เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวให้คนจากร้านตัดเสื้อสำเร็จรูปทิ้งผ้าที่พวกเขาได้เลือกดูก่อนหน้านี้เอาไว้ ส่วนเสื้อผ้าคนรับใช้ก็ให้ลู่กุ้ยไปจัดการ
ลู่กุ้ยรับคำ พาช่างร้านตัดเสื้อสำเร็จรูปออกไป ลู่เจียวให้เฝิงจือพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปดื่มน้ำกินขนมที่เรือนด้านหลัง
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่ค่อยชอบใจเท่าไร พวกเขาชอบอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ แต่ชอบมีคนมารบกวนอยู่เรื่อย
ลู่เจียวปลอบใจลูกๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ที่ว่าเราทั้งครอบครัวแต่งตัวเหมือนกัน พวกเจ้าไปลองคิดแบบกันดูไหม อีกสักครู่ค่อยบอกแม่ ช่วยแม่คิดว่าจะปักลวดลายอะไรบนเสื้อบุฝ้ายด้วยดีไหม”
พอลู่เจียวกล่าว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ดีใจ
“ขอรับ เช่นนั้นพวกเรากลับไปคิดเรื่องนี้แล้วค่อยมาบอกท่านแม่”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตามเฝิงจือไปเรือนด้านหลังอย่างดีใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวรอให้ลูกๆ ไปกันแล้ว ก็สั่งให้หลินตงเชิญหลี่เหวินปินเข้ามา
หลี่เหวินปินเข้ามาถึงห้องโถงในเรือนด้านหน้าตระกูลเซี่ยอย่างรวดเร็ว
กล่าวตามตรง หากไม่ใช่ว่ามาฆ่าเซี่ยอวิ๋นจิ่น หลี่เหวินปินก็ไม่อยากให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นตนเองในสภาพอนาถเช่นนี้เลย
เขายากจนเหมือนเซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาสองคนต่างกันมาก เซี่ยอวิ๋นจิ่นมีภรรยาและลูกที่ดี ตัวเขาเองยังได้เป็นที่ปรึกษาหลังม่านของนายอำเภอหู ภรรยาไม่เพียงแต่เป็นวิชาแพทย์ ยังเป็นรองประธานสมาคมการค้าชิงเหอ ประเด็นสำคัญก็คือทั้งสองรักใคร่ปรองดอง แล้วดูเขาสิ จางปี้เยียนดูแคลนเขาอย่างมาก ไม่เคยให้เขาแตะต้อง
เพราะจางปี้เยียนไม่ชอบเขา ตระกูลจางทุกคนจึงดูแคลนเขา แม้แต่คนรับใช้ก็แอบหัวเราะเยาะเขา
หลี่เหวินปินยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ความโกรธแค้นก็ยิ่งปะทุ
ในห้องโถง เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมองหลี่เหวินปิน เห็นเขาหน้าตาเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผลจริงๆ ดูก็รู้ว่าถูกรุมทำร้ายมาอย่างหนัก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเห็นสภาพเขา ในใจก็แอบด่าสมน้ำหน้า แต่ทั้งสองคนยังคงต้องแสดงสีหน้าตกใจ
“พี่หลี่ เป็นอะไรไปหรือ”
“ใครทำท่านเช่นนี้ ต้องแจ้งความไหม”
พอได้ฟังว่าแจ้งความ หลี่เหวินปินก็รีบส่ายหน้า “ไม่ต้องแจ้งความ บาดแผลข้าพวกนี้จางปี้เยียนเป็นคนทำ”
“ผู้ใดนะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวคิดว่าตนเองฟังผิด กล่าวตามตรง แม้ว่าพวกเขารังเกียจหลี่เหวินปิน คิดจับตัวเขา แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบาดแผลหลี่เหวินปินจะเป็นฝีมือภรรยาเขา ยังคิดว่าเป็นนายผู้เฒ่าตระกูลจางทำร้าย
