ตอนที่ 255 เจอเถาจืออวิ๋นโดยบังเอิญ
ว่านฮุ่ยเริ่มอยู่ไม่สุขเมื่อมองออกว่าผู้เป็นแม่คิดจะเล่นไม่ซื่อ
หล่อนรู้ดีว่าแม่มีแผนการอะไรในใจ แต่ถึงอย่างนั้น หล่อนจะไม่มีวันให้อีกฝ่ายสมหวังในสิ่งที่ต้องการ!
สาเหตุเป็นเพราะหล่อนไม่ชอบความลำเอียงของผู้เป็นแม่ แค่เพราะพี่สาวของหล่อนสวยกว่า แม่ถึงได้ปฏิบัติกับพี่สาวดีกว่าตัวหล่อนเองมาก
หลี่หมิงเฉิงเก็บข้าวของของตัวเองเข้าที่แล้วก็เดินออกจากห้อง ล็อกประตูให้เรียบร้อยเตรียมกลับไปที่งานที่ร้านต่อ
ทันทีที่เดินลงไปชั้นล่าง ก็ได้ยินเสียงเรียกเขาจากด้านหลัง
พอหันกลับไปมอง ถึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกสาวคนเล็กของเพื่อนบ้าน
พอนึกถึงแม่ของหล่อนขึ้นมา หลี่หมิงเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ไม่อยากเสวนากับพวกหล่อนเท่าไรนัก
ว่านฮุ่ยรีบวิ่งเข้าไปหาเข้าภายในอึดใจเดียว ก่อนจะขอโทษขอโพยเขายกใหญ่ “ฉันต้องขอโทษคุณด้วยนะคะ ที่ตอนเที่ยงแม่ของฉันเผลอทำพฤติกรรมแบบนั้น ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ” พูดจบ หล่อนก็โค้งคำนับอย่างสุดซึ้งแล้วจากไป
หลี่หมิงเฉิงมองตามแผ่นหลังของหล่อนไปด้วยความงุนงง
ที่แท้หล่อนก็ไม่ได้มีนิสัยเหมือนแม่เสียทีเดียว เขาคงคิดมากไปเอง
…
หลินม่ายกับเฉินเฟิงต่างก็ทำหน้าที่ของใครของมัน
หลินม่ายรับผิดชอบด้านการรับสมัครจัดหาคน ส่วนเฉินเฟิงรับผิดชอบดูแลลูกน้องของตัวเองให้เข้ามาปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรวมของตลาด ก่อนจะจัดรถบรรทุกให้ขับออกไปตระเวนรับซื้ออาหารทะเลตากแห้งจากแนวชายฝั่ง
กำหนดรับสมัครพนักงานขายในตลาดสดเริ่มต้นขึ้นในเวลาแปดโมงครึ่ง หลินม่ายไปถึงตลาดเช้าแล้ว แต่คนที่สนใจสมัครกลับมาถึงเช้ากว่า
เฉินเฟิงจัดให้ลูกน้องสองคนคอยทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในตลาดสด พอเห็นว่าหลินม่ายมาถึงแล้ว ลูกน้องคนหนึ่งของเขาก็ตะโกนเสียงดัง “เข้าแถว ทุกคนเข้าแถว ใครไม่เข้าแถวจะไม่รับสมัครเด็ดขาด”
คนที่มาสมัครงานรีบเบียดตัวเข้าไปยืนเรียงแถวกันทันที
คนที่มารอแต่เช้าตรู่ ตอนนี้กลับถูกเบียดให้ถอยร่นไปอยู่อย่างหลังก็รู้สึกไม่พอใจมาก จนมีปากเสียงทะเลาะกับคนที่อยู่ข้างหน้า
หลินม่ายรีบห้ามปราม “ไม่ว่าคุณจะอยู่แถวหน้าหรือแถวหลัง คุณมีโอกาสสมัครงานกันทุกคนค่ะ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันนะ”
จริง ๆ เลย นี่ไม่ใช่มหกรรมแจกไข่ไก่ฟรีเสียหน่อยที่จะมีจำนวนจำกัด ใครมาก่อนได้ก่อน
