“ก๊อง ก๊อง”
เสียงของระฆังเหล็กฟังดูไพเราะราวกับหยาดน้ำฝนที่ตกลงกระทบทะเลสาบจนเกิดเป็นวงกลมเล็กๆ จำนวนมาก มันดังกังวานอยู่ในอากาศ ก่อนจะเข้าสู่ความเงียบสงบอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทุกครั้งที่เสียงระฆังดังขึ้น ที่ด้านหลังนั้นก็มีลมพัดเย็นยะเยือกก่อตัวขึ้นราวกับภูตผี
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอุณหภูมิโดยรอบกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชายสวมเสื้อคลุมสีดำอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของเขามีหน้ากากบดบังเอาไว้ จึงทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้เลยแม้แต่น้อย คทาที่อยู่ในมือของเขาดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ หัวคทาประดับด้วยดวงตาสีแดงวาววับ ไม่แน่ใจว่ามันเป็นตาของสัตว์ชนิดใดกันแน่ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด อุณหภูมิก็จะร้อนขึ้นราวกับลาวา และไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา คนคนนี้เป็นธาตุทองระดับสูงสุด! ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้นั้นเหนือกว่านางอยู่หลายขุม นางเคยได้ยินมาจากผู้อาวุโสห้วน ว่า บรรดาคนที่ก้าวไปถึงระดับทองคำนั้นจะมีพลังวิญญาณ พวกเขาจะปรับพลังปราณของตนให้สอดคล้องกับการแสดงพลังที่แท้จริงของตนออกมา แต่การจะทำเช่นนี้ได้ คนผู้นั้นย่อมต้องมีพลังปราณที่แข็งแกร่งพอ มีประสบการณ์ชีวิตอันยาวนาน และมีความคิดลึกล้ำกว่าคนทั่วไปเท่านั้น จึงจะสามารถฝึกได้สำเร็จ บรรดาคนที่บรรลุไปถึงธาตุทองระดับสูงสุดได้นั้นมีอยู่แค่เพียงหยิบมือ แม้กระทั่งทั่วทั้งจักรวรรดิจ้านหลงก็ไม่ได้มีอยู่มากนัก
แต่คนทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยในเวลานี้กลับบรรลุไปจนถึงธาตุทองระดับสูงสุดได้!
อุณหภูมิของเปลวเพลิงที่อยู่รายรอบร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ รอยเท้าของชายในชุดเสื้อคลุมสีดำยิ่งเห็นได้ชัดเจนบนพื้นดิน จากนั้นลูกไฟลูกหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน
ไฟบรรลัยกัลป์ในตำนาน!
มีแต่กิเลนอัคคีเท่านั้นที่สามารถต้านทานการโจมตีได้!
ว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เข้าใกล้ไฟบรรลัยกัลป์จะถูกทำลาย และกลับคืนสู่ความว่างเปล่า
หากเป็นคนอื่นมาเห็นภาพนี้เข้า พวกเขาคงต้องพยายามที่จะหาทางหนีอย่างแน่นอน แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ยอมปล่อยมือจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย การรับมือด้วยสภาพนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ยากลำบากนัก นางจึงทำได้เพียงแค่เงี่ยหูฟังเสียงเหล่านั้นเท่านั้น
แม้ว่าสีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยจะยังคงราบเรียบ แต่ที่มุมปากของนางกลับมีเลือดซึมออกมา คู่ต่อสู้ทั้งสองคนของนางสามารถจัดการกับนางได้อย่างง่ายดายเหมือนเหยียบย่ำมดปลวก
“กระดูกแข็งใช่เล่น” ชายชุดดำยิ้มอย่างเย็นชา แล้วกระชับคทาในมือ ”สามารถต้านทานวิชาของข้าได้ทั้งที่ร่างกายไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ครั้งหน้าเจ้าไม่โชคดีเช่นนี้แน่!”
ชายชุดดำถีบตัวขึ้น เปลวเพลิงรอบตัวกลืนกินร่างของเขา ปีกคู่หนึ่งสยายออกจากร่างของเขาท่ามกลางทะเลเพลิงสีแดงฉาน เขาอ้าปากสีแดงเลือดนั้นออก แล้วพ่นไฟเข้าใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไร้ความปรานี!
ถ้าเป็นคนธรรมดา เกรงว่าคงจะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว แต่เฮ่อเหลียนเวยเวย ใช้มือข้างหนึ่งหมุนร่มในมือของนางเพื่อป้องกันเปลวเพลิงที่พุ่งเข้ามา
ตู้ม!
