หู่พั่วเล่าเรื่องที่ตัวเองสั่งสอนสาวใช้ “…ต้องให้พวกนางรู้ว่า ลานนี้ใครเป็นคนดูแล”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า เอ่ยชื่นชม “ไม่เลว ไม่เลว ปฏิกิริยารวดเร็วมาก”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย แต่ไม่นานมันก็มืดหม่นลง “ฮูหยินบอกว่าบ่าวปฏิกิริยาเร็ว แต่กลับไม่บอกว่าบ่าวทำถูกต้องหรือไม่ ฮูหยิน…” นางลังเลที่จะพูด
ไม่ต้องรอให้ถึงสามวันแล้วถึงจะเอ่ยชื่นชม
“ตอนนี้ เจ้าจัดการได้ถูกต้องแล้ว” สืออีเหนียงชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ บอกให้หู่พั่วนั่งลง จากนั้นก็พูดเบาๆ “แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า เมล็ดข้าวเหมือนกันเลี้ยงคนหนึ่งร้อยคน ไม่มีทางที่ทุกคนจะจงรักภักดีต่อเรา และก็ไม่มีทางที่ทุกคนจะเคารพเรา อย่างเช่น คนในลานของเรา ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนของพี่หญิงใหญ่ พวกนางได้รับความเมตตาจากพี่หญิงใหญ่ ซาบซึ้งต่อพี่หญิงใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ค่อยพอใจกับคนที่เข้ามาใหม่อย่างพวกเรา นี่เป็นเรื่องธรรมดา”
หู่พั่วพยักหน้า
“สำหรับคนเหล่านั้น เราขอแค่พวกเขาซื่อสัตย์ รู้จักในหน้าที่ของตัวเองก็พอ สำหรับเรื่องอื่น ก็ไม่ต้องบังคับพวกเขา ตรงกันข้าม คนที่เหมือนตงชิงและปินจวี๋กลับไม่เหมือนกัน พวกนางคือคนที่ข้าพาเข้ามา เป็นผู้ติดตามของข้า แล้วยังเป็นสาวใช้ผู้ดูแลในลานนี้ นอกจากซื่อสัตย์และรู้จักหน้าที่แล้ว พวกนางยังต้องจงรักภักดี”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็ก้มหน้าครุ่นคิด
“ตราบเท่าที่พวกเจ้าช่วยข้าแบ่งเบาภาระ คนของพี่หญิงใหญ่รู้ในหน้าที่ของตัวเอง ลานหลังนี้ก็จะสงบสุขและปลอดภัย ดังนั้นข้าจึงบอกว่า เจ้าเป็นคนฉลาด ลงโทษสาวใช้คนนั้นได้ทันเวลา เชือดไก่ให้ลิงดู ทำให้ผู้คนหวาดกลัว ทำได้ดีแล้ว”
หู่พั่วยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมฮูหยิน…”
“ข้าแค่อยากพูดเรื่องนี้กับเจ้า”
ท่าทีของสืออีเหนียงอ่อนโยน
“ในบรรดาคนของพี่หญิงใหญ่ คนที่ฉลาดและมีความสามารถ มีหน้ามีตาต่อหน้านายหญิงเหมือนป้าเถาก็ยังมีลี่ว์อวิ๋น หงซิ่ว ตอนนั้นเพราะว่าพวกนางฉลาดและมีไหวพริบถึงถูกเลือกให้ไปรับใช้พี่หญิงใหญ่ แต่ป้าเถา ในแง่ของความสัมพันธ์ นางเป็นแม่นมของพี่หญิงใหญ่ ในแง่ของเวลาที่อยู่ด้วยกันมา นางอยู่กับพี่หญิงใหญ่ตั้งแต่เกิดจนป่วยเสียชีวิต ในแง่ของบุญคุณ ตอนนี้บุตรชายของนางเป็นคนดูแลเรือนนอกที่ใหญ่ที่สุดของพี่หญิงใหญ่ นอกจากจะเป็นคนต้อยต่ำที่ไม่รู้จักคำว่าบุญคุณ ไม่เช่นนั้น หากข้าและพี่หญิงใหญ่ตกน้ำพร้อมกัน นางจะต้องกระโดดลงไปช่วยพี่หญิงใหญ่คนแรกอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าข้าจะอยู่ใกล้นางมากกว่าก็ตาม แต่นางก็จะต้องช่วยพี่หญิงใหญ่ก่อน ไม่ใช่ข้า”
หู่พั่วเห็นสืออีเหนียงยกตัวอย่างเช่นนี้ นางก็ตกตะลึง แต่เมื่อคิดดูแล้ว ไม่มีทางปฏิเสธได้จริงๆ
“แต่หากเปลี่ยนเป็นลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่ว เจอกับเหตุการณ์เช่นนั้นเกรงว่าคงจะไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าพวกนางจะกระโดดลงไปช่วยพี่หญิงใหญ่ แต่หากข้าอยู่ใกล้กว่าพี่หญิงใหญ่ ธรรมชาติของมนุษย์และสัญชาตญาณ เกรงว่าพวกนางจะช่วยข้าก่อน แล้วค่อยไปช่วยพี่หญิงใหญ่ เจ้าลองคิดดู หลักการนี้ใช่หรือไม่”
สายตาของหู่พั่วเป็นประกาย “ท่านหมายความว่า หากป้าเถาทำสิ่งใดผิดไป จะลงโทษเช่นไรก็ไม่ถือว่าเกินไป แต่หากลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วทำผิด สามารถลงโทษพวกนางเบาๆ ได้หรือเจ้าคะ…”
สืออีเหนียงหัวเราะ “แตะประตูได้แล้ว แต่ยังเข้ามาไม่ได้ เจ้าลองคิดดูอีกที!”