พอแถวของคนที่มาสมัครงานสงบลงแล้ว หลินม่ายก็กำชับให้พนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนช่วยจัดระเบียบคนที่มาต่อแถวรับสมัครงานแทนตัวเอง
รวมแล้วมีผู้ที่สนใจสมัครงานประมาณสองถึงสามร้อยคนเลยทีเดียว แต่เธอต้องการจ้างงานแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น
การคัดสรรคุณสมบัติของผู้สมัครกินเวลานานหลายชั่วโมง ก่อนที่การรับสมัครจะสิ้นสุดลง
เนื่องจากเธอระบุเงื่อนไขในประกาศรับสมัครงานว่าต้องการคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานเท่านั้น คนงานจำนวนมากของตลาดสดที่เคยถูกเลิกจ้างไปก่อนหน้านี้จึงมาสมัครด้วย แต่หลินม่ายรับไว้แค่สิบห้าคน
ส่วนตำแหน่งที่เหลือเธอเปิดโอกาสให้กับคนอื่น ๆ ซึ่งไม่เคยทำงานที่ตลาดสดแห่งนี้มาก่อน
เธอไม่รับสมัครหญิงสาววัยรุ่นเลยสักคน พนักงานทั้งหมดล้วนเป็นสาวใหญ่ รวมถึงคุณป้าและคุณลุงที่มีอายุมากกว่าสามสิบปีขึ้นไป
คนที่มีครอบครัวแล้วมักจะมีความอดทนในการทำงานหนักมากกว่าหญิงสาวที่ยังไม่มีครอบครัว
การทำงานในตลาดสด ไม่ใช่แค่ต้องมีทักษะในการค้าขายเป็นอย่างดี แต่จะต้องมีความอดทนสูงพอประมาณ
หลังจากการรับสมัครสิ้นสุดลง หลินม่ายก็เรียกผู้ที่ผ่านการรับสมัครทั้งหมดให้มารวมตัวกัน ก่อนจะแจ้งกฎและข้อบังคับของตลาดสดในความดูแลของเธอให้พวกเขาทราบ
หนึ่งในกฎข้อสำคัญ คือทุกคนจะต้องทักทายลูกค้าด้วยรอยยิ้ม
ห้ามไม่ให้ใครชักสีหน้า หรือแม้กระทั่งพูดจาหยาบคายและใช้น้ำเสียงเหวี่ยงสะบัดกับลูกค้าโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูกไล่ออกโดยทันที
ขณะที่พูดแบบนี้ เธอเน้นย้ำกฎดังกล่าวกับคนงานเก่าของตลาดทั้งสิบห้าคนที่เคยถูกเลิกจ้างก่อนหน้านี้เป็นพิเศษ
บรรดาคนงานที่เคยถูกเลิกจ้างแอบกำหมัดแน่น ถึงอย่างนั้นก็ต้องทนทำงานตามกฎใหม่ ไม่อย่างนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวตัวเองอาจประสบปัญหา
การรับสมัครและแจ้งกฎเกณฑ์กับพนักงานใหม่เสร็จสิ้นในเวลาเกือบเที่ยง
เมื่อเช้าโต้วโต้วรบเร้าอยากกินโข่วสุ่ยจี หลินม่ายจึงตั้งใจว่าจะแวะไปที่ตลาดมืดสักหน่อย เพื่อเสี่ยงโชคดูว่าวันนี้จะมีใครเอาไก่มาขายหรือเปล่า
เที่ยงวันแบบนี้แดดร้อนแทบจะมอดไหม้ ตลาดมืดดูเหมือนตลาดร้าง แทบไม่มีใครมาตั้งแผงขายของ นับประสาอะไรกับคนขายไก่
ขณะที่หลินม่ายกำลังจะเดินจากไปด้วยความผิดหวัง หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นแผงขายเสื้อผ้าเข้าพอดี ปรากฏว่าเจ้าของแผงนั้นก็คือเถาจืออวิ๋น
