ฮ่องเต้เสด็จออกจากพระราชวัง ประกาศการสิ้นสุดของการประลองในครั้งนี้ รวมไปถึงจุดสิ้นสุดของเรื่องที่เฉินตันจูไปอาละวาดที่กั๋วจื่อเจี้ยน
ไม่มีผู้ใดพูดถึงความผิดของเฉินตันจูอีก เหล่าบัณฑิตไม่ได้ถวายคำร้องเรียนด้วยความโกรธอีก เวลานี้ทุกคนต่างระลึกถึงการประลองในครั้งนี้ โดยเฉพาะหน้าประตูของบัณฑิตยี่สิบคนที่ถูกฮ่องเต้เรียกขานชื่อยิ่งมีรถม้าเดินทางมาไม่ขาดสาย
เรือนในตรอกแคบแห่งหนึ่งคับคั่งไปด้วยรถม้าติดต่อกันมาสามวัน เนื่องจากมีบัณฑิตเช่นนี้อาศัยอยู่
ต้าซือหนง[1] หวงหลิงเฉิงก็จำเป็นต้องเดินทางเท้าออกมาติดต่อกันสามวัน ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือสามวันนี้หิมะยังตกตลอดเวลา
“เหล่าบัณฑิตนี้น่ารำคาญเสียจริง” ผู้ติดตามถือร่มบดบังหิมะให้หวงหลิงเฉิง บ่นพึมพำ
หวงหลิงเฉิงมีใบหน้าดำคล้ำ มองไม่เห็นถึงสีหน้า เขาได้ยินจึงตำหนิ “อย่าพูดเหลวไหล วิชาหยูมีความเจริญรุ่งโรจน์จึงมีผู้มีความสามารถกำเนิดขึ้น เป็นเรื่องน่ายินดีของต้าเซี่ย”
บอกว่าบัณฑิตน่ารำคาญ เช่นนั้นเท่ากับการตำหนิกั๋วจื่อเจี้ยน? เฉินตันจูผู้เป็นหญิงสาวไร้ยางอายกล้าหาเรื่องสวีลั่วจือ แต่เขาไม่กล้า
สวีลั่วจือไม่สนใจเอาผิดหญิงสาว แต่ไม่มีทางปล่อยเขา หากตำหนิเขาต่อหน้าราชสำนัก เขาก็ไม่ต้องคิดออกจากจวนอีก เตรียมเก็บของลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดได้เลย
หวงหลิงเฉิงมัวแต่เหม่อลอย เท้าของเขาย่ำเข้าไปบนพื้นที่มีน้ำขัง รองเท้าและชายเสื้อต่างเปื้อนไปด้วยน้ำโคลน
เหล่าผู้ติดตามต่างรีบพยุงและเช็ดทำความสะอาด คนที่ยืนอยู่ริมทางเห็นต่างส่งเสียงหัวเราะออกมา หวงหลิงเฉิงโบกมือให้ผู้ติดตามถอยออกไปด้วยความขุ่นเคืองภายในใจ คิ้วดำของเขาขมวดมุ่น เดินไปยังจวนของตนเองอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินเข้าประตูจวนไป ภรรยาอดบ่นในความไม่ระวังของเขาไม่ได้ ทำให้ต้องซักชุดขุนนางใหม่ในวันที่อากาศหนาวเย็น
บุตรสาวหัวเราะอยู่ด้านข้าง “เรื่องนี้โทษท่านพ่อไม่ได้ ต้องโทษที่จวนของพวกเราอยู่ในพื้นที่ไม่ดีนัก”
พักอยู่ในสถานที่ทั้งแคบทั้งเล็กเช่นนี้ แต่ละที่ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน เมื่อเทียบกับจวนเก่าในซีจิง จวนแห่งนี้ถือเป็นเพียงเรือนด้านข้างในจวน