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวถอยหลัง อ้าปากกระอักเลือดออกมา
ชายทั้งสองไม่ปล่อยให้พวกนางมีเวลาคิด ทันทีที่หนึ่งในนั้นโจมตีเฮ่อเหลียนเวยเวยเสร็จ อีกคนก็กระโจนเข้าหานางจากทางด้านหลังทันที
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงี่ยหูฟังเสียงลมรอบตัวเขา แล้วหมุนตัวไปอีกทาง ก่อนจะโอบตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยให้เข้าสู่อ้อมแขนของเขา แล้วกลิ้งลงจากเนินหญ้าไปพร้อมกัน
“บัดซบ! เราคลาดสายตาจากพวกมันไปซะได้! ผู้ชายตาบอดที่ไหนจะมีปฏิกิริยาว่องไวได้ถึงเพียงนี้กัน” ชายเจ้าของกรงเล็บยาวสีดำอันคมกริบฟาดมือของตน แล้วมองคนทั้งสองที่หายตัวไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความมาดร้าย
ชายคนที่ถือคทาเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงของเขาราบเรียบ และฟังดูเหมือนกับความตาย ”หากกลิ้งลงไปจากที่นี่ พวกเขาจะไปถึงหน้าผา เด็กสาวคนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว นางสามารถต้านทานการโจมตีต่อเนื่องของข้าได้ถึงสองครั้ง หากเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ บางทีนางคงจับการเคลื่อนไหวของข้าได้บ้างแล้ว น่าเสียดายจริงๆ ที่นางไปขวางทางพระชายาเข้า”
“เด็กหนุ่มที่อยู่กับนางเป็นใครกัน ปฏิกิริยาตอบสนองของเขารวดเร็วมากทีเดียว”
“ช่างมันเถอะ อย่างไรพวกเขาก็ไม่น่าจะรอดไปได้อยู่แล้ว”
ติ๋งติ๋งติ๋ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้นเมื่อน้ำหยดลงบนใบหน้าของนาง ปฏิกิริยาแรกของนางคือการตรวจสอบคนที่อยู่ด้วย บนหน้าของเขายังคงมีแถบผ้าพันเอาไว้เฉกเช่นเดิม ใบหน้าด้านหนึ่งของเขามีรอยถลอกและฟกช้ำจากการกระแทกก้อนหินเล็กน้อย แขนของเขาจำเป็นต้องได้รับการรักษา เขาอาจจะได้รับบาดเจ็บตอนที่พยายามปกป้องนางเอาไว้ในระหว่างที่พวกนางกลิ้งลงมาจากเนินเขา
เห็นได้ชัดเจนว่าที่แห่งนี้ไม่มีพืชสมุนไพรอยู่เลย ดูเหมือนพวกนางจะร่วงลงมาในถ้ำ ด้านล่างของพวกนางเป็นหน้าผา หน้าผาเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นปราการธรรมชาติคอยป้องกันสายลมเอาไว้ สภาพถ้ำเองก็ดูเขียวชอุ่มทีเดียว
บนชะง่อนผามีน้ำตกอยู่สายหนึ่ง มันไหลลงมาข้างล่าง เกิดเป็นสระน้ำที่ล้อมรอบไปด้วยหมู่แมกไม้เขียวขจี ทำให้สระน้ำแห่งนั้นใสเป็นประกายราวกับคริสตัลที่มองทะลุได้
ไม่มีทางให้ไปต่อ เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามขยับแขนและขาของนาง แขนขาทั้งสี่ข้างของนางดูอ่อนแรง แต่กลับไม่มีอาการเจ็บปวด
จากนั้นนางจึงหันมองเลือดสีเข้มที่ไหลออกมาจากแขนของเขา นางก้มหน้าลงไปดูดเลือดนั้นออกโดยไม่ลังเล นางพ่นเลือดทิ้ง เป็นอย่างที่คิด มันมีพิษ แต่โชคดีที่พิษนั้นไม่ได้เข้าไปถึงกระดูก
ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ฝ่ายที่ควรได้รับบาดเจ็บสาหัสควรจะเป็นนางมากกว่า แต่เพราะในระหว่างที่นางกับเขากลิ้งตกลงจากเนินเขา เขาใช้ร่างกายของตัวเองปกป้องนางเอาไว้ ดังนั้นคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักจึงกลายเป็นเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยทั้งรู้สึกซาบซึ้งใจ และเป็นกังวลในเวลาเดียวกัน นางเรียกหยวนหมิงสองสามครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับเงียบกริบเเหมือนตาย ถ้ำนี้มีอะไรผิดปกติหรือ จะว่าไปแล้ว ระหว่างการต่อสู้บนภูเขานั่น หยวนหมิงก็ไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาเลยเหมือนกัน สรุปก็คือ ที่นี่จะต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน
แต่ตราบใดที่นางยังไม่ตาย ทุกอย่างก็ยังไม่จบ!
นางไม่มีเวลาให้เสียมากนัก การประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ หากนางโผล่ไปไม่ทันเวลา นางก็จะถูกตัดสิทธิ์ไปโดยปริยาย แล้วทุกความพยายามที่นางทำมาก็จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองหน้าผาที่อยู่ใต้เท้า และตัดสินใจว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บเสียก่อน จากนั้นค่อยพยายามหาทางแก้ปัญหานี้ นางหลับตาลงตั้งสติ นางรู้สึกเหมือนมีพลังสายหนึ่งไหลผ่านนางไปราวกับสายน้ำ และทำให้ร่างของนางอบอุ่นไปทั้งตัว เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้พลังสายนั้นคลายจุดปราณรอบร่างกาย แล้วพยายามบังคับให้พลังนั้นเคลื่อนไปทลายขีดจำกัด เพื่อทะลวงปราณให้ถึงระดับที่สูงขึ้นไป!
แต่แล้วช่องอกและจุดปราณทั่วร่างของนางก็พลันปวดแปลบขึ้นมาในทันที เลือดทั่วร่างเริ่มพลุ่งพล่านราวกับจะปะทุขึ้นมาจากผิวหนัง! เฮ่อเหลียนเวยเวยฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดอันรุนแรงนั้น ไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับกระแสพลังอันเหนือการควบคุม จากนั้นนางจึงถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง แสงสว่างไร้ซึ่งสีสันใดๆ ก็ไหลอาบไปทั่วร่างของนาง
ราวกับสัมผัสได้ถึงแสงนั้น เสียงหายใจเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านในของถ้ำ…