ตอนที่แสงอาทิตย์สว่างจ้า จางเหยากำลังยืดตัวอยู่ในลาน อีกทั้งยังออกแรงกระแอมไอหนึ่งที
“ท่านพี่” หลิวเวยพาสาวรับใช้เดินเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงจึงรีบถาม “อาการไอของท่านกำเริบอีกแล้วหรือ”
จางเหยาอมยิ้มส่ายหน้า “ไม่กำเริบ ไม่กำเริบ ข้าเพียงแค่กระแอมไอให้คอโล่ง แต่ก่อนตอนที่เป็นโรค ข้าไม่กล้าไอเสียงดังเช่นนี้” พูดจบ เขาเท้าเอวกระแอมไออีกครั้ง “โล่งมาก”
หลิวเวยหัวเราะ ไม่กังวลอีก เมื่อรู้ว่าจางเหยามีโรคไอ ท่านพ่อหาไต้ฟูมาดูอาการให้ เหล่าไต้ฟูล้วนบอกว่าหายดีแล้ว ไม่แตกต่างจากคนปกติ หลิวจั่งกุ้ยตะลึงอย่างมาก จนกระทั่งเวลานี้เขาถึงเชื่อว่าคุณหนูตันจูไม่ได้เปิดร้านยาเล่น แต่มีความสามารถจริง
“เสียดาย” หลิวจั่งกุ้ยแอบพูดลับหลัง “ถูกชื่อเสียงเสื่อมเสียขัดขวาง ไม่มีผู้ใดไปให้นางรักษาให้”
คุณหนูตันจูมีวิชาดีเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ตั้งใจรักษาโรค หากเป็นเช่นนี้ย่อมต้องมีชื่อเสียงอันดีงาม
ไม่รู้เช่นเดียวกัน คุณหนูตันจูไม่เพียงรักษาอาการไอได้ หลี่เหลียนบอกว่าในฤดูร้อนนางซื้อยาหนึ่งตำลึงทอง…ชื่อนี้เหล่าคุณหนูตั้งขึ้นมาเอง เพราะว่ายาสามขวดนั้นมีมูลค่าหนึ่งตำลึงทอง…ก็ช่างวิเศษยิ่งนัก เสียดายคุณหนูตันจูไม่สนใจ
บางที การทำยารักษาโรคเป็นคนดีอาจเหนื่อยเกินไป หลิวเวยจึงโยนความคิดเหล่านี้ทิ้งไป
“ท่านพี่” นางนำข่าวดีมาบอกจางเหยา “ท่านพ่อได้รับจดหมายจากสหายเก่าท่านหนึ่ง ระยะนี้เขาจะเดินทางไปรับตำแหน่งไท่โส่วแห่งแค้วนหนิงเย่ว์ ต้องการขุนนางหนึ่งคน”
จางเหยาพูดอย่างดีใจ “จริงหรือ เป็นขุนนางอย่างไร สามารถตัดสินใจเองได้หรือไม่”
หลิวเวยเห็นเขาดีใจก็ยิ่งดีใจ “ข้าไม่แน่ใจ ท่านไปถามท่านพ่อ”
จางเหยาตอบรับ ทั้งสองคนเดินไปด้วยกัน
หลิวจั่งกุ้ยถือจดหมายด้วยความดีใจ พลางอ่านพลางแนะนำให้จางเหยา สหายเก่าผู้เป็นท่านพ่อของเจ้าก็รู้จัก เขารับปากให้จางเหยาเดินทางไปเป็นเซี่ยนลิ่ง[1] สามารถปกครองพื้นที่ได้
“ดีกว่าท่านพ่อของข้าในเวลานั้น” จางเหยาพูด “ไม่ต้องฟังคำสั่งผู้อื่น ทำสิ่งใดไม่ได้”
หลิวจั่งกุ้ยถอนหายใจ “เพียงแต่สถานที่ห่างไกล”
จางเหยากระฉับกระเฉง “เพียงแค่สามารถแสดงความสามารถ สถานที่ห่างไกลไม่สำคัญ”
ในขณะที่ทางนี้กำลังสนทนากัน ด้านนอกมีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “แย่แล้วขอรับ คนในพระราชวังมาขอรับ”
บรรยากาศครึกครื้นภายในห้องเงียบสงัดไปทันที
หลิวเวยถามเสียงสั่น “องค์หญิงส่งคนมาหาข้าหรือ”
ก่อนหน้านี้ก็เคยมี องค์หญิงจินเหยาส่งคนมาพบนาง
บ่าวรับใช้ส่ายหน้าที่ซีดเผือด สายตาจับจ้องไปบนตัวของจางเหยา “บอกว่าฝ่าบาท ขอให้คุณชายจางเข้าเฝ้าขอรับ”
ฝ่าบาทหรือ ใบหน้าของหลิวจั่งกุ้ยซีดเผือด เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าว ดังนั้นฮ่องเต้ปล่อยเฉินตันจู แต่ยังคงไม่ยอมปล่อยจางเหยา…