หลี่เหวินปินเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ในใจก็เดือดดาลขีดสุด หากไม่ใช่ต้องการใช้ความอ่อนแอนี้เข้าใกล้เซี่ยอวิ๋นจิ่น เขาก็คงหันหลังจากไปนานแล้ว
แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้
ขอบตาหลี่เหวินปินแดงก่ำ สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวยากบรรยาย
เขาล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องโถงตระกูลเซี่ยด้วยสีหน้าเจ็บปวด กล่าวอย่างปวดใจว่า “อวิ๋นจิ่น เจ้าไม่รู้ ข้าแต่งเข้าตระกูลจาง จางปี้เยียนไม่เพียงแต่ไม่เคารพข้า ยังเอาแต่ด่าทอข้า ชีวิตข้าลำบากมาก”
กล่าวจบน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ร่วงหล่นลงมาจากขอบตา
ลู่เจียวเบ้ปากมองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นทันที นี่คิดทำอะไรกัน ไม่เช่นนั้นอยู่ดีๆ จะมาบ้านตระกูลเซี่ยพูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นส่งสายตาให้ลู่เจียว บอกให้นางใจเย็น อย่าร้อนใจไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวกับหลี่เหวินปินด้วยสีหน้าเสแสร้งว่า “พี่หลี่ อย่าได้เสียใจไปเลย ค่อยๆ เล่า ใช่แล้ว บาดแผลบนใบหน้าท่านต้องให้คนมาทำแผลให้เรียบร้อยก่อนไหม บ้านเรามียา ช่วยใส่แผลให้ท่านได้”
หลี่เหวินปินส่ายหน้าอย่างปวดใจ “บาดแผลบนร่างกายไม่เท่าบาดแผลในจิตใจ อวิ๋นจิ่น เจ้ารู้ไหมหลายปีมานี้ข้าผ่านมาได้อย่างไร วันเวลาผ่านมาอย่างยากลำบาก ข้าใกล้ทนรับไม่ไหวแล้วจริงๆ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองไปยังหลี่เหวินปินด้วยแววตาเย็นชา แต่หลี่เหวินปินยามนี้เอาแต่สนใจแสดงละครตน ไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาของเขา
ลู่เจียวค้อนขวับ ทนเจ้าไม่ไหวแล้วทำไมเจ้าไม่หย่าเล่า พูดไปพูดมาก็เพราะละโมบเงินทองตระกูลจาง
ในห้องโถง หลี่เหวินปินยังเล่าอย่างปวดใจต่อว่า “พวกเจ้ารู้ไหม เพราะจางปี้เยียนไม่เห็นข้าในสายตา ทำให้ทั้งตระกูลจางเองก็มองข้าไม่เข้าตา คนรับใช้ก็แอบหัวเราะเยาะข้าว่าข้าเป็นลูกเขยแต่งเข้า ยังว่าข้าไร้สามารถ เป็นไอ้โง่ที่รู้แต่เรียนหนังสือ”
“ตอนนั้นที่แต่งเข้าตระกูลจางคิดว่าข้ายินยอมหรือ พวกเขาแต่งข้าเข้าไปเอง ตอนนี้ถึงกับกล่าวเช่นนี้ ท่านแม่ข้าลำบากลำบนให้ข้าได้เรียนหนังสือ กว่าจะสอบซิ่วไฉได้มันง่ายหรืออย่างไร หากไม่ใช่ท่านแม่ข้าป่วย ข้าก็คงไม่คิดแต่งเข้าตระกูลจางไปเป็นเขยในตระกูลพวกเขาหรอก ปรากฏตอนนี้ถึงกับเป็นเช่นนี้ไปได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวสองคนฟังเขาพล่ามบ่นไม่หยุดอยู่เป็นนาน จนได้แต่ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ทำไมเขาแอบวางอุบายทำร้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่น ไม่ใช่เซี่ยอวิ๋นจิ่นให้เขาแต่งเข้าตระกูลจางเสียหน่อย และก็ไม่ใช่เซี่ยอวิ๋นจิ่นให้ตระกูลจางทำกับเขาเช่นนี้ด้วย ดังนั้นเขามาทำร้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่นทำไมกัน