หวงหลิงเฉิงถลึงตาใส่บุตรสาว “สามารถมีจวนในเมืองก็ดีแล้ว จวนในเมืองใหญ่กว้างใหญ่ เจ้าไปหรือไม่”
เมืองใหม่สถานที่กว้างขวาง แต่ทุกที่เต็มไปด้วยความระเกะระกะ จวนก็เย็นเฉียบ ไม่อาจเทียบกับจวนที่มีคนพักมานับสิบปีได้ บุตรสาวย่อมไม่มีทางเดินทางไปลำบาก นางแลบลิ้นก่อนจะวิ่งจากไป
หวงหลิงเฉิงอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่สะอาด ก่อนจะเดินเข้าห้องตำราที่คับแคบแต่อบอุ่น ดื่มชาร้อนที่ภรรยาทาสรูปงามส่งมาให้ ก่อนจะดื่มด่ำกับการอ่านตำราโดยมีหญิงงามเคียงข้าง ช่างเป็นช่วงเวลาที่สบายที่สุดในหนึ่งวัน แต่มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาจากด้านนอกประตู…
“นายท่าน เหล่านี้คือบทกวีที่ใหม่ที่สุดและครบที่สุดของเหล่าบัณฑิตหอไจซิงขอรับ” เขาถือตำราสองเล่มหนาเดินเข้ามา
หวงหลิงเฉิงขุ่นเคือง ล้วนเป็นเพราะบัณฑิตเหล่านี้ ทำให้เขานั่งรถม้าไม่ได้ อีกทั้งยังทำให้เขาเหยียบถูกน้ำโคลน เวลานี้ยังไม่ให้เขาได้ดื่มด่ำกับหญิงงาม…
“ผู้ใดจะดูสิ่งนี้!” เขาตะโกน เวลานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างกระจายบทกวีเหล่านี้ แทบจะมีอยู่ในมือของทุกคน แต่เกี่ยวอันใดกับเขา “สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์กับข้าแม้แต่น้อย เวลานี้เมืองของเหล่าท่านโหวถูกเรียกคืนแล้ว แคว้นใหม่หลายสิบแคว้นเพิ่มขึ้น เก็บส่วยที่นา เมล็ดพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิ กำไรจากแปลงนา แต่ละวันดุจดั่งเกล็ดหิมะ ข้ายุ่งมากพอแล้ว ข้ายังต้องดูบทกวีที่พวกเขาอภิปรายโต้เถียงกันอีกหรือ?” เขาชี้ไปยังบ่าวรับใช้พร้อมตำหนิ “หากเจ้ามีใจ ก็ไปตัดกระดาษ ไปทำรองเท้าให้อุ่น ไปถือเตาไฟมาให้ข้า ให้นายท่านของเจ้าอยู่อย่างสบายเสีย ซื้อตำรามาทำสิ่งใดกัน! เจ้าไปเที่ยวเล่นบนถนนอีกแล้วใช่หรือไม่”
บ่าวรับใช้ถูกตำหนิอย่างต่อเนื่อง ทำหน้าเศร้า “นายท่าน ข้าไม่ได้ซื้อ มีคนส่งมาขอรับ”
หวงหลิงเฉิงโกรธจนหัวเราะออกมา “ผู้ใดที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนี้ ใช้สิ่งนี้มอบเป็นของขวัญให้ข้า” เขาโบกมือ “โยนกลับไปเสีย”
บ่าวรับใช้ตะกุกตะกัก “แม่ทัพหน้ากากเหล็กขอรับ”
มือที่โบกอยู่ของหวงหลิงเฉิงชะงักลง สีหน้าตกตะลึง “ผู้ใด แม่ทัพหน้ากากเหล็ก?”