จางเหยาจัดระเบียบเสื้อผ้า เดินออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านพี่” หลิวเวยตะโกน เดินผ่านเขาออกไป “ข้าจะไปหาคุณหนูตันจู…”
จางเหยารั้งนางเอาไว้ “อย่าบอกคุณหนูตันจู”
หลิวเวยมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า “เช่นนั้น ท่านจะเป็นอันตรายหรือไม่”
จางเหยายิ้มให้นาง รวมไปถึงหลิวจั่งกุ้ยและมารดาของหลิวเวยที่เดินออกมาหลังจากได้ยินข่าว “อันตรายหรือไม่ เข้าเฝ้าถึงจะรู้ อีกทั้งเรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เวลานี้ฝ่าบาทไม่ฟังคุณหนูตันจู คุณหนูตันจูตามข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าไปเองเสียดีกว่า เช่นนี้บางทีข้าพูด ฝ่าบาทอาจจะฟัง”
เขาพูดมีเหตุผล หลิวจั่งกุ้ยทั้งภูมิใจทั้งกังวล “หรือไม่ข้าไปกับเจ้า”
หลิวเวยรีบพยักหน้า “ข้าก็ไป…”
มารดาของหลิวเวยดึงแขนเสื้อของนางอยู่ด้านหลัง “เจ้าอย่าได้ทำให้เรื่องวุ่นวาย”
ขันทีที่อยู่ด้านนอกประตูไม่ดีใจ ไม่โกรธ ไม่รีบร้อน เพียงแค่เตือน “ฝ่าบาทเรียกพบจางเหยาคนเดียว”
ไม่มีวิธีแล้ว ทั้งตระกูลของหลิวจั่งกุ้ยทำได้เพียงมองจางเหยาเดินตามขันทีไป
“ทำอย่างไรดี” มารดาของหลิวเวยพึมพำ “ฮ่องเต้คงไม่ลงโทษตระกูลของพวกเราด้วยกระมัง”
ถึงแม้หลิวเวยเชื่อฟังจางเหยาไม่ได้ไปหาเฉินตันจู แต่ยังคงมีคนอื่นบอกข่าวนี้กับนาง องค์หญิงจินเหยาและองค์ชายสามส่งคนมาตามกัน
ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังคงกำชับอีกหนึ่งประโยค “พวกเราจะไปหาเสด็จพ่อ เจ้าอย่ารีบร้อน”
หากฮ่องเต้ต้องการสังหารจางเหยาผู้เป็นชายรูปงามตัวต้นเรื่องนี้…เหมือนดั่งราชวงศ์ก่อนที่องค์หญิงท่านหนึ่งเลี้ยงดูชายรูปงาม ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ฮ่องเต้ที่ครองบัลลังก์สังหารบ่าวรับใช้อันเป็นที่รักขององค์หญิงทั้งหมดเพื่อปกป้องชื่อเสียงของราชวงศ์ องค์หญิงจินเหยาและองค์ชายสามบอกว่าพวกเขาจะรั้งฮ่องเต้เอาไว้
เฉินตันจูได้ยินข่าว ทั้งโกรธทั้งกังวลจนเกือบเป็นลม นางไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมชุดทั่วไปคลุมผ้าคลุมหนึ่งผืนขี่ม้าพุ่งตรงไปยังพระราชวัง
เมื่อฮ่องเต้ได้รับรายงานนั้น เฉินตันจูถูกจู๋หลินพามาถึงหน้าประตูพระตำหนักแล้ว ฮ่องเต้โกรธอย่างมาก…
“หากเป็นมือสังหาร ข้าต้องตายไม่รู้กี่หนแล้ว” เขาพูดกับขันทีจิ้นจง “เขายังป็นองครักษ์หลวงของข้าอยู่หรือไม่”
ขันทีจิ้นจงรีบปลอบ “ฝ่าบาทอย่าโกรธพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์หลวงอยู่ในมือของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เขาก็ใช้งานเช่นนี้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ใช่ เดิมทีมีเพียงแม่ทัพหน้ากากเหล็กคนเดียวที่ยั่วโมโหแล้ว เวลานี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กไปแล้ว ยังจงใจทิ้งอีกคนมายั่วโมโหเขา…ฮ่องเต้ยิ่งโกรธมากขึ้น
“เฉินตันจู เจ้าบุกรุกพระราชวัง…” ฮ่องเต้พูดกับหญิงสาวที่วิ่งเข้ามา “เจ้าคุกเข่าบัดนี้!”
