคลื่อนไหว แล้วเลิกคิ้วเรียวงามไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ยังเป็นน้องชายผู้นี้ที่มีเหตุผลมากกว่า” ตอนนี้ฮว๋ายหนานคิดว่าเขารอดแล้ว จึงทำท่าจะลุกขึ้นยืน
แต่แล้วเขาก็เห็นว่าชายหนุ่มที่มีผ้าสีขาวพันรอบดวงตาคนนั้นกลับค่อยๆ ถอดถุงมือสีขาวของตนออก แล้วคว้ามือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีเสียงกร๊อบดังขึ้น!
หิมะที่ปกคลุมหนาอยู่แล้วยังไม่พอ[1] แต่ยังมีน้ำค้างแข็งเกาะเพิ่มเข้าไปอีก !
มันเจ็บยิ่งกว่าการถูกตัดแขนสักข้างเสียอีก!
ฮว๋ายหนานนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
แต่แม้จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็สกัดจุดเขาเอาไว้ ป้องกันไม่ให้เขาสลบไปเสียก่อน พูดง่ายๆ ก็คือ วิธีการนี้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงเข้ามาได้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
เขาขยับไปกุมแขนอีกข้างของฮว๋ายหนานแน่น ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม พร้อมกับเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า ”โอ๊ะ แย่แล้วสิ ดูเหมือนข้าจะจับแขนเจ้าผิดข้างเสียแล้ว ข้างนี้ยังดีอยู่เลย”
กร๊อบ!
จากนั้นเสียงของเขาจึงหยุดลง
ร่างของฮว๋ายหนานโก่งโค้งราวกับคันธนู บนหน้าผากของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเฉียบ แล้วร่วงลงไปกองกับพื้นทันที ”อ๊าก!”
”มันเจ็บหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มเล็กน้อย แล้วขยับนิ้วของตน เมื่อสายตาของอีกฝ่ายมองต่ำลงมาที่เขา มันก็ทำให้ฮว๋ายหนานคิดว่าตัวเองกำลังเห็นภาพลวงตาของปีศาจร้ายอยู่
แม้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาจะยังคงดูไร้พิษภัย แต่ฮว๋ายหนานก็ยังต้องการที่จะหนีไปจากที่นี่อยู่ดี ใช่แล้ว สิ่งแรกที่เขาควรทำคือหนีไปจากที่นี่!
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แต่เขาก็ไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
เสียงทุ้มลึกที่ก้องอยู่ข้างหูของเขาฟังดูราวกับกำลังต้องการชีวิตของเขาอยู่ มันเต็มไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง ”แล้วเจ้ายังกล้าที่จะขอแต่งงานอยู่อีกหรือ”
กร๊อบ!
เป็นอีกครั้งที่เสียงนั้นดังขึ้นอย่างชัดเจน!
เสียงนั้นดังและโหดเหี้ยม ทำให้คนที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างพากันตัวสั่น ฮว๋ายหนานครวญครางโดยไร้เสียง แล้วใครบอกว่าทำเช่นนี้ไม่เรียกว่าโหดร้ายกัน!