บ่าวรับใช้มองดูชื่อที่อยู่ด้านบน แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดิมทีแซ่อะไร ทุกคนต่างลืมไปแล้ว แม้แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็เคยชินกับการใช้คำว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กในการแทนตนเอง…
หวงหลิงเฉิงโบกมือให้ภรรยาทาสของเขาออกไป ก่อนจะหยิบบทกวีเล่มหนาจากมือของบ่าวรับใช้มา พร้อมกับกระดาษที่เขียนชื่ออีกหนึ่งใบ เขามองดูอย่างละเอียด ถึงแม้จะไม่มีการไปมาหาสู่กับแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นการส่วนตัว แต่เขาไม่แปลกตากับชื่อและตราประทับของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก กองทัพใหญ่ของราชสำนักล้วนมีแม่ทัพหน้ากากเหล็กนำทัพ ต้าซือหนงมักมีการไปมาหาสู่กับเขาเรื่องเสบียงและเสื้อผ้า
แต่หวงหลิงเฉิงมองไปยังบทกวีด้านข้างอีกครั้ง “เหตุใดแม่ทัพหน้ากากเหล็กจึงส่งสิ่งนี้มาให้ข้า”
อีกทั้งแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็รู้เรื่องงานประลองในเมืองหลวงครั้งนี้ด้วย? แม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่ไกลถึงเมืองฉี…อืม แน่นอน ถึงแม้แม่ทัพหน้ากากเหล็กจะอยู่ไกลถึงเมืองฉี แต่ไม่ได้ไม่รู้เรื่องในเมืองหลวง เพียงแต่เหตุใดเขาจึงสนใจเรื่องที่ไม่มีความสำคัญเช่นนี้
บ่าวรับใช้ถามอย่างระมัดระวัง “ยังโยนกลับไปหรือไม่ขอรับ”
หวงหลิงเฉิงถลึงตาใส่เขา โบกมือ “ออกไป ออกไป ออกไป”
บ่าวรับใช้เดินออกไป หวงหลิงเฉิงนั่งอยู่ในห้องตำราคนเดียว มองดูกระดาษที่เขียนชื่อของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ไม่มีอารมณ์ดื่มด่ำเหมือนก่อนหน้านี้ เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด พลิกบทกวีไปมา สังเกตว่ามีเพียงบทกวีของบัณฑิตหอไจซิง ถึงแม้เขาจะไม่สนใจ แต่เขาก็รู้ว่าการประลองในครั้งนี้เป็นการประลองระหว่างบัณฑิตชนชั้นสูงและสามัญชน โจวเสวียนเป็นผู้นำของทางฝั่งชนชั้นสูงอยู่ในหอเหยาเย่ว์ส่วนเฉินตันจู หรือจะบอกว่าองค์ชายสามเป็นผู้นำฝั่งสามัญชนอยู่ในหอไจซิง
แม่ทัพหน้ากากเหล็กให้เขาอ่านบทกวีของบัณฑิตหอไจซิง มีจุดประสงค์อันใด
…
ยามค่ำคืนปกคลุมจวนหลังเล็ก ภายในห้องส่องสว่างไปด้วยแสงเทียน อบอุ่นทั้งห้อง หวงฮูหยินนั่งขมวดคิ้วอยู่หน้าโต๊ะ กำชับสาวรับใช้ข้างตัวเสียงเบา “ไปดูนายท่าน ให้เขารีบมากินข้าว อย่าเสียระเบียบ เด็กๆ ยังอยู่”
สาวรับใช้รีบไป ไม่นานนักนางเดินกลับมาอย่างรีบร้อน “นายท่านอ่านตำราอยู่ในห้องตำรา บอกว่าไม่กินข้าวเจ้าค่ะ”
อ่านตำราใดอ่านจนไม่กินข้าว หวงฮูหยินไม่เชื่อ ลุกขึ้นเดินทางไป เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูห้องตำรา ก็ได้ยินเสียงตบโต๊ะอย่างแรงภายในห้อง “น่าขัน! น่าขัน!”