หญิงสาวที่วิ่งเข้ามาคุกเข่าลงทันที ฮ่องเต้สามารถได้ยินเสียงเข่ากระแทกพื้นดังปัง
หญิงสาวที่คุกเข่าลงเปล่งเสียงร้องไห้ “ฝ่าบาท พระองค์อย่าประหารจางเหยา มิฉะนั้นพระองค์ต้องเสียใจอย่างแน่นอน หม่อมฉันคบกับจางเหยาไม่ใช่เพื่อตัวของหม่อมฉัน แต่เพื่อฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้นั่งตกตะลึงอยู่บนบัลลังก์ หูของเขาดังก้องไปด้วยเสียงร้องไห้ของหญิงสาว เขาเอื้อมมือกุมหน้าผากเอาไว้ ตะโกนออกมา “เงียบ! เจ้าร้องไห้อันใด! ข้าจะประหารจางเหยาตอนไหนกัน”
เฉินตันจูร้องไห้จนตาพร่ามัว นางมองรอบพระตำหนัก ก่อนจะเห็นองค์หญิงจินเหยาและองค์ชายสามที่นั่งอยู่ด้านข้าง สีหน้าของพวกเขาทั้งตกตะลึงทั้งระอา
“เป็นการคาดเดาของข้าเอง…” องค์หญิงจินเหยาเก้อเขินเล็กน้อย “เสด็จพ่อไม่ได้ประหารจางเหยา ข้ายังไม่ทันส่งข่าวไปให้เจ้าใหม่”
ไม่ได้ประหารหรือ เฉินตันจูวางใจชั่วคราว ก่อนจะมองรอบด้านด้วยความสะอื้น “จางเหยาเล่า? จางเหยาอยู่ที่ใด”
เส้นเลือดบริเวณหน้าผากของฮ่องเต้กระตุก เขากัดฟันพูด “จางเหยาย่อมต้องกลับจวนไปแล้ว!”
จริงหรือเท็จกัน นางต้องไปดูเสียหน่อย เฉินตันจูลุกขึ้นก่อนจะวิ่งออกไปด้านนอก เมื่อวิ่งไปได้สองก้าว จึงหยุดลง สติกลับมาได้ในที่สุด จากนั้นก้มหน้าเดินกลับมาอย่างช้าๆ คุกเข่าลง
ภายในตำหนักเงียบสงัด แต่รู้สึกได้ว่าทุกสายตาจับจ้องอยู่บนตัวของนาง
“หม่อมฉัน เฉินตันจู” เฉินตันจูก้มตัว น้ำเสียงอ่อน “คำนับฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ส่งเสียงหัวเราะออกมา “คุณหนูตันจูช่างมีมารยาทสมบูรณ์เสียจริง!”
องค์หญิงจินเหยาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ องค์ชายสามก็ยิ้มออกมา
“คุณหนูตันจูเป็นกังวลจนตระหนก” เขาพูดเสียงเบา “ไร้เดียงสาเป็นธรรมชาติ”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “ไม่ต้องให้เจ้าพูดแทนนาง”
เฉินตันจูยกมือขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะเงยหน้ามองฮ่องเต้ “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ไม่ประหารจางเหยา มิฉะนั้น หม่อมฉันและฝ่าบาทต้องเสียใจอย่างแน่นอน” พูดพลางหลั่งน้ำตา “ถึงแม้ความรู้ด้านคัมภีร์ของจางเหยาไม่ดีนัก แต่ความรู้ด้านการจัดการน้ำของเขาเก่งยิ่งนัก เขาศึกษาความรู้การจัดการน้ำมากมาย อีกทั้งยังเดินทางไปสำรวจยังหลายพื้นที่ ฝ่าบาท เขาเป็นผู้มีความสามารถจริงๆ เพคะ”
ฮ่องเต้มองนาง “ในเมื่อเป็นผู้มีความสามารถเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงซ่อนเอาไว้ไม่พูด ต้องก่อให้เกิดข่าวลือมากมาย”
เฉินตันจูพูดพลางร้องไห้ “เพราะว่าหม่อมฉันพูดแล้วไม่มีผู้ใดเชื่อ สวีลั่วจือไม่ให้โอกาสหม่อมฉันพูดแม้แต่น้อย เพียงเพราะว่าชื่อของหม่อมฉันผูกไว้กับจางเหยา เขาก็ขับไล่คนออกมาทันที”
ถือโอกาสฟ้องสวีลั่วจืออีกครั้ง ฮ่องเต้กุมขมับ พลางพูด “เจ้ายังมีเหตุผลอีก? โทษผู้ใดได้ ต้องโทษตัวเจ้าเองมิใช่หรือ ทำตัวเหลวไหล ผู้คนต่างหลบหลีก!”
เฉินตันจูรู้ว่าควรพอ จึงไม่พูดอีก เพียงแค่ปิดหน้าร่ำไห้
“เจ้ายังบอกว่าผู้อื่นไม่เชื่อเจ้า เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไร” ฮ่องเต้ตำหนิ “ได้ยินข่าวเจ้าก็วิ่งมาร้องไห้ อย่างไร ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นกษัตริย์โง่เขลาที่โหดเหี้ยมอย่างมากหรือ”
เฉินตันจูส่ายหัวร้องไห้ “ไม่เพคะ เพราะว่าฝ่าบาทในสายตาของหม่อมฉันเป็นจักรพรรดิที่เที่ยงธรรมอย่างไม่เคยมีมาก่อน หม่อมฉันจึงกลัวว่าฝ่าบาทจะกำจัดคนเลวเพื่อราษฎร”
ฮ่องเต้สำลักไปหนึ่งที นางพูดอย่างมีเหตุผลเช่นนี้ เขาไร้ซึ่งคำพูดที่จะโต้เถียง
—————————————————————————–
[1] เซี่ยนลิ่ง หมายถึง ตำแหน่งนายอำเภอ