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่หล่อนออกมาตั้งแผงขายของ เถาจืออวิ๋นกับลูกชายของหล่อนจึงเอาแต่นั่งยอง ๆ เฝ้าแผงอยู่เงียบ ๆ ไม่ยอมตะโกนร้องเรียกลูกค้า
ถ้ามีชามเก่า ๆ วางอยู่ตรงหน้าสองแม่ลูกคู่นี้ พวกเขาอาจดูเหมือนขอทานเสียมากกว่าแม่ค้า
หลินม่ายโคลงศีรษะ ก่อนจะเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร
ทันทีที่เถาจืออวิ๋นเห็นว่าเป็นหลินม่าย ใบหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ทักทายเธอด้วยน้ำเสียงอุบอิบ “บังเอิญจริง ๆ เลย ออกมาตั้งแผงครั้งแรกก็เจอคุณเข้าซะแล้ว”
“บังเอิญจริง ๆ นั่นแหละ” หลินม่ายยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเด็กน้อยหน้าตาใสซื่อ
ดูเหมือนว่าเด็กชายจะหายจากอาการป่วยแล้ว เขาจึงดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนที่เธอเจอเข้าเป็นครั้งแรก
พอหลินม่ายลูบหัว เขาก็ส่งยิ้มให้เธอด้วยความเขินอาย ยิงฟันเผยให้เห็นฟันขาวซี่เล็ก ๆ
เถาจื่ออวิ๋นตบก้นลูกชายเบา ๆ “ฉีฉี เรียกคุณน้าหลินเร็วเข้า ลูกลืมน้าหลินไปแล้วหรือจ๊ะ?”
ฉีฉีเอนตัวไปซบอกผู้เป็นแม่ทันที พูดเบา ๆ ว่า “ไม่ลืมฮะ น้าหลินกินขนมของผมไปเยอะเลย ผมจำได้แม่นเชียวล่ะ”
ริมฝีปากของหลินม่ายกระตุกทันที ตอนอยู่บนรถไฟเธอไม่ได้กินขนมของเขามากขนาดนั้นเสียหน่อย เจ้าเด็กคนนี้ต้องจำผิดไปแน่ ๆ
หลินม่ายย่อตัวลงนั่ง กวาดสายตามองดูเสื้อผ้าของเถาจืออวิ๋นที่วางขายอยู่กับพื้น
เสื้อผ้าทุกตัวเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิงที่นิยมใส่ในหน้าร้อน มีทั้งชุดเดรส ชุดกระโปรง ซึ่งตัดเย็บเลียนแบบสไตล์ฮ่องกงและไต้หวันได้อย่างทันสมัย
ที่สำคัญคือฝีมือการตัดเย็บนั้นไร้ที่ติไม่แพ้ของแท้เลย กลวิธีที่ใช้ในการตัดเย็บก็มีคุณภาพเทียบเท่ากับเสื้อผ้ามือสองที่เธอรับซื้อมาจากกว่างโจว
แม้แต่เสื้อผ้าที่แขวนขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าในประเทศ ยังสวยเทียบเสื้อผ้าเหล่านี้ไม่ได้
หลินม่ายถามอย่างไม่เชื่อสายตา “คุณตัดเองทุกตัวเลยเหรอคะ?”
“ใช่แล้ว!” เถาจื่ออวิ๋นตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“ฝีมือดีมากเลยนะ!”
หลินม่ายถูกใจเสื้อผ้าพวกนี้มาก
เธอหยิบชุดกระโปรงที่เป็นลายดอกไม้สีเขียวบนพื้นสีขาวขึ้นมา ก่อนจะจับทาบกับลำตัว แล้วหันไปถามเถาจืออวิ๋น “ตัวนี้เหมาะกับฉันไหมคะ?”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ดูดีเลยล่ะ”
ท่าทางของเธอดูสงบนิ่ง พูดความจริงไปตามเนื้อผ้า ไม่มีเจตนาจะยัดเยียดขายให้เธอแต่อย่างใด
หลินม่ายถาม “คุณขายชุดนี้เท่าไหร่?”