หวงฮูหยินรีบเดินเข้าไป พบว่าภายในห้องตำราเล็กไม่มีหญิงงามอยู่ มีเพียงหวงหลิงเฉิงนั่งอยู่คนเดียว น้ำชาบนโต๊ะเย็นชืด เวลานี้เขากำลังชี้ไปยังตำราเล่มหนึ่งตรงหน้าด้วยความโกรธ
“เกิดเรื่องใดขึ้น” หวงฮูหยินรีบถาม
หวงหลิงเฉิงพูดอย่างโกรธเคือง “เด็กที่ไร้ความรู้บังอาจพูดถึงภัยน้ำ ศึกษาตำราคัมภีร์ไปก็พอ ริบังอาจวิจารณ์ภัยน้ำที่เกิดขึ้นตั้งแต่โบราณ อีกทั้งยังบอกว่าตรงนี้จัดการไม่ถูกต้อง เรื่องอย่างภัยน้ำ ใช่เรื่องที่ให้เขานำมาล้อเล่นหรือ”
ต้าซือหนงรับผิดชอบด้านการเก็บส่วยข้าวของราษฎร หวงหลิงเฉิงยิ่งรับผิดชอบต่องานของแคว้นโดยตรง ดังนั้นจึงเชี่ยวชาญและคุ้นเคยกับการลำเลียงทางน้ำมากที่สุด
หวงฮูหยินเกลี้ยกล่อม “ในเมื่อท่านบอกแล้วว่าเป็นเด็กที่ไร้ความรู้ ท่านจะโกรธเขาเพื่อสิ่งใด” พลางมองไปยังตำรา “ตำราอันใดกัน”
หวงหลิงเฉิงเห็นตำรายิ่งโกรธมากขึ้น “บทกวีของเหล่าบัณฑิตที่ยังไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางเขียนเอาไว้! ไม่เคยลงมือทำแม้แต่เรื่องเดียว อีกทั้งยังชี้ไม้ชี้มือ”
หวงฮูหยินยิ่งขบขัน “ยังไม่รับตำแหน่ง อีกทั้งไม่เคยลงมือทำงานจริง ท่านไม่ต้องโกรธพวกเขา”
หวงหลิงเฉิงนั่งลงด้วยใบหน้าดำทะมึน ไม่พูดสิ่งใด
“ไปกินข้าวก่อนเถิด” หวงฮูหยินพูด “สิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ อ่านไปเพื่ออันใด”
เขาก็ไม่อยากอ่าน ล้วนเป็นเพราะแม่ทัพหน้ากากเหล็ก! สองสามบทแรกยังดี ล้วนเป็นบทกลอน บทกวีต่างๆ จนกระทั่งตรงกลาง ปรากฏบทกวีที่แปลกประหลาด พูดถึงเรื่องสาเหตุของภัยแม่น้ำและวิธีการรับมือ ช่างทำให้เขาโกรธเสียจริง แม่น้ำผู้ใดก็วิจารณ์ได้หรือ
จากนั้นอ่านต่อไป เขาอ่านพบอีกบทหนึ่ง ครานี้ไม่วิจารณ์แม่น้ำแล้ว หากแต่เขียนถึงวิธีการใช้เวลา พื้นที่และคนในการสร้างทางน้ำที่เร็วที่สุด อีกทั้งยังวาดภาพ…
หวงหลิงเฉิงเหลือบมอง สองบทนี้เขาล้วนพับมุมเอาไว้ คนเขียนเป็นคนเดียวกัน ไม่รู้ว่าด้านหลังยังมีอีกหรือไม่…
“ข้าไม่กินแล้ว” เขาพูด ก่อนจะหยิบตำราพลิกไปด้านหลัง เขาอยากรู้ว่าเด็กผู้นี้จะเขียนสิ่งใดออกมาได้อีก!
…
หวงฮูหยินนอนหลับตื่นขึ้นมาก็ตกใจ นางมองหวงหลิงเฉิงที่นั่งอยู่ด้านข้าง ในมือถือตำรา สายตาเหม่อลอยเล็กน้อย
“ท่านไม่ได้หลับทั้งคืนหรือ” นางถามอย่างตกตะลึง เมื่อคืนเกลี้ยกล่อมให้หวงหลิงเฉิงกินข้าวไปหนึ่งชามอย่างยากลำบาก ตกดึกบังคับให้เขากลับมานอน ไม่คิดว่าหลังจากที่ตนเองหลับไป หวงหลิงเฉิงจะลุกขึ้นมาอีก
หวงหลิงเฉิงถอนหายใจ “เขาเขียนทั้งหมดสิบบท ข้าอ่านจบหมดแล้ว”
หวงฮูหยินทั้งโกรธทั้งขบขัน “โกรธจนไม่มีแรงด่าแล้วใช่หรือไม่” เมื่อคืนนางนอนหลับสนิทอย่างมาก ไม่ได้ยินเสียงสามีก่นด่าด้วยความโกรธ
หวงหลิงเฉิงทำหน้าเคร่งเครียด “เรื่องการจัดการน้ำ ไม่อาจพูดได้ว่าดีหรือไม่ดีได้อย่างง่ายดาย” พูดพลางลุกขึ้นเรียกสาวรับใช้ “เปลี่ยนชุด ข้าจะไปหยาเหมิน”
หวงฮูหยินพูดด้วยความโกรธ “เช้าเช่นนี้มีคนที่ไหนกัน!”
