เฮ่อเหลียนเหมยเป็นบุตรสาวคนสุดท้อง และเป็นคนที่นางประคองอยู่ในฝ่ามือมาโดยตลอด แม้ว่านางจะไม่สามารถเทียบเท่ากับเจียวเอ๋อร์ได้ แต่นางก็เป็นหัวใจของฮูหยินซูเช่นกัน มันเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดแทง และความเจ็บปวดนั้นก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นโทสะ! ”ดี ดียิ่งนัก นังเด็กแพศยาคนนี้!” ฮูหยินซูพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโกรธอันเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร เมื่อนางได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของเฮ่อเหลียนเหมย ในใจของนางนางก็ยิ่งรู้สึกโกรธเกรี้ยวและเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
หาก ไม่ใช่เพราะสิ่งที่นางพูดที่สำนักไท่ไป๋แล้วละก็ นางก็คงพอที่จะสามารถกลบเกลื่อนมันได้ แต่คนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็มีจำนวนมากมายทีเดียว หากนางไม่แต่งบุตรสาวออกไป ทุกคนในเมืองหลวงก็คงตำหนินางได้ว่าเป็นคนไม่มีสัจจะ และสาปแช่งให้นางไปตายอย่างแน่นอน เมื่อไม่มีทางเลือก ฮูหยินซูก็ทำได้เพียงพยายามปลอบโยนเฮ่อเหลียนเหมย และให้ความช่วยเหลือนางในเรื่องสินเดิมเท่านั้น แต่ฮูหยินซูย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆ อย่างแน่นอน นางเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม ทั้งสองคนเป็นสาวงามระดับหัวแถวของเมืองหลวง อย่างน้อยก็สมควรที่จะได้แต่งเข้าไปอยู่ในตระกูลขุนนางอันร่ำรวย แต่ตอนนี้นางกลับต้องมาแต่งงานกับตระกูลพ่อค้าอย่างตระกูลฮว๋ายเสียได้ เบื้องหน้านั้นอาจดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อนางแต่งงานเข้าไปในตระกูลของพวกเขา นางจะต้องช่วยเหลือจุนเจือทางการเงินกับพวกเขาตลอดไป หัวใจของซูเหยียนโม่เจ็บปวดยิ่งกว่าถูกฆ่าเสียอีก
“เจ้า! ไปเขียนจดหมายถึงท่านอัครเสนาบดี!” ซูเหยียนโม่แผดเสียงดังลั่น ”บอกไปว่านังเด็กที่ชื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้มันไม่จำเป็นอีกต่อไป แค่เลือดของเจียวเอ๋อร์คนเดียวก็เพียงพอแล้ว เลือดของพวกนางเข้ากันได้ดีเป็นอย่างยิ่ง การปล่อยให้นังเด็กเหลือขอนั่นมีชีวิตอยู่ก็รังแต่จะนำพาความหายนะมาให้เราเท่านั้น”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้สูงวัยนางหนึ่งเดินออกไปจากห้อง
ซูเหยียนโม่มองถ้วยชาในมือตัวเอง แล้วกำมันเอาไว้แน่น
นังเด็กเหลือขอ ความตายกำลังจะไปเยือนเจ้าในไม่ช้า คนพวกนั้น ล้วนแต่…
เป็นธาตุทองระดับสูงทั้งสิ้น!