”เจ้าใช้มือข้างไหนแตะต้องของหมั้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคว้าตัวเขาขึ้นมาจากพื้นด้วยมือข้างเดียว และมองฮว๋ายหนานราวกับเย้ยหยัน ผ้าที่ปิดบังดวงตาของเขาเอาไว้ให้ความรู้สึกเหมือนนักพรตผู้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์
ฮว๋ายหนานตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาตอบว่า ”ซ้าย มือข้างซ้าย”
”โอ้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกเท้าขึ้น และทำท่าจะเหยียบลงบนมือข้างซ้ายของอีกฝ่าย
ฮว๋ายหนานถอนคำพูดของตนทันที เขาขดตัวลงกับพื้นเพื่อร้องขอความเมตตา ”ไม่ ข้าไม่เคยส่งของหมั้นอันใดให้นางเลย! ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความคิดของฮูหยินซู!” เขาพูดพลางถดตัวถอยหลังไปพร้อมกัน ใบหน้าของเขาเปรอะไปด้วยน้ำมูกและน้ำตา ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติเมื่อครู่นี้หายไปอยู่ที่ใดแล้วก็ไม่อาจทราบได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วงามของตนเข้าหากันด้วยความรังเกียจ นางยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อของเขา ”เจ้าควรบอกมาให้หมดจะดีกว่า มิฉะนั้นล่ะก็…”
”ข้าพูด ข้าพูดแล้ว!” ฮว๋ายหนานกลัวว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะลงมือกับเขาอีก เขาเริ่มต้นเล่าพร้อมกับดวงตาที่ถูกบดบังไปด้วยหยาดน้ำตา ”ฮูหยินซูมาหาข้า ตอนแรกข้าก็ไม่ยอม แต่ฮูหยินซูบอกว่าหากข้ารับเจ้าเป็นภรรยา ข้าก็จะได้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของเวยเจ๋อมาเป็นของตัวเอง จากนั้น… จากนั้นข้าก็เลยรู้สึกสนใจขึ้นมา”
เมื่อได้ยินดังนี้ ทุกคนก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขามองฮว๋ายหนานด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ ”ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของเวยเจ๋อหรือ เจ้ามีค่าอะไรถึงคู่ควรกับมัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเยาะเย้ย ”แล้วถุงผ้านั่นได้มาอย่างไร”
ฮว๋ายหนานเหลือบมองเฮ่อเหลียนเหมย
เฮ่อเหลียนเหมยร้อนใจ นางต้องการจะเดินเข้ามา แต่โชคร้ายที่เงาทมิฬยืนอยู่ตรงหน้านางและขวางทางนางเอาไว้ นางจึงทำได้เพียงกุมแขนสองข้างของตน แล้วแผดเสียงดังลั่นอย่างมุ่งร้ายว่า ”เฮ่อเหลียนเวยเวย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงไม่ขยับตัว นางบีบแขนของฮว๋ายหนานแน่นด้วยท่าทางเย็นชาและจองหอง ”พูด!”
”ข้า ข้ากับเหมยเอ๋อร์ให้สัญญากันว่าจะแต่งงานกันอย่างลับๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรฮูหยินซูก็ไม่มีทางเห็นด้วย ดังนั้นเหมยเอ๋อร์จึงมอบถุงผ้าของนางให้กับข้า เพื่อให้ข้ารอนาง”
ทันทีที่คำพูดขอฮว๋ายหนานหลุดออกมา ในใจของเฮ่อเหลียนเหมยก็เหลือความคิดอยู่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือนางจบสิ้นแล้ว!
”กล่าวคือซูเหยียนโม่รู้ดีแก่ใจว่าพวกเจ้าสองคนรักกัน แต่นางกลับขอให้เจ้ามาขอข้าแต่งงาน เพื่อฉวยเอาทรัพย์สินของเวยเจ๋อหรือ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกเท้าขึ้นถีบฮว๋ายหนาน ระหว่างที่พูด ดวงตาของนางก็กวาดมองไปยังศิษย์ที่ยืนอยู่โดยรอบ ในที่สุดสายตาของนางก็ไปหยุดลงที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ลุกลี้ลุกลนกำลังจะจากไป ”อะไรกัน น้องรอง ยามนี้เมื่ออุบายถูกเปิดโปงแล้ว เจ้าก็คิดที่จะไปจากที่นี่ทันทีเลยหรือ เจ้าลืมแม่เฒ่าที่เจ้าสองคนแม่ลูกจ่ายเงินให้ไปแล้วหรือไร”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตัวแข็ง ใบหน้าของนางซีดเผือดไปทั้งหน้า รู้สึกอัปยศอดสูไปจนถึงกระดูกดำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกยิ้ม น้ำเสียงของนางราบเรียบ ”ฮูหยินซูชอบของหมั้นที่ให้ไปมิใช่หรือ ในเมื่อรับของหมั้นจากตระกูลของคุณชายฮว๋ายหนานไปแล้ว นางก็ควรจะยกบุตรสาวให้เขาสักคนนี่ ข้าคิดว่าน้องสามก็เหมาะสมดีนะ”
”เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้า!” หลังจากที่ท่านแม่เรียกนางเข้าพบ เฮ่อเหลียนเหมยก็ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับฮว๋ายหนานอีก การต้องตกเป็นภรรยาของผู้ชายคนนี้ก็เหมือนกับถูกผลักเข้าสู่กองไฟ ”เจ้าไม่ใช่คนที่จะมาตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของข้าได้!”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยปรากฏแววเย็นชาออกมา ”ทำไมน้องสามถึงไม่ดีใจเล่า ฮว๋ายหนานมีสิ่งใดไม่ดีหรือ ฮูหยินซูใจดีถึงขนาดที่ผลักไสไล่ส่งผู้ชายที่บุตรสาวของนางไม่ต้องการมาให้ข้า แล้วอ้างว่าทำเพื่อความสุขของข้าเชียวนะ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองบรรดาผู้คนที่กำลังชี้นิ้วมาทางพวกนาง แล้วดึงนางกลับไป ”หุบปาก! เจ้าอยากทำให้ชื่อเสียงของท่านแม่ต้องแปดเปื้อนหรือ”
”แต่… แต่ข้าแต่งงานกับฮว๋ายหนานไม่ได้ พี่รอง เรื่องระหว่างข้ากับฮว๋ายหนานกลายเป็นอดีตไปตั้งนานแล้ว” เฮ่อเหลียนเหมยรีบคว้ามือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อย่างร้อนใจ ”ยิ่งไปกว่านั้นท่านแม่เองก็เคยบอกว่าไม่ให้ข้าแต่งงานเข้าตระกูลของพวกเขา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านังคงชั้นต่ำนี่กำลังกดดันให้ข้าตอบตกลง และปล่อยให้ข้าต้องแต่งงานแทนนาง!”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เองก็รู้สึกเสียดายกับเรื่องนี้อย่างรุนแรงเช่นกัน แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ “เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง”
”พี่รอง!” เฮ่อเหลียนเหมยไม่อยากจะเชื่อเลย ”นี่เป็นเวลาสำคัญที่จะตัดสินชีวิตทั้งชีวิตของข้าเลยนะ!”
”ไม่อย่างนั้นเจ้าจะทำอย่างไรเล่า หากเจ้าทำลายชื่อเสียงของท่านแม่ เจ้าก็จะต้องถูกไล่ออกจากสำนัก ลองคิดดูสิ เจ้าเคยข้องเกี่ยวกับผู้ชายมาก่อน สำนักย่อมไม่ยอมเรื่องนี้แน่ ยิ่งกว่านั้น เจ้ายังไม่ทันที่จะแต่งงานเลยด้วยซ้ำ! เจ้ายังจะสามารถแต่งงานกับใครได้อีกหรือ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สะบัดมือออก ”ท่านพ่อจะเก็บบุตรสาวที่ทำให้ชื่อเสียงของตนต้องเสื่อมเสียเอาไว้หรือ”
เฮ่อเหลียนเหมยตัวแข็ง ใบหน้าของนางว่างเปล่าราวกับสูญเสียความหวังทั้งหมดไป นางตกอยู่ในอาการเหม่อลอยจนกระทั่งเป็นลมล้มลงในอ้อมแขนของสาวใช้
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่ได้ต้องการที่จะพูดถึงขั้นนั้น แม้กระทั่งระหว่างที่นางกำลังพูดคุยเรื่องนี้กับเฮ่อเหลียนเหมย ภาพลักษณ์เยี่ยงเทพธิดาที่นางพยายามอย่างหนักที่จะรักษาเอาไว้ก็พลอยลดลงอย่างมากไปด้วย
เมื่อฮูหยินซูรู้ข่าวนี้เข้า นางก็ตัวสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธ
หากว่ากันตามจริงแล้ว มันจะมีของหมั้นได้อย่างไร!
มันเป็นเพียงกลอุบายที่นางคิดขึ้นเพื่อที่จะผลักเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าสู่กองไฟเท่านั้น
ในท้ายที่สุด ไม่เพียงแค่แผนการที่ว่าจะล้มเหลว แต่นางยังต้องมอบบุตรสาวให้ไปเปล่าๆ อีกด้วย
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเหมยเป็นบุตรสาวคนสุดท้อง และเป็นคนที่นางประคองอยู่ในมือมาโดยตลอด แม้ว่านางจะไม่สามารถเทียบเท่ากับเจียวเอ๋อร์ได้ แต่นางก็เป็นหัวใจของฮูหยินซูเช่นกัน!
——————————-
[1] หิมะที่ปกคลุมหนาอยู่แล้วยังไม่พอ แต่ยังมีน้ำค้างแข็งเกาะเพิ่มเข้าไปอีก เป็นสำนวน หมายถึง ทำให้เรื่องแย่ลง เคราะห์ซ้ำกรรมซัด