ยังบอกว่าบัณฑิตกลุ่มด้านนอกบ้าคลั่ง หวงหลิงเฉิงผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเหตุใดก็บ้าคลั่งไปด้วย
แต่หวงฮูหยินพูดผิดแล้ว เช้าเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคน หวงหลิงเฉิงเดินทางมาถึงหยาเหมิน ในขณะที่กำลังหาภาพที่เกี่ยวข้องกับทางน้ำนั้น ฮู่เฉา[2] ท่านหนึ่งจากเฉิงเซี่ยงฝู่[3] เดินเข้ามา
“อา ดีเหลือเกิน ขุนนางหวงมาแต่เช้าเช่นนี้” เขาพูดด้วยความดีใจ “ข้ากำลังต้องการค้นหาบันทึกของแม่น้ำเปี่ยน ท่านช่วยข้าหา…”
แม่น้ำเปี่ยน? หวงหลิงเฉิงหันหน้าไป มองดวงตาแดงก่ำของฮู่เฉาท่านนี้ เอ่ยถาม “ท่านต้องการสิ่งนี้ไปทำอันใด”
ฮู่เฉาท่านนั้นพูดอย่างตื่นเต้น “ใต้เท้าหวง ท่านว่า หากทางน้ำเปี่ยนไว้ตรงนี้…” เขาหยิบภาพหนึ่งออกมา ขีดเขียนลงด้านบน “สร้างประตูกั้นน้ำ จะสามารถบรรเทาแรงกระแทกของแม่น้ำเหลืองได้หรือไม่”
หวงหลิงเฉิงมองภาพนั้น ยิ่งมองยิ่งคุ้นตา ถลึงตาถาม “ใต้เท้าฉี ท่านได้อ่านตำราของหอไจซิงแล้วใช่หรือไม่”
ฉีฮู่เฉาผงะ ก่อนจะพยักหน้า หยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เห็นได้ชัดว่าตัดออกมาจากตำราใดตำราหนึ่ง “ใข่ ตำรานี้มีคนเขียน…เอ๊ะ ใต้เท้าหวงรู้ได้อย่างไร”
หวงหลิงเฉิงเอ่ยถาม “แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งตำราให้ท่าน?”
ฉีฮู่เฉากระจ่าง “ใต้เท้าหวง ท่านก็ได้รับ?”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กนี้จงใจหรือไม่กัน เขาส่งตำรานี้ให้ผู้ใดในราชสำนักบ้าง จุดประสงค์ของเขาคือสิ่งใด หวงหลิงเฉิงขมวดคิ้ว ฉีฮู่เฉาไม่คิดเรื่องนี้ ดึงเขาถามอย่างรีบร้อน “อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนั้น ท่านรีบบอกมา หากสร้างประตูกั้นน้ำบริเวณทางน้ำเปี่ยน เป็นไปได้หรือไม่ ข้าครุ่นคิดมาสองวันแล้ว ครุ่นคิดจนกระวนกระวายนั่งไม่อยู่…”
หวงหลิงเฉิงเข้าใจเขา เขาเพียงแค่อ่านไปเล็กน้อยก็อดอ่านต่อจนจบไม่ได้ ฉีฮู่เฉาตอนนั้นเคยรับตำแหน่งเป็นไท่โส่ว[4] ของแคว้น ส่งกำลังนับแสนคนขุดคลองชักน้ำ ใช้เวลาสามปี ทำให้แปลงนานับแสนมีน้ำใช้ ส่งผลให้เขาโด่งดังขึ้นมา ได้เลื่อนขั้นให้มาอยู่ในเฉิงเซี่ยงฝู่ เขาเคยลงมือทำเรื่องนี้ด้วยตนเอง เมื่อเห็นบทกวีเช่นนี้จะอดทนได้เสียที่ไหนกัน
บทกวีนั้นหวงหลิงเฉิงก็อ่านแล้ว เขาครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัว “ข้าไม่คุ้นชินกับแม่น้ำเปี่ยนนัก ไม่กล้าวิจารณ์ พวกเราไปถามขุนนางด้านน้ำของเมืองอู๋เดิมเสียดีกว่า ทางเมืองอู๋มีแม่น้ำมาก เขาอาจมีความคิดเห็นที่แม่นยำกว่า”