ตก เย็น หยวนเสี่ยวหมิงคาบปลายหญ้าเส้นหนึ่งเอาไว้ในปาก ”แม่นาง วิธีการของเจ้าโหดเหี้ยมยิ่งนัก ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องทำให้มือตัวเองเปื้อนเลือด”
“ความเจ็บปวดที่พวกเขาเคยทำกับข้า แม้แต่ความตายก็มิอาจลบเลือน หรือนำชีวิตของข้ากลับคืนมาได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางอาวุธในมือลง ”เจ้าอย่าลืมสิว่าที่ข้าสามารถหล่อเลี้ยงเจ้าได้ ก็เป็นเพราะหัวใจชั่วร้ายดวงนี้”
หยวนเสี่ยวหมิงยิ้มอย่างชั่วร้าย ”แล้วสรุปว่าเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป ตอนนี้เจ้าก็น่าจะเริ่มยึดอำนาจคืนมาได้แล้วมิใช่หรือ”
“หลังสิ้นสุดการประลองยุทธ์ คนในตระกูลจะเลือกผู้นำตระกูลคนใหม่” เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนเหรียญเงินในมือ ”ถ้าข้ากลายเป็นชายาขององค์ชายสาม และเอาชนะในการประลองยุทธ์ได้ พวกคนที่ต้องการกำลังสนับสนุนเพิ่มขึ้นพวกนั้นก็ทำได้แค่ปิดปากเงียบ!” หยวนเสี่ยวหมิงเม้มริมฝีปากบางของตนเข้าหากันเล็กน้อย ”สรุปว่านี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการทำสินะ พวกเขาคิดว่าถ้าตัดเจ้าออกจากตระกูลแล้ว เจ้าจะไม่สามารถหวนกลับไปได้ แต่พวกเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเจ้าปลอมตัวเป็นขอทานคนนั้น และยังได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วมการแข่งประลองยุทธ์อีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ย่อมหมายความว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลับไปยังตระกูลเฮ่อเหลียน”
“ซูเหยียนโม่หยิ่งผยองเพราะนางมีตระกูลซูหนุนหลัง แต่ข้าอดรู้สึกไม่ได้ว่าเบื้องหลังของตระกูลซูนั้นยังมีคนที่อยู่เหนือความคาดหมายคอยบงการทุกอย่างอยู่ หากไม่ใช่เช่นนั้น ตระกูลเฮ่อเหลียนของข้าจะตกต่ำลงถึงจุดนี้เพียงเพราะกลอุบายของซูเหยียนโม่ได้อย่างไร ตอนนั้นข้ายังเด็กและจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านตาของข้าแข็งแกร่ง มีไหวพริบ และรอบคอบ คิดอย่างไรเรื่องมันก็ไม่ควรจบลงเช่นนี้”
ดวงตาของหยวนเสี่ยวหมิงเป็นประกาย ”เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงได้วางแผนเรื่องนี้ไปทีละขั้นละตอน เพื่อบังคับให้มือที่ชักใยอยู่เบื้องหลังนั้นเปิดเผยตัวออกมาเองสินะ!” เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจแผ่วเบา แล้วมองเขาอย่างมีเลศนัย ”ข้าไม่มีวันปล่อยคนที่ทำร้ายตระกูลของข้าให้รอดไปได้อย่างแน่นอน!”
เช่นนั้นก็ทำให้ข้าได้เห็นเสียว่าเจ้าจะก้าวไปได้ไกลเพียงใด หยวนหมิงเผยแววตาสีเงินราวกับปีศาจกระหายเลือดออกมา…
กลางดึกคืนนั้น จวนตระกูลฮว๋ายกำลังต้อนรับขับสู้แขกสำคัญผู้หนึ่งอยู่ องค์ชายสามที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีเงินกล่าวว่าเขาต้องการตบรางวัลใหญ่ให้กับตระกูลฮว๋าย ตระกูลฮว๋ายคิดว่านี่คงเป็นลาภลอย จึงรีบออกไปต้อนรับเขาเข้ามา แต่ใครจะรู้เล่าว่ารางวัลที่ว่านั่นกลับเป็นเพียงแค่กรรไกรเล่มหนึ่งจากมือของขันทีซุนเท่านั้น
คำพูดแต่เดิมขององค์ชายสามคือ ”เพื่อให้บุตรชายของเจ้ารู้จักอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมากขึ้น เขาจะต้องถูกตอนเสีย การทำเช่นนี้ย่อมช่วยไม่ให้เขาออกไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงอื่น และทรยศต่อคุณหนูสามของตระกูลเฮ่อเหลียนได้”
ฮว๋ายหนานตกใจจนหน้าถอดสี เขากรีดร้องด้วยความตระหนกตกใจ แล้วทรุดตัวลงไปกองกับพื้น
องค์ชายสามมองเขาอย่างไม่แยแส แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า ”เจ้าให้สินสอดนางไปหรือยัง”
น่าเสียดายที่ฮว๋ายหนานได้ยินคำถามนั้นไม่ชัดเจนนัก แม้แต่หลังจากที่ตนต้องกลายเป็นคนพิการไปแล้วครึ่งหนึ่ง เขาก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตนไปเสียมารยาทต่อองค์ชายสามได้อย่างไร