เถาจื่ออวิ๋นนิ่งคิดไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า “ถ้าคุณอยากได้ งั้นฉันจะคิดราคาทุนให้สามหยวนก็แล้วกัน”
ถึงชุดนี้จะตัดเย็บจากผ้าฝ้าย แต่ก็เป็นผ้าฝ้ายพิมพ์ลายที่ถักทอด้วยเครื่องจักร เรียกได้ว่าเป็นผ้านำเข้าจากต่างประเทศ ฟุตหนึ่งก็มีราคาเจ็ดเหมาแล้ว
ต่อให้ชุดกระโปรงตัวนี้จะใช้เนื้อผ้าประมาณสองเมตร แต่เฉพาะผ้าแค่อย่างเดียวก็ราคาแพงกว่าสี่หยวนเข้าไปแล้ว(1) นี่ยังไม่นับด้ายและกระดุมที่ใช้ในการตกแต่ง
หลินม่ายเหลือบมองเธอ “ขายแบบนี้ยกให้ฉันฟรี ๆ ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ? ยังไงชุดนี้ก็มีมูลค่ามากกว่าสามหยวนแน่”
ว่าแล้วก็หยิบธนบัตรใบหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้เถาจืออวิ๋น
เถาจืออวิ๋นไม่ยอมรับไว้ อธิบายอย่างตรงไปตรงมา “ชุดกระโปรงของฉันตัดเย็บจากผ้ามีตำหนิที่ฉันไปขอซื้อมาจากโรงงานทอผ้า ผ้ามีตำหนิผืนหนึ่งขายกันในราคาแค่ฟุตละห้าเหมา ที่ฉันขายให้คุณในราคาตัวละสามหยวนมันไม่สมเหตุสมผลตรงไหน?”
หลินม่ายยัดเงินใส่มืออีกฝ่าย “ฉันไม่สนใจว่าคุณจะซื้อผ้ามาในราคาเท่าไหร่ ฉันรู้แค่ว่าราคาชุดสวยงามแบบนี้ที่ขายกันตามท้องตลาด อย่างต่ำก็ปาเข้าไปตัวละสิบห้าหยวนแล้ว ฉันจ่ายให้คุณสิบหยวนยังเป็นการเอาเปรียบคุณเกินไปเลย”
เถาจืออวิ๋นยังคงยืนกรานไม่ยอมรับเงิน “จ่ายให้ฉันตามนั้นเถอะน่า!”
หลินม่ายขอให้เธอยอมรับเงินไว้ “แค่คุณออกมาตั้งแผงขายของกับฉีฉีในวันที่อากาศร้อนจัดแดดเผาแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว คุณรับเงินนี้เอาไว้เถอะค่ะ”
พอเถาจืออวิ๋นได้ยินแบบนั้น ขอบตาของหล่อนก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย ในที่สุดก็ยอมรับเงินสิบหยวนนั้นไว้ แล้วขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความลำบากใจ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ!” หลินม่ายตบแขนข้างหนึ่งของหล่อนเบา ๆ ก่อนจะพับชุดกระโปรงแล้วเดินจากไป
หลังจากเดินออกมาได้สักระยะหนึ่ง เธอก็อดหันมองย้อนกลับไปไม่ได้ เห็นว่าเถาจืออวิ๋นกับลูกชายนั่งเฝ้าแผงขายเสื้อผ้าอยู่ใต้ร่มไม้อย่างโดดเดี่ยว แทบไม่มีใครสนใจอุดหนุนเลย ก็ทำให้เธอรู้สึกสงสารเห็นใจ
คนที่เคยลำบากมาก่อน ถึงจะเห็นอกเห็นใจคนที่ลำบากเหมือนกัน
จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ถ้าเธอซื้อเสื้อผ้าของอีกฝ่ายไปขายต่อที่ถนนเจียงฮั่น เสื้อผ้าพวกนั้นจะต้องขายดิบขายดีแน่ ๆ
นอกจากนี้ เธอนึกขึ้นได้ว่าถ้าอยากให้ตลาดสดมีมาตรฐานทัดเทียมกับซูเปอร์มาร์เก็ตในยุคสมัยปัจจุบัน เธอจะต้องสั่งตัดชุดยูนิฟอร์มให้พนักงานทุกคนได้สวมใส่
คงดีไม่น้อยถ้าเธอสามารถมอบโอกาสการทำเงินในส่วนนี้ให้กับเถาจืออวิ๋น ไม่เพียงแค่ช่วยให้อีกฝ่ายมีรายได้ แต่ยังทำให้พนักงานในตลาดสวมใส่เสื้อผ้าที่มีลักษณะเหมือนกัน ภาพในจินตนาการของเธอกำลังจะเป็นความจริง
คิดได้แบบนั้นแล้ว เธอก็หันหลังเดินย้อนกลับไปที่แผงของเถาจืออวิ๋น
เถาจืออวิ๋นถามอย่างงงงวย “ทำไมถึงย้อนกลับมาอีกรอบล่ะ?”
หลินม่ายชี้ไปที่เสื้อผ้าตรงหน้าเธอ “ฉันมาเหมาเสื้อผ้าของคุณหมดแผงนี้เลย”
เถาจืออวิ๋นจ้องมองเธอด้วยสีหน้าว่างเปล่าเป็นเวลานาน ในที่สุดก็หายจากอาการตกใจ “ฉันรู้นะคะว่าคุณอยากช่วยฉัน แต่ตัวคุณคนเดียวคงไม่มีทางใส่เสื้อผ้าทั้งหมดนี้ครบหรอก เหมาเสื้อผ้าของฉันไปคงเป็นการสูญเงินเปล่า ๆ”
“ฉันเปล่าซื้อมาขายเอง แต่ซื้อไปขายต่อต่างหาก”
หลินม่ายเร่งเร้า “รีบคิดราคาเร็วเข้าเถอะ ฉันยังต้องกลับไปทำอาหารกลางวันอีกนะ”
เถาจืออวิ๋นรีบเสนอราคาทุนให้เธอทันที ไม่วายบอกว่า “งั้นคุณก็เอาเสื้อผ้าของฉันไปขายก่อน รอจนคุณขายได้แล้ว ค่อยบวกเพิ่มจากราคาทุนไปอีกตัวละสองหยวน แต่ถ้าคุณขายไม่ได้ ค่อยเอาเสื้อผ้าพวกนี้มาคืนให้ฉันก็ได้ค่ะ”
“บวกตัวละสามหยวน”
“สองหยวนขาดตัว! ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมขายเสื้อผ้าพวกนี้ให้คุณจริง ๆ ด้วย”
ทัศนคติของเถาจืออวิ๋นมั่นคงมาก หลินม่ายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับเงื่อนไขของหล่อน
………………………………………………………………………………………………………………
เกร็ดความรู้ : ไทยเราอาจขายผ้าเป็นเมตร แต่จีนขายผ้าโดยใช้หน่วยเป็นฟุต
1 เมตร เท่ากับ 3.28084 ฟุต ดังนั้นถ้าในเนื้อเรื่องบอกว่าชุดกระโปรงตัวหนึ่งใช้ผ้า 2 เมตร ก็เท่ากับ 6.6 ฟุตโดยประมาณ อ้างอิงจากในเรื่องที่ว่าผ้าราคาฟุตละ 7 เหมา จึงตีราคาผ้า 2 เมตร = 46.2 เหมา หรือ 4.62 หยวนนั่นเอง
สารจากผู้แปล
เข้าใจคนที่ตั้งแผงขายของแล้วไม่มีคนสนใจมาดูมาเลือกซื้อเลยค่ะ เห็นแล้วหวังให้เขามีโอกาสขายได้เยอะๆ เลย
ไหหม่า(海馬)