หู่พั่วเอียงหัวครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายนางก็พูดว่า “ฮูหยิน บ่าวโง่เขลา ท่านบอกบ่าวมาเถิดเจ้าค่ะ!”
“กฎก็คือกฎ ไม่ว่าใครทำผิดก็ต้องลงโทษเหมือนกัน เจ้าไล่สาวใช้น้อยคนนั้นไปทำงานที่โรงซักล้าง แล้วยังบอกให้นางซักผ้าปูที่นอนทั้งหมดในเรือน นางอายุแค่นั้น เกรงว่าไม่กี่วันก็คงทนไม่ไหวแล้ว”
“เช่นนั้น เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ” หู่พั่วเหงื่อตก
“เจ้านำของไปให้ที่บ้านของสาวใช้น้อยคนนั้น ดูว่าใครเป็นคนดูแลครอบครัวของนาง จากนั้นก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เล่าว่านางทำสิ่งใดผิด เหตุใดถึงต้องลงโทษนาง บอกเล่าให้ชัดเจน แล้วก็บอกคนที่บ้านของนางว่า หากนางทนไม่ไหว ให้คนที่บ้านของนางมารับนางกลับไป ทางผู้ดูแล เจ้าก็สามารถไปบอกพวกเขา สำหรับเงินค่าซื้อทาส ก็สามารถออกให้นางได้”
“เช่นนั้นข้าจะลงโทษนางทำไมเล่าเจ้าคะ!” หู่พั่วอดไม่ได้ที่จะตกใจ
“เราไม่ได้เคียดแค้นอะไรกับนาง เหตุใดถึงต้องบีบบังคับให้นางเกลียดชังเรา” สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ
“แต่ว่า” จากนั้นน้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป “บางคน ถึงแม้เราอยากจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาก็สร้างไม่ได้ หากพวกนางทำผิด เช่นนั้นก็ถือว่าโชคร้ายจริงๆ หากเกลียดพวกเราเพราะเรื่องนี้ เราก็ทำอะไรไม่ได้ใช่หรือไม่” พูดจบ นางก็กะพริบตาให้หู่พั่ว “เช่นนั้นก็ปล่อยให้เกลียดไปเถิด!”