เฮ่อเหลียนเหมยที่เพิ่งจะสงบสติอารมณ์ของตนลงได้ และเตรียมตัวที่จะเข้าพิธีแต่งงานถึงกับตกใจเมื่อได้ยินข่าวนี้ เรื่องนี้จะเป็นผลดีต่อนางได้อย่างไร เห็นได้ชัดเจนว่าคนพวกนั้นต้องการให้นางเป็นม่ายหลังจากแต่งงานแล้ว นางจะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่สามารถประกอบกิจอันสมควรได้…
แต่คำพูดขององค์ชายสามก็สวยงามเสียจนพวกเขาไม่อาจโต้แย้งได้เลย
ซูเหยียนโม่จอมเจ้าเล่ห์มีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่ นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ สาวใช้นางหนึ่งรีบเข้ามารายงานว่าร้านขายโอสถที่นางลงทุนไปด้วยก้อนใหญ่นั้นกำลังเจอปัญหา และทำให้กรมขุนนางสั่งปิดร้านค้าของนาง
“ปิดหรือ” ซูเหยียนโม่พึมพำด้วยสีหน้าสิ้นหวัง ”เป็นไปได้อย่างไร อัครเสนาบดีรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
สาวใช้คนนั้นก้มหน้าลง ”ท่านอัครเสนาบดีไม่สามารถยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้เจ้าค่ะ และบรรดาขุนนางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของกิจการใดๆ เจ้าค่ะ”
ซูเหยียนโม่ไม่รู้เรื่องกฎนี้มาก่อน แต่เท่าที่นางจำได้ คนที่กรมขุนนางย่อมไม่มีทางกล้าเข้ามาแตะต้องนางแน่ และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้นางกล้าทุ่มเงินทั้งหมดภายในตระกูลของตนลงทุนไปกับธุรกิจทำเงินนี้
นางคิดว่าในเมื่อนังคนชั้นต่ำนั่นสามารถหาเงินด้วยตัวเองได้ละก็ ถ้านางใช้เส้นสายที่ตัวเองมี นางก็มั่นใจว่าจะสามารถหาเงินได้มากกว่าเป็นไหนๆ! แต่ตอนนี้
“หมดกัน ไม่เหลืออะไรแล้ว…”
ซูเหยียนโม่ยืนขึ้นแล้วขว้างถ้วยชาตรงหน้าลง ”รีบไปหาท่านอัครเสนาบดี บอกให้เขารีบเคลื่อนไหวได้แล้ว ฆ่านังเด็กเหลือขอนั่นซะ!”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบถอยหนีออกไปด้วยความตกใจ
แต่คนแทบจะทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้แล้วว่าซูเหยียนโม่ได้ทำอะไรลงไป แม้จะไม่ได้พูดถึงบุตรสาวบุญธรรมของนาง แต่นางก็ยังคิดถึงเงินที่บุตรสาวบุญธรรมคนที่นางตัดหางปล่อยวัดมีอยู่ในมือ มันช่างไร้ยางอายยิ่งนัก
ต่อหน้านั้นทุกคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ลับหลังนางกลับเริ่มมีเสียงซุบซิบนินทาเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการ การจะปลิดชีพใครสักคน เราก็แค่ต้องทำให้หัวของพวกเขาร่วงลงมาอยู่บนพื้น แต่การจะจัดการกับคนอย่างซูเหยียนโม่นั้นจำเป็นต้องใช้วิธีการเช่นนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหุบร่มในมือลง แล้วเดินกลับเข้าไปในหอ เลือดในกายของนางเดือดพล่านและรุ่มร้อน
ในที่สุดก็มาถึง การประลองยุทธ์…
หนึ่งวันก่อนการประลอง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจำเป็นจะต้องไปรับบัตรประจำตัวผู้เข้าแข่งขันเสียก่อน เมื่อเลขที่อยู่บนบัตรถูกขานเรียก จึงจะสามารถเข้าไปในสนามได้ เดิมทีนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดที่จะไปคนเดียว
แต่ตอนที่นางกำลังจะลงจากเขา นางก็บังเอิญพบคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันเข้าเสียก่อน นางหันหน้าไปมองข้างทาง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับข้ารับใช้ที่นางเห็นหน้าอยู่เป็นประจำดี
ภาพนี้ดูคุ้นตาสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่นางก็นึกไม่ออกว่านางเคยเห็นมันที่ใด ในยามที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนตัวกลับมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ภาพนั้นก็ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
“ใครอยู่ตรงนั้น” แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ทั้งเย็นชาและเฉยเมย