สองสามีภรรยาคิดไม่ตก สุดท้ายทั้งสองคนฟังจนรู้สึกรำคาญ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นไม่ให้เขาพล่ามต่อ
“พี่หลี่ ท่านบาดเจ็บ ข้าให้บ่าวรับใช้ทำแผลให้ท่านก่อนดีไหม”
หลี่เหวินปินกลับลุกขึ้นอย่างแตกตื่น มองเซี่ยอวิ๋นจิ่น “อวิ๋นจิ่น ใจข้ารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว เจ้าดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่”
พอหลี่เหวินปินเอ่ย เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ระวังตัวขึ้นมา อยู่ดีๆ หลี่เหวินปินมาดื่มสุรากับเขาทำไมกัน เขารู้ดีกว่าคนผู้นี้คิดทำร้ายเขา ยามนี้มาหาเขาเพื่อดื่มสุรา ย่อมต้องคิดวางอุบายทำร้ายเขาอีก
เขาจะแสร้งทำเป็นหลงกลดีไหม เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังคิดอยู่ ลู่เจียวพลันเอ่ยว่า “หลี่ซิ่วไฉ เจ้าบาดเจ็บขนาดนี้ ยังมีเรื่องกับจางเหนียงจื่อ ตอนนี้อย่าไปที่ไหนเลย ก็ทำแผลที่บ้านเราแล้วก็พักผ่อนที่บ้านเราสักคืน ข้าให้คนไปเตรียมสุรามาให้เจ้าดื่มกับอวิ๋นจิ่นสักสองจอก จะได้คลายความทุกข์ในใจ เจ้าว่าดีไหม”
พอหลี่เหวินปินได้ฟังก็อ้าปากคิดปฏิเสธ เพราะเขาแสดงละครฉากนี้ก็เพื่อล่อเซี่ยอวิ๋นจิ่นออกไป อยู่บ้านตระกูลเซี่ยจะลงมือได้อย่างไร
ลู่เจียวไม่รอให้เขาตอบก็เอ่ยอีกว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่าตอนนี้สี่ตระกูลกำลังจับตาดูบ้านเราอยู่ ดังนั้นอวิ๋นจิ่น ออกไปไม่ได้เด็ดขาด”
ลู่เจียวกล่าวจบก็ส่งสายตาเตือนเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ความคิดลู่เจียวทันที
นางเดาจุดประสงค์หลี่เหวินปินออกว่าคิดลงมือกับเขา
ลู่เจียวไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาไปเสี่ยง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกเพียงแค่ในใจหวานล้ำ อดเม้มปากยิ้มไม่ได้
ตอนสองสามีภรรยาสบตากันในนาทีนั้น หลี่เหวินปินเห็นเข้าพอดี
หลี่เหวินปินรู้สึกเพียงแค่บาดตา แทบจะฉีกสองสามีภรรยาคู่นี้ออกเป็นชิ้น
เขามีชีวิตที่โชคร้ายเช่นนั้น พวกเขาถือสิทธิ์อันใดมีความสุขกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้แต่งกับผู้หญิงที่ดีเช่นลู่เจียว ยังเป็นเขาที่วางอุบายเองกับมือส่งนางให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น
เขาวางอุบายเขา ปรากฏคนเขาได้ภรรยาคนงามที่มีความสามารถและเก่งกาจ ทั้งสองคนยังรักใคร่ปรองดอง
หลี่เหวินปินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าในใจยากจะระงับโทสะลงได้
ลู่เจียวหันไปมองเขา ไม่รอให้เขากล่าวอันใดก็ออกคำสั่งขึ้น “หลินตง พาหลี่ซิ่วไฉไปทำแผล จากนั้นก็เตรียมที่พักให้เขา”
หลินตงรับคำ “ขอรับ เหนียงจื่อ”
หลินตงรับคำแล้วก็ก้มคำนับเชิญหลี่เหวินปินออกไปทำแผล