หู่พั่วเข้าใจขึ้นมาทันที
“นี่คือหลักการที่ฮูหยินบอก” นางตื่นเต้น “กฎเป็นของตาย แต่คนเป็นสิ่งมีชีวิต หากทำผิดก็ต้องถูกลงโทษทุกคน แต่หากเฆี่ยนไปแล้วจะให้ยาหรือไม่ ให้ยาอะไร ทายาให้เมื่อใด กลับเป็นเรื่องของพวกเรา”
“ในที่สุดก็เข้าใจเสียที” สืออีเหนียงเห็นว่านางเข้าใจแล้วก็ดีใจ จากนั้นก็บอกหู่พั่ว “ไปเถิด รู้จักแค่เรียนกฎเกณฑ์กับข้า แต่ไม่รู้จักรินชาให้ข้าชุ่มคอ”
“ไอ๊หยา” หู่พั่วกระโดดขึ้นมา “ความผิดของบ่าวเจ้าค่ะ” รีบทิ้งชาที่เย็นแล้วที่อยู่ตรงหน้าสืออีเหนียง จากนั้นก็รินชาร้อนใหม่
“บ่าวได้ยินพี่ตงชิงบอกว่า ตอนที่ฮูหยินอยู่ที่อวี๋หัง ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะดื่มชาเถี่ยกวนอิน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวจะดื่มชาแดงฉีหง แล้วในชาแดงฉีหงก็ยังต้องใส่น้ำผึ้งสองช้อน แต่ตั้งแต่ข้าติดตามท่านมา ก็เห็นแค่ท่านดื่มแต่ชาหลงจิ่ง...” นางนั่งพูดคุยกับสืออีเหนียงบนเก้าอี้ “หรือว่าชาที่พวกเราชงไม่ถูกใจท่านเจ้าคะ”
สืออีเหนียงจิบชาร้อนแล้วถามนางกลับ “เจ้าเคยเห็นใครดื่มชาแดงฉีหงแล้วใส่น้ำผึ้งหรือไม่”
หู่พั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “โดยส่วนตัวแล้วบ่าวยังไม่เคยเห็นเจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่เคยเห็น แต่ไม่ค่อยมีใครดื่มชาแบบนั้น” สืออีเหนียงพูดอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงจะบอกว่าเสียใจก็ไม่ใช่ ดีใจก็ไม่เชิง หู่พั่วได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลกๆ “ดังนั้น เราต้องพยายามเพื่อให้ได้ดื่มชาแดงฉีหงที่ใส่น้ำผึ้งในฤดูหนาว”
หู่พั่วฟังไม่เข้าใจ “แต่เหอเยี่ย สาวใช้ของฮูหยินห้าบอกว่า ฮูหยินสองยังใส่หินที่ถูกเผาจนแดงลงในชา! ฮูหยินอยากจะใส่น้ำผึ้งลงในชาแดงฉีหงก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกนี่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ
หลังจากหัวเราะแล้ว นางก็พูดกับหู่พั่วด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “สาวใช้ที่เข้ามาใหม่ล้วนแต่ต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์เหล่านี้ก็คือกฎการประพฤติตัวของบรรดาสะใภ้และสาวใช้ เจ้าไปเขียนมาฉบับหนึ่ง จากนั้นก็ให้ทุกคนท่องใหม่อีกครั้ง แล้วบอกพวกนางว่า ต่อไปกระทำการสิ่งใดต้องทำตามกฎเกณฑ์ หากมีคนกระทำผิดอีก เจ้าจัดการตามกฎก็พอ จะได้สบายใจมากขึ้น”
ตนยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย ฉังจิ่วเหอพึ่งจะเข้ามารับมือดูแลเรือนนอกของผู้ติดตาม ไม่รู้ว่าผลเก็บเกี่ยวในวันนี้เป็นเช่นไร เปิดร้านขายน้ำหอมไม่ได้แล้ว ต้องคิดหาวิธีอื่น ตอนนี้เป็นสิ้นเดือนของเดือนแรก สวีลิ่งอี๋อยากจะไล่ผู้ดูแลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของข้าวราออกไปภายในสองสามวันนี้ บุตรชายคนโตของหลิวหยวนรุ่ยผู้ติดตามของนางปีนี้อายุสิบสองแล้ว บุตรชายคนที่สองของฉังจิ่วเหอปีนี้อายุสิบขวบ ต้องหาโอกาสไปดูพวกเขา หาวิธีแนะนำให้ไปลานข้างนอก เริ่มจากการเป็นบ่าวรับใช้ แล้วยังมีบุตรสาวคนโตของฉังจิ่วเหอ บุตรสาวคนโตของว่านอี้จง ถึงเวลาที่ต้องเข้ามาทำงานในจวนแล้ว แต่นางก็ยังไม่เคยเจอหน้า…ตนไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายพวกนี้ทุกวัน