ฉีฮู่เฉาเห็นด้วยทันที “เรียกมาหลายคน มาหารือกัน ข้าคิดว่าหลายบทในนี้เป็นไปได้”
แต่ทั้งสองคนหาขุนนางท่านนั้นไม่พบ หรือว่าไม่ได้เดินทางมาหยาเหมิน ทั้งสองคนมองท้องฟ้า เวลานี้ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว
“ไม่ใช่ขอรับ ใต้เท้าเจียวมาแต่เช้าแล้ว ฟ้ายังไม่สว่างก็เดินทางไปขอเข้าพบฝ่าบาทแล้วขอรับ” ขุนนางบอกกับพวกเขา ก่อนจะนึกคำพูดพึมพำของใต้เท้าเจียว “ราวกับต้องการทูลฝ่าบาท เขาต้องการไปแคว้นเว่ย...ไม่รู้เกิดเรื่องใดขึ้น”
ถึงแม้เวลาอื่นหวงหลิงเฉิงและฉีฮู่เฉาจะไม่รู้ว่าขุนนางท่านนี้เสียสติเพราะเหตุใด แต่เวลานี้เมื่อพวกเขาได้ยินคำว่าแคว้นเว่ย ทั้งสองคนต่างเกิดความคิดหนึ่งขึ้น ทางน้ำเปี่ยน!
ใต้เท้าเจียวนี้คงไม่…ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะพุ่งตรงไปยังพระราชวังทันที
ฮ่องเต้ขยันทรงงาน ถึงแม้วันนี้ไม่มีการประชุมตอนเช้า แต่เขาก็ตื่นเร็ว ได้ยินว่ามีขุนนางขอเข้าเฝ้าจึงอนุญาต ตอนที่หวงหลิงเฉิงและฉีฮู่เฉาเดินทางมาถึงพระตำหนักนั้น พวกเขาเห็นขุนนางร่างอ้วนผู้หนึ่งกำลังคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ ร่ายเรียงผลงานการจัดการน้ำของตนเองในเมืองอู๋ ทูลขอที่จะไปแคว้นเว่ยแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้อย่างฮึกเหิม เพียงแต่เขามีคำขอเล็กๆ หนึ่งข้อ
“ขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้กระหม่อมเลือกคนผู้หนึ่งเป็นผู้ช่วย ถึงแม้ชนชั้นของคนผู้นี้จะมีความพิเศษ แต่กระหม่อมยอมให้โอกาสเขา…”
ฮ่องเต้ได้ยินจึงสงสัย เหตุใดเลือกผู้ช่วยยังต้องให้เขาอนุญาต คนผู้นี้มีฐานะพิเศษอย่างไร
ทางด้านหวงหลิงเฉิงอดที่จะเสียกริยาต่อหน้าฮ่องเต้ไม่ได้ “ใต้เท้าเจียว ท่านไร้ยางอายเสียจริง! ท่านคิดจะโกงคุณงามความดี…” พลางเดินเข้ามา พลางโค้งตัวคำนับ พูดอย่างจริงจัง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีบัณฑิตท่านหนึ่งมาเสนอ ผู้นี้มีความรู้ด้านการจัดการน้ำพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฉงน ทั้งตกตะลึงทั้งสงสัย “ผู้ใดกัน”
ฉีฮู่เฉาก็ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ยกบทกวีสิบบทที่ตัดออกมาขึ้น “ฝ่าบาท ผู้นี้มีนามว่าจางเหยา ขอให้ฝ่าบาททอดพระเนตร…”
—————————————————————————–
[1] ต้าซือหนง หมายถึง ตำแหน่งเสนาบดีการคลัง
[2] ฮู่เฉา หมายถึง ขุนนางที่ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องครัวเรือน
[3] เฉิงเซี่ยงฝู่ หมายถึง ที่ทำการของอัครมหาเสนาบดี
[4] ไท่โส่ว หมายถึง ผู้ว่าราชการประจำแคว้น