หู่พั่วพยักหน้า เห็นว่าสืออีเหนียงอารมณ์ดี นางเอนตัวไปข้างหน้าแล้วพูดเบาๆ “ฮูหยิน ตอนกลับไปที่ตรอกกงเสียนบ่าวได้ยินซานหูบอกว่า นายหญิงใหญ่ให้ท่านรับสาวใช้ห้องข้างให้ท่านโหว” สายตาของนางเป็นประกาย “แล้วยังกลัวว่าท่านโหวจะไม่พอใจ จึงอยากเลือกคนในบรรดาพวกเราไปรับใช้ท่านโหวเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้าอยากจะพูดอะไร”
หู่พั่วหน้าแดงขึ้นมาทันที นางพูดติดๆ ขัดๆ “ฮูหยิน ท่านคิดว่าบ่าว บ่าว…”
*****
ขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้อง อีกฝั่งหนึ่ง ป้าเถากำลังยิ้มแห้งให้ป้ารับใช้ที่มารายงานนาง
“ปีกกล้าขาแข็งแล้วจริงๆ แม้แต่สาวใช้ยังกล้าชักสีหน้าใส่ข้า”
“ใช้เจ้าค่ะท่านป้า!” ท่านป้าคนนั้นพูดด้วยความโมโห “คำสุภาษิตที่ว่า ‘ตีคนไม่ตีหน้า’ หู่พั่วคนนั้นเป็นใครกัน หากท่านไม่หาวิธีจัดการนาง เกรงว่าต่อไป…” พูดจบ นางก็มองสีหน้าของป้าเถาอย่างระมัดระวัง
ป้าเถาได้ยินเช่นนี้ก็แค่ยิ้ม บอกให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ นำเงินออกมายี่สิบอีแปะ แล้วบอกป้ารับใช้คนนั้นว่าเอาให้ไปซื้อสุรา
ทันทีที่ม่านเปิดออก หว่านเซียงที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียว ปักปิ่นปักผมสีทองก็เดินออกมา
“ข้าบอกแล้วว่ายัยหนูคนนั้นปากหวานก้นเปรี้ยว ตอนนี้ท่านรู้แล้วหรือยังเล่า” นางพูดด้วยสีหน้าที่เยาะเย้ย
หากเป็นเมื่อก่อน สายตาที่เฉียบแหลมของป้าเถาคงจะมองไปที่นางแล้ว แต่ตอนนี้ นึกถึงหน้าจุนเกอ…นางก็ระงับความไม่พอใจในใจแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
เมื่อเห็นป้าเถาที่เย่อหยิ่งมาตลอดยอมจำนน หว่านเซียงก็อดรู้สึกชอบใจขึ้นมาไม่ได้
นางเดินเข้าไปนั่งข้างป้าเถา “เรื่องที่ข้าขอร้องท่าน…ท่านคิดว่าอย่างไร”
“ไม่ได้!” ป้าเถาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “หากท่านโหวจะรับสาวใช้ห้องข้าง นั่นมันเป็นเรื่องของฮูหยิน ข้าไม่มีทางเข้าไปยุ่ง”
“ไอ๊หยา ท่านป้าของข้า!” หว่านเซียงทำสีหน้าเยาะเย้ย “ท่านยังคิดว่าท่านคือป้าเถาในตอนนั้นอยู่หรือ ตอนนี้ฮูหยินหย่งผิงโหวไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตอนนั้นแล้ว ความจงรักภักดีของท่าน ต้องมีคนให้เงินแลกสิเจ้าคะ แล้วอีกอย่าง ข้าไม่ได้ให้ท่านแนะนำคนให้ฮูหยิน แค่ให้ท่านช่วยข้าดูว่าท่านโหวออกไปลานข้างนอกเมื่อไร ถึงตอนนั้นให้นางเจอกับท่านโหวก็พอแล้ว หากไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็คือนางไม่มีวาสนา แต่ข้าก็ยังซาบซึ้งที่ท่านช่วยเหลือข้า แต่หากสำเร็จ ให้ฮูหยินของเรารู้สึกไม่พอใจบ้างก็ไม่เลวกระมัง” พูดจบนางก็พูดเบาลง “ท่านคอยดูประเดี๋ยวก็รู้ ชิวหลัวตัวเป็นๆ”
ป้าเถาเลิกคิ้ว สีหน้าของนางเย็นชา “วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี เจ้ารีบกลับไปเถิด ไปทำงานของเจ้าให้ดี ไม่ต้องคิดเรื่องเหลวไหลพวกนี้”
หว่านเซียงโมโหจนตัวสั่น นางกัดฟันพูด “ท่านป้าช่างโหดเหี้ยมเสียจริง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ” จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
ป้าเถาหน้าซีด
สาวใช้ที่ทำความสะอาดถ้วยชามเห็นเช่นนี้ก็เป็นห่วง “ท่านป้า พี่หว่านเซียง…”
“อย่าพูดถึงนาง ตอนนี้นางลำบาก ยอมทำได้ทุกอย่าง ไร้ศีลธรรม” พูดจบนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอกสาวใช้คนนั้น “ประเดี๋ยวข้ากลับมา”